มองมุมบวกและมีเมตตา ทางออกของปัญหา
พ.ร.บ.คุ้มครองผู้เสียหายจากการรับบริการสาธารณสุข
ศุภัชณัฏฐ์ หลักเมือง
คณะอนุกรรมการควบคุมคุณภาพและมาตรฐานบริการสาธารณสุข
ระดับจังหวัด จังหวัดประจวบคีรีขันธ์
เครือข่ายประชาสังคมจังหวัดประจวบคีรีขันธ์
----------------------------
เป็นเรื่องที่กำลังมีข้อกังวลใจ และความไม่เข้าใจกันอยู่บ้างในบางประเด็นเกี่ยวกับร่าง พ.ร.บ.คุ้มครองผู้เสียหายจากการรับบริการสาธารณสุขที่ฝ่ายของแพทย์และบุคลากรทางการแพทย์ และประชาชนที่ได้รับผลกระทบต่อการรับบริการสาธารณสุข รวมทั้งองค์กรภาคเอกชน กำลังแสดงความคิดเห็นในประเด็นหรือเรื่องที่ต่างฝ่ายต่างอ้างถึงข้อดีและข้อจำกัดของ ร่าง พ.ร.บ.คุ้มครองผู้เสียหายจากการรับบริการสาธารณสุข ซึ่งทางฝ่ายแพทย์และบุคลากรทางการแพทย์มีการแสดงออกอย่างชัดเจนในการแสดงความเห็นของเรื่องนี้ โดยการเดินประท้วงและยื่นหนังสือผ่านผู้เกี่ยวข้อง ทั้งผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุข รัฐบาลและรัฐสภา ก็ถือเป็นการแสดงออกโดยเปิดเผยและเป็นไปตามระบอบประชาธิปไตย ที่สามารถแสดงออกได้กับเรื่องกฎหมายหรือเรื่อง อื่น ๆ ที่จะมีผลกระทบต่อตนเองครับ
แต่ประเด็นตาม ร่าง พ.ร.บ.คุ้มครองผู้เสียหายจากการรับบริการ สาธารณสุข ที่ทางฝ่ายแพทย์และบุคลากรทางการแพทย์ และประชาชนที่ได้รับผลกระทบต่อการรับบริการสาธารณสุข มองต่างกันอยู่ที่ประเด็นไหนกันแน่ ประเด็นแรก หากดูตามวัตถุประสงค์ ของร่าง พ.ร.บ. คุ้มครองผู้เสียหายจากการรับบริการสาธารณสุข พ.ศ. ... จะพบว่า เจตนารมณ์ของกฎหมาย ทำเพื่อผู้ป่วย และบุคลากรทางการแพทย์ อย่างชัดเจน เป็นกฎหมายที่ออกมาเพื่อเยียวยาความเสียหายโดยไม่ต้องฟ้องร้องในชั้นศาล เช่น ในมาตรา 5 ที่แม้จะระบุว่าไม่ต้องมีการพิสูจน์ถูกผิด และมาตรา 6 กล่าวถึง เหตุการณ์แบบใดบ้างที่จะร้องขอการเยียวยาไม่ได้ โดยระบุว่า 1) เกิดความเสียหายจากความปกติธรรมดาของโรค กล่าวง่าย ๆ ก็คือ โรคหรืออาการที่เกิดกับผู้ป่วยดังกล่าวไม่มีทางรักษาให้หายได้แล้ว การถึงแก่กรรมก็เป็นความปกติธรรมดาของการเกิดและเป็นโรคนั้นอยู่แล้ว เช่น มะเร็งขั้นสุดท้าย และโรคเอดส์ เป็นต้น 2) แพทย์ทำตามมาตรฐานวิชาชีพแล้ว กล่าวคือ เมื่อแพทย์ได้ทำการรักษาตามขั้นตอนตามมาตรฐานวิชาชีพและตามขั้นตอนของการรักษาโรคนั้น ๆ แล้ว ก็ไม่สามารถร้องขอการเยียวยาได้ ประเด็นที่สอง ประเด็นสัดส่วนคณะกรรมการที่มาจากตัวแทนวิชาชีพ ที่ถูกคัดค้าน เมื่อพิจารณาจะพบว่า ก็มีทั้งปลัดกระทรวงสาธารณสุข อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ ตัวแทนจากสถานพยาบาล รวมแล้วมีแพทย์ประมาณ 5 คน ในคณะกรรมการชุดนี้ ทั้งนี้ การมีผู้เชี่ยวชาญ อยู่ในคณะกรรมการก็ไม่มีความจำเป็นเพราะ ร่างพ.ร.บ.ฉบับดังกล่าว ไม่มีการพิสูจน์ถูกผิด แต่หากจะมีการเพิ่มเติมตัวแทนจากสภาวิชาชีพในสาขาอื่น ๆ หรือหน่วยอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ก็เป็นเรื่องที่น่าจะตกลงกันได้ ประเด็นที่สาม ปัญหาเรื่องการฟ้องร้องต่อศาลภายหลังจากมีการจ่ายค่าชดเชยช่วยเหลือแล้ว โดยเฉพาะ การฟ้องคดีอาญา ผมว่าประเด็นนี้เป็นประเด็นที่ทางฝ่ายแพทย์และบุคลากรทางการแพทย์น่าจะเป็นประเด็นที่กังวลมากที่สุด การยกประเด็นเรื่องที่มาของเงินที่จะนำมาชดเชยให้กับผู้เสียหายผมคิดว่าเป็นประเด็นรอง คิดอย่างธรรมดา ความคิดเห็นแบบกลาง ๆ ผมคิดว่าคงไม่มีใครอยากนำเรื่องนี้มาหาประโยชน์จากเงินชดเชยหรอกครับ และยิ่งเป็นชาวบ้านเรื่องโรงเรื่องศาลถือเป็นเรื่องใหญ่สำหรับเขา ไม่มีใครอยากขึ้นโรงขึ้นศาลเป็นแน่ และประเด็นเงินชดเชย ตามร่าง พ.ร.บ.คุ้มครองผู้เสียหายจากการรับบริการสาธารณสุข ระบุว่าหากมีการรับเงินช่วยเหลือแล้ว และมีการพิพากษาให้มีการจ่ายเงินอีก ก็ให้หักเงินที่มีการช่วยเหลือไปก่อนหน้านั้นแล้วออกไป
สำหรับ การฟ้องคดีอาญาก็เป็นไปตามหลักกฎหมายทั่วไป ในมาตรา 45 ได้ระบุว่า ถ้าผู้เสียหายทำสัญญาประนีประนอมแล้ว แพทย์สามารถนำสัญญาดังกล่าว ยื่นต่อศาลเพื่อให้ศาลลดหย่อนโทษได้ ซึ่งหมายถึงศาลจะสั่ง ลงโทษน้อยกว่าหรือไม่ลงโทษก็ได้ ซึ่งไม่มีกฎหมายวิชาชีพฉบับใดบัญญัติเป็นประโยชน์ต่อวิชาชีพเท่ากฎหมายฉบับนี้ เพราะไม่ต้องมีการรับผิดแต่อย่างใด กฎหมายที่เกี่ยวข้องอีกฉบับหนึ่ง คือ พ.ร.บ.ความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539 ตามมาตรา 5 ระบุชัดเจนว่า กรณีเกิดความเสียหายให้ฟ้องหน่วยงานต้นสังกัด ซึ่งหมายถึงกระทรวงสาธารณสุข แต่จะฟ้องแพทย์หรือโรงพยาบาลไม่ได้ จะเห็นได้ว่าเมื่อมีกรณีการฟ้องร้องจริง ก็จะมีกฎหมายที่เกี่ยวข้องหลายฉบับ ไม่สามารถใช้กฎหมายเพียงฉบับหนึ่งฉบับใดได้
หากพิจารณาด้วยการมองมุมบวกและมีเมตตาแล้ว ร่าง พ.ร.บ.คุ้มครองผู้เสียหายจากการบริการสาธารณสุข แล้วเป็นกฎหมายที่มีประโยชน์อย่างยิ่งเพราะเป็นการคุ้มครองประชาชนจาก การรับบริการสาธารณสุข และคุ้มครองแพทย์และบุคลากรทางการแพทย์ในประเด็นของการจ่ายค่าชดเชยและการฟ้องร้องคดีอาญาครับ กรณีตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุด พอเป็นตัวอย่างเรื่องการรับบริการสาธารณสุข คือ การผ่าตัดต้อกระจกผู้ป่วย ของโรงพยาบาลศูนย์ขอนแก่น จำนวน 25 ราย และเกิดการติดเชื้อจนทำให้เกิดการสูญเสียการมองเห็นจำนวนถึง 10 - 11 ราย แต่ทำไมข่าวที่เกิดขึ้นจึงไม่เป็นข่าวยืดเยื้อต่อเนื่องในสื่อต่าง ๆ เหมือนกรณีอื่น ๆ เพราะว่า โรงพยาบาลดำเนินการแก้ปัญหาความขัดแย้งและเจรจาไกล่เกลี่ยที่ไม่ใช่การต่อรอง และไม่ใช่การเกลี้ยกล่อม โดยเฉพาะรู้จัก “การฟังอย่างตั้งใจ” และ “การขอโทษอย่างแท้จริงและจริงใจ” กับผู้ป่วยและญาติผู้ป่วยทั้งสิบเอ็ดรายและในที่สุดจากการเยียวยาทางจิตใจ และการจ่ายค่าชดเชยตามสมควร แก่กรณี โดยโรงพยาบาลยินดีที่จะดูแลผู้ป่วยทุกคนอย่างดีที่สุดต่อไป ทำให้บรรเทาความเจ็บปวดทั้งทางกายและทางใจจนผู้ป่วยที่สูญเสียดวงตาให้อภัยและกลับมาบอกหมอผู้ผ่าตัดให้กำลังใจด้วยความเข้าใจว่า “หมออย่าเพิ่งท้อนะ”
จะเห็นได้ว่า ทั้งฝ่ายของแพทย์และบุคลากรทางการแพทย์ และประชาชนที่ได้รับผลกระทบต่อการรับบริการสาธารณสุข ก็ไม่มีใครอยากให้เกิดกรณีความเสียหายขึ้นหรอกครับ โดยเฉพาะกรณีความสูญเสียชีวิต แต่เมื่อมีกรณีเกิดขึ้นแล้วการมองมุมบวกและมีเมตตา รวมทั้ง “การฟังอย่างตั้งใจ” และ “การขอโทษอย่างแท้จริงและจริงใจ ต่างหากครับที่ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างแพทย์ บุคลากรทางการแพทย์ และประชาชนมีความรักและศรัทธาต่อกันเหมือนที่ผ่านมาครับ.