วีรบุรุษแห่งเทือกเขาบูโด "จ่าเพียร ขาเหล็ก"


จากหนังสือ “รักชาติจนชีวิตเป็นผุยผง” ชื่อแบบนี้คงไม่ต้องอธิบายว่าจับใจเพียงใด แต่ที่ต้องนำมาสู่สายตาพี่น้องครั้งแล้วครั้งเล่า เพียงเพราะคิดว่าเราต้องช่วยกันชูเชิดคนดีให้กำลังใจคนทำดีไม่ให้สูญหายไปเหมือนลมพัดผ่าน ลมปากหรือลมบ้าอำนาจเทิดทูนบูชาแต่ความโลภโกรธหลงของผู้มีอำนาจบางคนพัดหายไปในอากาศที่ว่างเปล่า ต้องนำมาขยายเพราะอย่างน้อยก็เป็นการช่วยบอกกล่าวว่า “ทำดีได้ดีแน่นอน” อยากเห็นคนทำดีแล้วไม่ท้อเหมือนอย่าง พ.ต.อ.สมเพียร เอกสมญา วีรบุรุษแห่งเทือกเขา บูโด แม้ว่าการทำดีของนายตำรวจท่านนี้จะไม่ได้ผลเป็นกอบเป็นกำ แต่ก็ได้ดีแน่นอนในแง่จิตใจของผู้อยู่ข้างหลัง ความดีของท่านสมควรที่จะระลึกถึงมีคุณค่าควรแก่การคำนับกราบไหว้เหมือนวีรกรรมของเหล่าชาวบ้านบางระจันแม้ว่าจะแลกมาด้วยลมหายใจเฮือกสุดท้ายก็ตาม

 

 เอาภาพสวยแทนละกัน

ตามจริงแล้วผมนับได้ว่าไม่เคยลงไปเยียบผืนดินทางสามจังหวัดชายแดนใต้เลยสักครั้ง แม้แค่ผ่านๆก็ไม่เคย แต่หนังสือ(สองเล่ม)นี้ทำให้ผมมองเห็นภาพรั้วของชาติโดยเฉพาะตำรวจทหารที่ปฏิบัติการอยู่ภายใต้สถานการณ์ระหว่างความเป็นกับความตาย มองเห็นภาพคนดีทำดีมักถูกลืมไปเสียโดยมากในขณะที่ท่านเหล่านั้นยังมีลมหายใจอยู่ จะถูกกล่าวขวัญถึงก็ต่อเมื่อเขาเหล่านั้นจากไปอย่างไม่มีวันกลับ แม้อีกหลายท่านยังไม่ถูกเหลียวมองก็มี ถ้าผมไม่ได้อ่านหนังสือเล่มนี้ก็ไม่เห็นอะไรเป็นสำคัญเท่าใดนักเหมือนกับทั่วๆไปที่คิดเช่นนั้น ถึงแม้สื่อทางโทรทัศน์จะนำเสนอบ้างก็ตาม แต่ก็เหมือนอย่างเคยคิดว่าเป็นเหตุการณ์ธรรมดาผ่านแล้วก็ผ่านไปตามสายลมและแสงแดด ทำไมนะโลกจึงเป็นเช่นนี้? หรือเป็นดั่งวลีที่ว่า “จะปิดทองหลังองค์พระปฏิมา” คนที่ทำดีจริงๆมักถูกมองข้ามโดยอย่างยิ่งในปัจจุบันที่นิยมวัตถุ จนเกินพอดีมักคิดว่า “ความดีกินได้ไหม เงินเท่านั้นดั่งพระเจ้า”

นี่คือภาพความบอบซ้ำจากการถูกโจมตี(ดวงตา)

แต่อีกภาพหนึ่งจากการมองเห็นคือความสุขใจที่ได้รับรู้ว่ายังมีบุคคลอยากทำดีอยู่ไม่รู้เบื่อแม้จะเป็นการรู้จากการเล่าต่อก็ดี เมื่อใดก็ตามเมื่อได้อ่านวีรกรรมของสุภาพบุรุษสุภาพสตรีเหล่านี้แล้ว ยังกำลังใจอันใหญ่หลวงเหลือที่จะพรรณนาไหลบ่าท่วมทับหัวจิตหัวใจ ใช่แต่กำลังใจเท่านั้นที่ก่อเกิดในบัดเดี๋ยวเดียว แต่วีรกรรมเหล่านี้ได้เก็บไว้ในก้นบึ้งของหัวใจสำหรับเป็นแบบอย่างของการทำความดี ตามแบบฉบับของนักสู้ นักรบ สาวกของพระพุทธเจ้าก็ไม่ไกลกันนักกับบทบาทของการต่อสู้เหล่าอริราชศัตรู การรบของทหารหาญหรือการรบแบบพระ พระ นักกรรมฐานดูเหมือนจะใช้หลักการไม่ไกลกัน เหตุนี้วีรบุรุษของเราเหล่ากองทัพธรรมจึงก่อเกิดองค์แล้วองค์เล่า ถ้าอยู่ในเมืองไทยก็นับตั้งแต่พระโสณะ พระอุตรมหาเถร เรื่อยๆมาแต่ที่โด่งดังฮิตติดลมบนอยู่จนทุกวันนี้ก็คงหนีไม่พ้น หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น หลวงปู่ฟั่นฯ ได้เป็นวีรบุรุษบุคคลต้นแบบของนักรบเหล่าพุทธบริษัท แต่แม่ทัพใหญ่ที่เป็นต้นแบบจริงๆก็คือพระพุทธองค์ผู้ประเสริฐยิงกว่านักรบทั้งปวง การรบของพระองค์ไม่ใช้ศราตรา อาวุธ ไม่มีผู่ใดเสียชีวิตสิ้นลมหายใจในวิถีการรบของพระองค์เพราะเครื่องมือ ปัญญาวุธของพระองค์มีแต่ทำให้ชีวิตทั้งของปวงหมู่สัพสัตว์ดำรงอยู่สิ้นกาลนาน เป็นอมตในเมืองมหานิพพานแล

เขียนไปเขียนมาบรรจบกับพระพุทธเจ้าได้ไงนะ ข้อเขียนของพระก็แบบนี้แหละคุณคุณทั้งหลาย ธรรมมันอยู่ในสายเลือดหรือไงไม่รู้ครับ เหมือนเหล่าทหารหาญเลือดรักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ มันอยู่ในสายเลือดทุกหยดหยาด เขาเหล่านั้นคงภูมิใจกับคำคำนี้ คงภูมิใจที่ได้ทำหน้าที่อย่างบริบูรณ์แม้คนอื่นจะเห็นหรือไม่ก็ตาม มีคำที่น่าคิดอยู่ในหนังสือเล่มนี้อย่างประโยคว่า “ผมไม่ได้ร้องให้เพราะเสียพ่อ แต่ผมร้องให้เพราะเสียใจกับความอยุติธรรม”(น้ำคำของลูกชาย) จ่าเพียรได้เสียชีวิตแล้วจากอดีตกว่า ๔๐ ปีที่ทำงานในเขตสีแดง โดยเฉพาะอย่างยิ่งอำเภอบันนังสะตา เหลือเวลาแค่ ๖ เดือนจะเกษียณแล้ว เวลาที่เหลือเขาขอย้ายไปที่อำเภอกันตรัง แต่น่าอนาถนักมัจจุราชไม่ยอมให้ท่านย้าย แต่อนุญาตให้เกษียณตลอดชีวิตเลย  ขอเอาข้อเขียนมาลงเป็นน้ำย่อยละลายความอยากในลำคอสักหน่อยดังนี้

“๑มีนาคม ๒๕๕๓ จ่าเพียรเปิดใจว่า ทุกคนทำงานเสียสละแต่ไม่เคยได้รับการดูแลพัฒนาคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ให้ดีขึ้น ตำรวจบางคนอายุมากแล้วแต่ยังเป็นแค่นายดาบ ไม่ใช่ต้องรู้จักนาย หรือเป็นลูกเป็นหลานแล้วถึงได้เลื่อนยศเลื่อนตำแหน่ง คนบางคนถึงไม่มีความรู้แต่มีผลงานก็ต้องบรรจุ อย่างทีมงานของผมหลายคนไม่มีเงินเดือน ไม่มีค่าจ้าง ไม่มีค่าตอบแทน ทำงานกันด้วยใจจริงๆ พวกเราสู้เพื่อแผ่นดิน

วันนี้เราต้องมาพูดความจริงว่าในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้เกิดอะไรขึ้น แล้วทำไมไม่ตอบแทนคนเหล่านี้ในขณะที่พวกเขายังมีชีวิตอยู่ ไม่ใช่ให้เขาอยู่ในหลุมฝังศพแล้วค่อยบอกว่าเขาเป็นวีรบุรุษ แล้วคนที่ทำงานหนักเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายอยู่ทุกวันนี้ ทำไมไม่ให้กำลังใจเขา ผมไม่อยากเป็นวีรบุรุษ และจะไม่ขอตายในชุดนักรบ เป็นคำพูดสุดท้ายของเขาในวันนั้น”

๑๒ มีนาคม ๒๕๕๓ เวลา ๑๓.๓๐ น. จ่าเพียรในชุดนักรบนอนหมดสติ ไม่รู้สึกตัว หายใจรวยรินอยู่บนเปลสนาม แม้แพทย์จะพยายามยื้อชีวิตอย่างสุดความสามารถ แต่อานุภาพจากแรงอัดของระเบิดทำให้อวัยวะภายในบอบช้ำอย่างหนัก มีเลือดออกทั้งในช่องอกและช่องท้อง ทั้งยังมีบาดแผลฉกรรจ์ที่ขาจนเกือบขาด เขาสิ้นลมหายใจในอีกไม่กี่ชั่วโมงหลังจากนั้น

ทั้งหมดนี้คือข้อความคัดมาให้ท่านผู้อ่านได้ยลเพื่อเป็นน้ำจิ้ม แต่ไม่รู้ว่าท่านทั้งหลายได้อ่านบ้างหรือยัง ผมอาจอ่านทีหลังกว่าท่านทั้งหลายก็เป็นได้ และที่ขาดไม่ได้ก็คือเนื้อความเพลงพระราชนิพนธ์ “ความหวังอันสูงสุด” ที่อยู่ในหัวใจนักรบทุกท่าน เพื่อเป็นกำลังใจของเหล่านักรบไม่ว่าจะเป็นนักรบกองทัพไทย หรือกองทัพธรรมก็ดี

ขอฝันใฝ่ในฝันอันเหลือเชื่อ      ขอสู้ศึกทุกเมื่อไม่หวั่นไหว

ขอทนทุกข์รุกโรมโหมกายใจ     ขอฝ่าฟันผองภัยด้วยใจทะนง

จะแน่วแน่แก้ไขในสิ่งผิด           จะรักชาติจนชีวิตเป็นผุยผง

จะยอมตายหมายให้เกียรติดำรง               จะปิดทองหลังองค์พระปฏิมาฯฯฯ

บอกอีกครั้งที่เอามาลงเพราะไม่อยากให้คุณงามความดีของเขาเหล่านั้นหายไปเร็วนัก เหมือนข่าวดีๆอย่างอื่นมักหายไปเร็วสองสามวันเท่านั้นคนก็ลืม ทั้งๆที่เหตุการณ์ในสามจังหวัดชายแดนใต้ก็ยังกรุ่นอยู่ไม่เลือนหายอย่างที่เราท่านอยากจะไห้เป็นแม้ว่าจ่าเพียร ได้เสียสละชีวิตให้แล้วก็ตาม สถานการณ์ยังจะกลืนกินชีวิตลมหายใจของเหล่าผู้กล้าอีกมาก ไม่รู้เหมือนกันว่าจะอีกสักเท่าใด คงตราบเท่าที่เราชาวไทยยังไม่สามารถสามัคคีรักใคร่กลมเกลียวกันด้วยหัวใจเป็นธรรม

บอกได้คำหนึ่งว่าเห็นใจคนที่ทำงานด้วยใจไม่เห็นแก่ความเหน็ดเหนื่อย อยากให้สังคมมองเห็นการเสียสละของวีรบุรุษเหล่านี้บ้าง และดูแลพัฒนาคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ให้สมกับความเสียสละที่เขาได้ให้กับประเทศชาติ และต้องให้เขาได้รับตอนมีชีวิตนะครับ เมื่อเป็นดั่งนี้ทุกคนก็อยากเป็นคนดีรักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ เพราะได้เห็นเป็นตัวอย่างอยู่ว่า “ทำดีได้ดีมีคนยกย่องมีเกียรติ์ สังคมให้การเคารพนับถือ”(ในขณะมีชีวิตอยู่)เชื้อแห่งความดีก็จะกระจายทั่วไปในสังคมประเทศไทย มิพักลำบากเสียงบประมาณหลายร้อยหลายพันล้านเพื่อผลิตบุคคลากรให้เป็นดั่งที่ว่ามา ก็อย่างที่น้ำคำว่า “ทำไมจะต้องเสียงบประมาณมากมายเพื่อเหวี่ยงแหครอบการก่อการร้ายให้ยุติ ในเมื่อมีคนอย่างจ่าเพียรทำงานอย่างได้ผลกว่าโดยไม่ต้องทุ่มงบประมาณเลยก็ว่าได้ และก็มีคนอย่างนี้อยู่อีกมากพร้อมให้รัฐบาลใช้ เพียงแต่หันมาให้ความสำคัญกับพวกเขาเหล่านี้ทั้งกายและใจแค่นี้ แค่นี้เอง”

ขอเป็นกำลังใจให้กับทุกๆท่านที่ปฏิบัติหน้าที่รักษาความสงบเรียบร้อยอยู่ในสามจังหวัดชายแดนใต้ ในฐานะพระรูปหนึ่งไม่ได้สนับสนุนให้รบกันนะครับ แต่เป็นการให้กำลังใจคนทำความเสียสละเพื่อบ้านเมือง เพื่อรักษาความสงบให้อยู่คู่กับประเทศไทยตลอดไป คงไม่ช้าเกินไปสำหรับกำลังใจแบบพระ

“กาลเวลาย่อมกลืนกินสัพสัตว์ ไม่ว่าเขาจะดีหรือชั่วก็ตาม” ทำไมเราทั้งหลายไม่พยายามรักกันไว้ก่อนตายเล่า......

ขอขอบคุณ กองบรรณาธิการโพสต์ทูเดย์ ซึ่งเป็นผู้รังสรรค์หนังสือเล่มนี้

และเนื้อหาจากหนังสือ ถึงฉันไม่มีวันได้กลับ ก็ขอให้เธอได้หลับฝันดี 

หมายเหตุ....เสียดายที่โหลดภาพมาลงไม่ได้ไม่รู้เพราะฝีละมือไม่ถึงหรือเปล่า

หมายเลขบันทึก: 380508เขียนเมื่อ 2 สิงหาคม 2010 06:38 น. ()แก้ไขเมื่อ 6 กันยายน 2013 23:18 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท