“ เสียงไก่ขันมา บอกเวลาว่าจวนฟ้าแจ้ง
อาทิตย์ก็เริ่มทอแสง เปล่งสีแดงเติมแต่งขอบฟ้า
รีบลุกเร็วไว แบกคันไถไล่ควายไปนา
ก่อนแดดจะแผดร้อนจ้า เร่งไถนาหว่านกล้าปักดำ.....”
เป็นบทเพลงที่ข้าพเจ้าเขียนมาจากความทรงจำสมัยยังเด็ก เป็นความทรงจำที่ไม่คงลืมและไม่อยากจะลืมเสียด้วย เพราะเวลานึกถึงทีไร หัวใจก็มีความสุขทุกที...บ้านข้าพเจ้าอยู่จังหวัดชัยภูมิ เมื่อ 20 ปีที่แล้วยังไม่มีไฟฟ้า อาศัยตะเกียงให้แสงสว่าง เวลากลางคืนจะมืดมากๆ (ถ้าอยากรู้ว่ามืดแค่ไหน ลองหลับตาดูก็จะรู้ เอง) มองขึ้นไปบนท้องฟ้าจะเห็นดวงดาวเต็มท้องฟ้าไปหมด แต่ถ้าเป็นคืนเดือนเพ็ญแสงดวงจันทร์ ก็จะสว่างไสวราวกลางวัน ซึ่งจะหาดูไม่ได้ในชุมชนเมือง บรรยากาศก็เงียบสงัดมาก เพราะชาวบ้านจะพากันเข้านอนตั้งแต่หัวค่ำ ไม่วุ่นวายไม่มีเสียงรถราเหมือนในเมือง มีแต่เสียงร้องของแมลง กบ เขียด เวลาก็เคลื่อนไปช้าๆๆ ประมาณตี 4 ตี 5 พวกเราต้องสะดุ้งตื่น เพราะเสียงปลุกของเจ้าโต้งที่พากันพร้อมใจขันทั้งหมู่บ้าน คุณพ่อคุณแม่ก็รีบตื่นรวมทั้งพี่ๆด้วย ส่วนข้าพเจ้าก็นอนต่อ แต่รับรู้ว่าข้างนอกทุกคนกำลังเร่งรีบ ได้ยินเสียงหักไม้ลำปอของคุณแม่ที่เตรียมก่อไฟหุงข้าว เสียงกระดิ่งควายที่คุณพ่อและพี่ๆพากันปล่อยออกจากคอก พร้อมเสียงกระดิ่งควายของขาวบ้านที่พากันไปนาเช่นกัน เวลาผ่านไปไม่นานทุกสิ่งก็เริ่มกลับเข้าสู่ความสงบ..นั้นเป็นความทรงจำที่ประทับใจซึ่งทุกวันนี้จะไม่มีอีกแล้วทั้งไก่และควายก็พากันตกงานไปหมด ... เสียงไก่ก็ถูกแทนที่ด้วยนาฬิกา...ส่วนเจ้าทุยก็ถูกขาย..ถูกฆ่าไม่มีให้เห็น..รถไถนาก็เข้ามาแทนที่...ชาวก็ไม่ต้องตื่นแต่เช้า ไม่เร่งรีบเหมือนแต่ก่อน เพราะจะไปทำนาตอนไหนก็ได้ชาวชนบทเปลี่ยนเป็นชาวเมือง.บรรยากาศที่ดีๆก็ถูกทำลายด้วยเทคโนโลยี ไปหมด...คิดมากก็รู้สึกใจหาย แต่ความทรงจำของข้าพเจ้าจะไม่มีวันเลือนหาย ทุกวันนี้ข้าพเจ้ายังเอาความทรงจำดีๆเล่าให้ลูกๆฟังซึ่งเข้าไม่มีโอกาสได้สัมผัส ไม่ได้เห็นอีกแล้วในปัจจุบัน....
สวัสดีค่ะ
พี่baby ขอชื่นชมผลงานแรก .. ย้อนรอยอดีต.. บอกเล่าเรื่องดีๆในครอบครัว ที่อยู่ในความทรงจำ ชอบมากค่ะ
สวัสดีครับคุณbabydollขอบคุณมากที่ชอบเรื่องที่ผมเขียนทำให้ผมมีกำลังใจที่จะเขียนต่อ