สุขภาพ


การดูแลรักษาสุขภาพ

            ข้อมูลโดย : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์ , Updated: 25/05/2010

เทคนิคการวิ่งไม่ให้ปวดเข่า

การวิ่งเป็นการออกกำลังกายที่ทำได้ง่าย แต่บางครั้งอาจเกิดอาการปวดเข่า นั้นเป็นเพราะออกกำลังกายไม่ถูกวิธี วันนี้เรามีเทคนิคการวิ่งไม่ให้ปวดเข่ามาบอก 

 

  • ควรอบอุ่นร่างกายและยืดกล้ามเนื้อให้เพียงพอ โดยเริ่มจากการเดินเร็วหรือวิ่งเหยาะๆ ก่อนที่จะวิ่งเต็มที่ รวมทั้งควรยืดกล้ามเนื้อรอบเข่าและข้อเท้าทุกครั้ง เพื่อให้มีการปรับตัวของกล้ามเนื้อที่ใช้ในการออกกำลังกาย โดยการเหยียดเข่าตรงและเกร็งกล้ามเนื้อต้นขาค้างไว้ 5 วินาทีต่อครั้ง ทำประมาณ 10-20 ครั้งต่อวัน
  • เลือกซื้อรองเท้าวิ่งให้เหมาะสม รองเท้าที่ใช้ควรมีพื้นกันแรงกระแทกที่เพียงพอและมีความกระชับพอดีกับเท้า
  • ควรตรวจดูลักษณะเท้าว่าผิดปกติหรือไม่ ส่วนใหญ่ที่พบคือ ภาวะเท้าแบน เวลาวิ่งนานๆ อาจทำให้เกิดอาการปวดเข่าและข้อเท้าได้
  • ไม่ควรวิ่งก้าวเท้ายาวเกินไปหรือยกเข่าสูงเกินไป เพราะทำให้ข้อเข่าต้องงอมากเกินความจำเป็น อาจทำให้เกิดปัญหาปวดเข่าได้ง่ายขึ้น
  • ควรวิ่งโดยลงน้ำหนักที่ส้นเท้า การวิ่งโดยลงน้ำหนักที่ปลายเท้านานๆ จะทำให้เกิดแรงกระชากพังผืดฝ่าเท้า ปวดกล้ามเนื้อน่อง และยังเกิดแนวแรงที่ผิดปกติที่ผ่านต่อข้อเข่า ทำให้ต้องงอเข่ามากขึ้นขณะวิ่ง และอาจทำให้เกิดการปวดเข่าด้านหน้าได้

เพียงเท่านี้ก็สามารถออกกำลังกายโดยการวิ่งได้อย่างไม่ปวดเข่าแล้ว.

ที่มาข้อมูล : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์

 

 

ข้อมูลโดย : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์ , Updated: 07/04/2010

 

 

 

 

 

ฟิตหุ่นล่ำทำอย่างไร

แนะนำเกี่ยวกับการออกกำลังกายเพื่อความแข็งแรงและหุ่นที่ฟิตแอนด์เฟิร์ม เหมาะกับชายไทยที่ต้องการเสริมเสน่ห์ด้วยหุ่นล่ำ ๆ 

 

การออกกำลังกาย ไม่ว่าประเภทใด ล้วนแต่ให้ประโยชน์กับร่างกายทั้งนั้น ยืดเส้นยืดสาย วันนี้ มีคำ

สำหรับเทรนเนอร์รับเชิญไม่ใช่ใครที่ไหน เขาคือนักกีฬาเพาะกายทีมชาติไทย เจ้าของแชมป์หลายรายการ คุณโอ๋-สิทธิ เจริญฤทธิ์ ที่มีท่าการออกกำลังกายขั้นพื้นฐาน ช่วยเสริมสร้างกล้ามเนื้อ เพื่อสุขภาพและรูปร่างที่ดี ให้ผู้อ่านหนุ่ม ๆ มีหุ่นสมส่วนอย่างนายแบบ

คุณโอ๋ กล่าวถึงการออกกำลังกายที่เหมาะสมกับคุณผู้ชาย ควรพัฒนากล้ามเนื้อ 3 ส่วน ประกอบด้วย กล้ามเนื้อไหล่ กล้ามเนื้อหน้าอก และกล้ามเนื้อท้อง โดยเฉพาะการพัฒนากล้ามเนื้อไหล่ หากทำให้กว้างขึ้นจะสวมเสื้อแล้วดูดี ส่วนการบริหารกล้ามเนื้อแต่ละครั้งต้องไม่ละเลยการวอร์มอัพกล้ามเนื้อราว 20 นาที แล้วจึงเริ่มฟิตหุ่นจากกล้ามเนื้อไหล่ ต่อด้วยอก ตามด้วยแขน และจบด้วยท้อง จากนั้นยังต้องค่อย ๆ ผ่อนคลายกล้ามเนื้ออีก 20 นาที ก่อนสิ้นสุดการออกกำลังกาย

สำหรับท่าทางการออกกำลังกายเริ่มปฏิบัติด้วยการใช้ดัมเบลคู่ เลือกน้ำหนักที่สามารถยกได้อย่างต่อเนื่องโดยไม่รู้สึกล้า ยืนตรงจับดัมเบลแนบข้างลำตัว จากนั้นยกออกจากลำตัวด้านข้าง เล่น 8-10 ครั้ง จะเท่ากับ 1 เซ็ต ปฏิบัติ 3-4 เซ็ต เพื่อพัฒนากล้ามเนื้อไหล่ด้านข้าง

ท่าต่อมา นั่งหลังตรง ยกดัมเบลคู่ ตั้งศอกเป็นแนวตั้งฉาก และยกแขนขึ้นเป็นแนวตรง ปฏิบัติให้ได้จำนวนครั้งและเซ็ตเท่ากับท่าแรก เพื่อเสริมสร้างกล้ามเนื้อไหล่ด้านหน้าและด้านข้าง

ลำดับต่อมาเป็นท่าทางการฝึกกล้ามเนื้ออก โดยการนอนราบกับเครื่องออกกำลังกายแบบสมิทแมชชีน เลือกเหล็กที่มีน้ำหนักพอยกไหวไม่หนักเกินไป ยกขึ้นเหยียดแขนตรง ยกลงแนวแขนตั้งฉาก ฝึก 8-10 ครั้ง หรือ 1 เซ็ต และทำให้ได้ 4-5 เซ็ต

ท่าสุดท้ายฝึกกล้ามเนื้อหน้าท้อง ทั้งช่วงบนและล่าง หรือเรียกว่า ซูเปอร์เซ็ต ที่เน้นการเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่อง จึงสามารถกระตุ้นการเผาผลาญไขมันได้เป็นอย่างดี ปฏิบัติโดยเริ่มจากนอนราบในท่าเตรียม ชันเข่า 45 องศา ยกลำตัวขึ้นหาช่วงเข่า แต่ไม่ต้องให้ชิดมาก เป็นการบริหารกล้ามเนื้อหน้าท้องส่วนบน ขณะที่ส่วนล่างให้นอนราบในท่าเตรียม แล้วยกขาทั้งสองข้างขึ้นสูง งอเข่าเล็กน้อย ในการทำซูเปอร์เซ็ตให้พยายามพัฒนาจำนวนครั้งให้มากขึ้นเรื่อย ๆ และแบ่งเป็น 5 เซ็ต

อย่างไรก็ตาม การออกกำลังกายด้วยวิธีบริหารเพิ่มกล้ามเนื้อ ควรอยู่ในความดูแลของเทรนเนอร์ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อผลลัพธ์ที่ถูกต้อง โดยสามารถขอคำปรึกษาได้ที่ศูนย์ฝึกเพาะกายทีมชาติไทย 0-2689-5298

ที่มาข้อมูล : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์

ยืดกล้ามเนื้อแก้ปวดหลัง

เมื่อรู้สึกปวดหลัง วิธีบำบัดเบื้องต้นที่ไม่ควรมองข้าม คือ การบริหารกล้ามเนื้อ เพื่อยืดเหยียดกล้ามเนื้อหลังและหน้าท้อง 

 

ช่วยบรรเทาอาการปวดเมื่อยที่เกิดขึ้นได้ด้วยตัวของคุณเอง ก่อนที่จะหันไปรับประทานยาแก้ปวด หรือพบแพทย์เพื่อรักษา

เริ่มจากการนอนหงาย งอเข่าขึ้นตั้งฉาก แขนทั้งสองข้างวางแนบกับพื้น หายใจเข้าและออกลึก ๆ 5-10 ครั้ง จากนั้นดึงเข่าข้างหนึ่งขึ้นมาชิดหน้าอก ค้างไว้ 5 วินาที ทำสลับกับขาอีกข้าง จนครบ 10 ครั้ง แล้วดึงเข่าทั้งสองข้างให้ชิดหน้าอกพร้อมกัน ค้างไว้ 5 วินาที ทำซ้ำ 10 ครั้ง ต่อด้วยการเอียงเข่าท้องสองข้างไปทางด้านซ้ายเพื่อบิดสะโพก ค้างไว้ 5 วินาที สลับกับข้างขวา ทำจนครบ 10 ครั้ง

ยังอยู่ในท่านอนหงาย โดยยกขาขึ้นข้างหนึ่งแล้วเกร็งขายกค้างไว้ 5 วินาที เอาขาลงแล้วยกขาอีกข้างทำสลับกันไป 10 ครั้ง แล้วกลับสู่ท่านอนหงาย ชันเข่าขึ้นตั้งฉาก แอ่นหลังแล้วเกร็งกล้ามเนื้อค้างไว้ 5 วินาที (ซึ่งช่วงก้นยังต้องติดพื้น) ผ่อนลงช้า ๆ จนหลังแนบพื้นนาน 5 วินาที จึงแอ่นหลังขึ้นมาใหม่ทำซ้ำเช่นเดิม 10 ครั้ง

ส่วนการยืดกล้ามเนื้อช่วงสะโพกและเชิงกราน ก็ให้นอนหงาย งอเข่าตั้งฉาก แล้วยกหลังและสะโพกขึ้นจากพื้นให้มากที่สุด เกร็งกล้ามเนื้อค้างไว้ 5 วินาที แล้วค่อย ๆ ลดระดับลงจนหลังและสะโพกแนบพื้น ทำซ้ำเช่นเดิม 10 ครั้ง

ต่อด้วยการนอนหงาย ชันเข่าตั้งฉาก ยกศีรษะขึ้นพร้อมกับเกร็งหน้าท้อง แล้วใช้มือแตะที่เข่า ค้างไว้ 5 วินาที แล้วกลับสู่ท่าเดิม ทำจนครบ 10 ครั้ง

ยังมีท่ายืดเหยียดกล้ามเนื้อหลังโดยตรง เริ่มจากคุกเข่าลงกับพื้นแล้วโน้มลำตัวไปด้านหน้า เหยียดมือทั้งสองข้างแตะพื้น จากนั้นจึงแอ่นหลังพร้อมกับเงยหน้าขึ้นค้างนาน 5 วินาที ทำสลับกับการโก่งหลังและก้มคอลงจนครบ 10 ครั้ง

สเต๊ปต่อมายังอยู่ในท่าคุกเข่าลงกับพื้นแล้วโน้มลำตัวไปด้านหน้า เหยียดมือทั้งสองข้างแตะพื้น แต่ให้เหยียดยืดขาข้างหนึ่งไปด้านหลัง เกร็งค้าง 5 วินาที ทำสลับกับอีกข้างจนครบ 10 ครั้ง ทั้งนี้สามารถเพิ่มการยืดเหยียดที่แขน ขณะยืดขาไปด้านหลังให้ยกแขนข้างตรงกันข้ามขึ้นสูงค้างไว้แล้วยกลงพร้อมกับขา

เปลี่ยนเป็นการนอนคว่ำ ช่วงเขาแนบติดพื้น แล้วแอ่นหลังขึ้นจากพื้นนับ 5 วินาที ผ่อนลงนอนราบท่าเดิม จนครบ 10 ครั้ง จากนั้นยกขาข้างใดข้างหนึ่งขึ้นให้มากที่สุดค้าง 5 วินาที สลับกับขาอีกค้างให้ครบ 10 ครั้ง สุดท้ายในท่านอนคว่ำหน้า ให้ยกศีรษะพร้อมช่วงอกขึ้นจากพื้นให้มากที่สุดค้างไว้นาน 5 วินาที 10 ครั้ง

อย่างไรก็ตาม การบริหารกล้ามเนื้อตามสเต๊ปข้างต้น ไม่ควรทำอย่างรีบร้อนและรุนแรง หากอาการปวดกลับเพิ่มมากขึ้นควรรีบปรึกษาแพทย์.

[email protected]

ที่มาข้อมูล : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์

 

ข้อมูลโดย : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์ , Updated: 22/06/2010

อาหารต้องห้ามกับอาการป่วย

ทราบหรือไม่ว่าอาการป่วยแบบไหนไม่ควรทานอาหารประเภทไหน วันนี้เรามีมาบอก 

 


ไข้หวัดหรือมีไข้สูง ควรหลีกเลี่ยงอาหารที่เย็นมากๆ อาหารทอด และอาหารมัน ซึ่งเป็นอาหารที่ย่อยยาก และทำให้เกิดความร้อนสะสม เพราะจะทำให้มีไข้สูงและตัวร้อนยิ่งขึ้น

โรคหัวใจและโรคไต ควรหลีกเลี่ยงอาการรสเค็มจัด เพราะจะทำให้มีการเก็บกักน้ำ การไหลเวียนเลือดจะช้า ทำให้หัวใจทำงานหนักขึ้น และไตต้องทำงานขับเกลือแร่มากขึ้น ส่วนอาหารรสเผ็ดก็ควรหลีกเลี่ยง

โรคตับและถุงน้ำดี หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ อาหารมัน เนื้อติดมัน เครื่องในสัตว์ อาหารทอด อาหารหวานจัด เพราะตับและถุงน้ำดีมีความสัมพันธ์กับระบบย่อยอาหาร การทานอาหารประเภทดังกล่าวมากเกินไป จะทำให้ประสิทธิภาพของการย่อยอาหารอ่อนแอลง และเกิดโทษต่อตับและถุงน้ำดี

โรคริดสีดวงทวารหรือท้องผูก หลีกเลี่ยงอาหารประเภทหอม กระเทียม ขิงสด พริกไทยและพริก เพราะอาหารเหล่านี้อาจทำให้ท้องผูก หลอดเลือดแตก และอาการริดสีดวงทวารกำเริบได้

รู้อย่างนี้แล้ว ควรหลีกเลี่ยงอาหารที่ไม่เหมาะสมจะดีกว่า.

ที่มาข้อมูล : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์

 

 

 

 

 

 

 

วิธีกำจัดกลิ่นเท้า

สำหรับใครที่มีปัญหาเรื่องกลิ่นเท้าเหม็น วันนี้เรามีวิธีการกำจัดกลิ่นเท้ามาฝาก 

 



เริ่มจากหลังอาบน้ำเสร็จทุกครั้งให้โรยแป้งฝุ่นให้ทั่วเท้า เพื่อไม่ให้เท้าอับชื้น จากนั้นนำถุงน้ำชาที่ชงแล้วสักปราณ 4-5 ถุงมาแช่ในอ่างน้ำอุ่น แช่เท้าลงไปในน้ำอุ่นประมาณ 5-10 นาที เนื่องจากถุงชาช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรียที่เกิดจากการหมักหมมในรองเท้า แนะว่าควรทำอาทิตย์ละ 2 ครั้ง/สัปดาห์

เพียงเท่านี้ เท้าของคุณก็จะไม่มีกลิ่นมากวนใจ.

ที่มาข้อมูล : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

ข้อมูลโดย : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์ , Updated: 14/06/2010

เคล็ดลับลดอาการปวดประจำเดือน

สำหรับสาวๆรู้สึกปวดท้องเวลาที่มีประจำเดือนมา วันนี้เรามีวิธีลดอาการปวดท้องมาบอก 

 


ประคบด้วยกระเป๋าน้ำร้อน โดยเทน้ำร้อนใส่ลงไปในกระเป๋าน้ำร้อน พันด้วยผ้าขนหนู เพื่อไม่ให้ร้อนเกินไป แล้วนำมาวางประคบที่ท้องน้อยประมาณครึ่งชั่วโมงหรือจนกว่าจะรู้สึกดีขึ้น

ออกกำลังกายเบาๆอย่างสม่ำเสมอ เพื่อทำให้ร่างกายหลั่งสารเอ็นดอร์ฟินออกมาเป็นการระงับการปวดธรรมชาติ

รับประทานอาหารที่มีธาตุเหล็กสูง เช่น ตับ ผักใบเขียว เพื่อช่วยให้ร่างกายดูดซึมธาตุเหล็กไปใช้งานได้ดีขึ้น

จิบน้ำอุ่น หรือชาร้อน ในช่วงที่มีอาการปวดท้อง เพราะช่วยลดอาการปวดได้

วิธีง่ายๆลองนำไปใช้ดูได้.

ที่มาข้อมูล : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์

 

 

 

 

เคล็ดลับแก้อาการไมเกรน

ไมเกรนเป็นโรคปวดหัวที่มีความรุนแรง วันนี้เรามีวิธีลดอาการปวดหัวไมเกรนมาฝาก 

 

  • นอนให้พอ เพราะการอดนอนมีส่วนกระตุ้นทำให้ไมเกรนกำเริบ
  • สังเกตอาการ ควรสังเกตอาการของโรคระยะแรกๆว่าเป็นอย่างไร เนื่องจากการรักษาโรคในระยะแรกๆได้ผลดีกว่าการรักษาหลังเป็นโรคนานๆ แนะว่าช่วงไหนที่ปวดหัวไมเกรนให้หลีกเลี่ยงที่ที่มีเสียงดังมากๆ เพื่อลดความเครียดที่อาจทำให้โรคกำเริบได้
  • กินอาหารให้ตรงเวลา การกินอาหารไม่ตรงเวลาหรืองดอาหารเป็นบางมื้ออาจทำให้เกิดภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ ซึ่งเป็นตัวกระตุ้นสำคัญที่ทำให้อาการปวดหัวกำเริบ
  • ลดขนม น้ำตาล การกิน อาหารหวานมากๆ เครื่องดื่ม หรือลูกอมที่มีน้ำตาลมากๆ อาจทำให้ ระดับน้ำตาลในเลือดจะขึ้นๆลงๆ และไปกระตุ้นอาการปวดหัวได้
  • ไม่ดื่มเครื่องดื่มที่ทีแอลกอฮอล อย่างเช่น เหล้า เบียร์ ไวน์ ที่มีส่วนกระตุ้นทำให้ปวดหัวไมเกรนเพิ่มขึ้นได้
  • เตรียมยาแก้ปวดไว้ประจำบ้าน อย่าปล่อยให้ยาหมด หากต้องเดินทางบ่อยให้ทำรายการเช็คของใช้ ที่รวมยาไว้เสมอ

วิธีง่ายๆลองนำไปใช้ดูได้.

ที่มาข้อมูล : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์

ข้อมูลโดย : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์ , Updated: 22/06/2010

กีวีผลไม้มีประโยชน์

กีวีถือเป็นผลไม้ชนิดหนึ่งที่มีประโยชน์ต่อร่างกายสูง วันนี้เรามีประโยชน์ที่ได้รับจากกีวีมาบอก... 

 


แหล่งวิตามินซีในปริมาณสูงสุด

กีวีสีเขียวและกีวีโกลด์ หรือกีวีสีทอง กีวีทั้งสองชนิดมีปริมาณวิตามินซีสูงสุดถ้าเทียบกับผลไม้ชนิดอื่น เช่น ส้ม หรือมะละกอ จากการวิจัยพบว่า กีวี หนึ่งผลมีวิตามินซีมากกว่าส้มหนึ่งลูกถึง 74% การรับประทานกีวีสองผลต่อวันจะช่วยเพิ่มปริมาณวิตามินซีในร่างกายอย่างเห็นได้ชัด ช่วยกระตุ้นการทำงานของภูมิคุ้มกันโรคซึ่งจะช่วยป้องกันไข้หวัด และซ่อมแซมร่างกายส่วนที่สึกหรอแถมยังกระตุ้นการสร้างเซลล์ใหม่ๆ

อุดมด้วยโฟเลต สำหรับคุณแม่ตั้งครรภ์

โฟเลตมีบทบาทสำคัญในการสร้างสารพันธุกรรม จำเป็นอย่างยิ่งสำหรับเด็กทารกและคุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์ เพราะเป็นช่วงที่ร่างกายต้องการเซลล์ใหม่เป็นจำนวนมาก การรับประทานโฟเลตเป็นประจำทั้งก่อนและระหว่างตั้งครรภ์ จะช่วยทำให้ผิวและเซลล์เม็ดเลือดมีสุขภาพดี กีวีมีปริมาณโฟเลตสูงสุดเมื่อเปรียบเทียบกับกล้วย มะม่วง สัปปะรด และแอปเปิ้ล โดยมากกว่ากล้วย 49% และมากกว่ามะม่วงถึง 112.8%

สุดยอดคุณค่าวิตามินอี

วิตามินอี มีคุณสมบัติช่วยชะลอความแก่ ด้วยสารต้านอนุมูลอิสระที่ลดความเสื่อมของอวัยวะต่างๆ อีกทั้งยังช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล และช่วยในการไหลเวียนของเลือดอีกด้วย จากการวิจัยพบว่า กีวีมีปริมาณวิตามินอีสูงสุด โดยเฉพาะกีวีทอง จะมีวิตามินอีมากกว่ามะม่วงถึงหนึ่งเท่า

เต็มที่ด้วยพลังไฟเบอร์

ไฟเบอร์หรือเส้นใยอาหารเป็นสารที่ไม่ให้พลังงานในร่างกาย แต่สามารถทำให้อิ่มได้เร็วและนาน นอกจากนี้ ยังช่วยชำระล้างและปรับปรุงระบบย่อยอาหาร รวมถึงส่งเสริมให้หัวใจและร่างกายแข็งแรง กีวีเขียวหนึ่งผลมีปริมาณไฟเบอร์มากกว่ากล้วย 15% และมากกว่าแอปเปิ้ลและส้มถึง 25%

รู้อย่างนี้แล้ว หันมารับประทานกีวีกันเยอะ ๆ เพื่อสุขภาพที่ดีแถมยังไม่อ้วนอีกด้วย.

ที่มาข้อมูล : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์

 

ข้อมูลโดย : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์ , Updated: 22/06/2010

เครื่องดื่มเพิ่มพลังยามเช้า

ใครที่อยากเพิ่มพลังให้ตัวเองในตอนเช้า วันนี้เรามีเครื่องดื่มสำหรับเพิ่มพลังในตอนเช้ามาบอก... 

 


น้ำมะนาว
ลองหาน้ำมะนาวมาดื่มตอนเช้า เพราะในน้ำมะนาวจะมีกรดซิตริก มีวิตามินซีที่นอกจากจะช่วยขับเสมหะ แก้อาการเจ็บคอแล้วยังช่วยให้ร่างกายสดชื่น แถมกลิ่นหอมอ่อน ๆ จากเปลือกที่โดนคั้นยังช่วยให้รู้สึกผ่อนคลายได้อีก

น้ำขิง
สำหรับคนที่มีอาการเมาค้าง คลื่นไส้ อยากอาเจียน ก็ขอแนะนำน้ำขิงร้อน ๆ สักแก้ว เพราะในขิงมีสารเคมีชนิดหนึ่งที่เรียกว่า จินเจอรอล เป็นสารเคมีประเภทน้ำมันหอมระเหย จัดอยู่ในกลุ่มแอลกอฮอล์ที่ไม่ทำให้รู้สึกมึนเมา แถมยังแก้อาการเมาได้ดี การทำน้ำขิงให้อร่อยนั้น ควรบุบหัวขิงที่ไม่แก่จัดจนเกินไป ต้มด้วยน้ำร้อนพอเดือด อย่าต้มนานเกินไป เพราะขิงจะเสียรสและกลิ่นไปได้

น้ำผักหรือน้ำผลไม้
เป็นเครื่องดื่มที่อุดมไปด้วยวิตามินหลายชนิด โดยเฉพาะวิตามินซี วิตามินเอ โฟลิคแอซิด และแร่ธาตุ เช่น โซเดียม โปแตสเซียม สังกะสี นอกจากนั้นในน้ำผักและน้ำผลไม้ยังมีส่วนผสมของน้ำตาลโดยธรรมชาติ ซึ่งสามารถให้พลังงานแก่ร่างกาย ช่วยให้หายเหนื่อย หายเพลีย ทำให้ร่างกายรู้สึกสดชื่น

น้ำหวาน
คนที่นอนดึกส่วนใหญ่ยามเช้าจะมีอาการปวดหัว มึนศีรษะ เกิดอาการเครียดทางประสาท ซึ่งอาจเป็นเพราะร่างกายพักผ่อนไม่เพียงพอ ควรรับประทานอาหารเช้าที่มีแป้งและน้ำตาลซึ่งจะสามารถช่วยได้ โดยเฉพาะน้ำตาลนั้นจะถูกดูดซึมได้ดีและง่าย ดังนั้นน้ำหวานจะทำให้จิตใจสงบ คลายอาการเครียดและมึนงงได้อย่างดี

นมถั่วเหลือง
เหมาะสำหรับคนที่รักสุขภาพ เพราะนมถั่วเหลืองเป็นเครื่องดื่มที่ให้โปรตีนที่มีคุณสมบัติเหมือนโปรตีนจากเนื้อสัตว์

กาแฟ
กาแฟเป็นเครื่องดื่มยามเช้าของคนทำงาน เพราะกาแฟช่วยกระตุ้นความสดชื่นก่อนลงมือทำงาน นอกจากนี้ยังสามารถช่วยลดความเสี่ยงจากการเกิดนิ่วในถุงน้ำดี มะเร็งลำไส้ใหญ่ ลดอาการหอบในผู้ที่เป็นโรคหอบหืด และเป็นผลดีต่อนักกีฬาในการเพิ่มความทนทานและความอึดในกีฬาที่ต้องใช้เวลานาน

ถ้าอยากรู้สึกสดชื่นยามเช้า ก็ลองหาเครื่องดื่มที่แนะนำมาดื่มกันดูได้.

ประโยชน์จากโยเกิร์ต

โยเกิร์ตเป็นอาหารที่อร่อย แถมยังมีประโยชน์มากมาย วันนี้เรามีเรื่องนี้มาฝาก 

 



เวลาท้องเสียเป็นเพราะมีเชื้อจุลินทรีย์อยู่ในลำไส้ แต่เชื้อจุลินทรีย์ในโยเกิร์ตสามารถฆ่าเชื้อแบคทีเรียชนิดเลวทั้งหลาย การกินโยเกิร์ตจึงทำให้อาการท้องเสียทุเลาอย่างรวดเร็ว ทำให้ถ่ายน้อยลงหรือหยุดถ่าย

โยเกิร์ตมีไขมันชื่อคอนจูเกตเต็ดไลโนเลอิก ช่วยป้องกันโรคหัวใจ

โยเกิร์ตไขมันต่ำ 1 ถ้วย เป็นแหล่งรวมของสารอาหารถึง 11 ชนิด และแต่ละชนิดเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับร่างกาย อย่างไอโอดีน แคลเซียม ฟอสฟอรัส วิตามินบี 2 โปรตีน วิตามินบี 12 ทริปโทฟาน โพแทสเซียม โมลิปเดนัม สังกะสี และวิตามินบี 5

โยเกิร์ตให้โปรตีนและแคลเซียมสูงกว่านมธรรมดา เพราะลำไส้ย่อยนมไม่ได้ แต่สำหรับโยเกิร์ตสามารถทำได้ เพราะในโยเกิร์ตมีกรดแลกติกที่จะช่วยย่อยแคลเซียมให้เล็กลง ทำให้ร่างกายดูดซึมไปใช้ได้

จุลินทรีย์ทั่วไปอาจทำร้ายร่างกายแต่แลคโตบาสิลัสในโยเกิร์ตเป็นจุลินทรีย์ชนิดดีที่ร่างกายต้องการ เพราะจะไปหยุดการเจริญเติบโตของเชื้อ "เฮลิโคแบคเตอร์ เอชไพโลไร" ที่ทำให้เกิดโรคกระเพาะ ลดการอักเสบของลำไส้และไขข้อ แถมยังทำตัวเป็นนักปราบปรามจุลินทรีย์ที่จะทำให้เป็นมะเร็งปากมดลูก ช่วงที่มีรอบเดือนผู้หญิงจึงควรทานโยเกิร์ตเป็นประจำ

แคลเซียมสูงที่ได้จากโยเกิร์ตจะช่วยป้องกันโรคกระดูกพรุน ความดันสูง มะเร็งลำไส้ และยังกระตุ้นระบบเผาผลาญทำให้ผอมเองโดยไม่ต้องเหนื่อย

ทำให้ปากสะอาด กำจัดกลิ่นปากและโรคเหงือก

เพิ่มภูมิต้านทานให้ร่างกาย เพราะแบคทีเรียในโยเกิร์ตทำให้ร่างกายสังเคราะห์วิตามินเคและบีในลำไส้ได้ดีขึ้น

รู้อย่างนี้แล้ว หันมารับประทานโยเกิร์ตเป็นประจำกันดีกว่า เพื่อร่างกายที่แข็งแรง.

ที่มาข้อมูล : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์

 

 

 

เกรปฟรุต-สับปะรด เสริมภูมิคุ้มกัน

หากอยากมีร่างกายที่แข็งแรง มีภูมิคุ้มกันต้านเชื้อโรคจะได้ไม่เจ็บป่วยง่าย ลองดูเครื่องดื่มที่มีสรรพคุณเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน เพื่อสุขภาพที่สมบูรณ์แข็งแรง โดยอาศัยสารอาหารที่มีประโยชน์จากเกรปฟรุต และสับปะรด 

 


หากอยากมีร่างกายที่แข็งแรง มีภูมิคุ้มกันต้านเชื้อโรคจะได้ไม่เจ็บป่วยง่าย มุมสุขภาพ-กินดี เตรียมเครื่องดื่มที่มีสรรพคุณเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน เพื่อสุขภาพที่สมบูรณ์แข็งแรง โดยอาศัยสารอาหารที่มีประโยชน์จากเกรปฟรุต และสับปะรด

เกรปฟรุต อุดมไปด้วยแคลเซียม ฟอสฟอรัส โพแทสเซียม วิตามินซี กรดซิตริก และไบโอฟลาโวนอยด์ ซึ่งมีประโยชน์กับตับ ดีต่อภูมิคุ้มกันของร่างกาย สามารถชะล้างสารพิษและทำความสะอาดร่างกาย ทั้งยังช่วยละลายเมือกและของเสียจากระบบภายในร่างกายทั้งหมด ปรับค่าพีเอชของเลือดและของเหลวในร่างกายให้มีความเป็นด่าง

นอกจากนี้เกรปฟรุตยังมีกรดซาลิไซลิก ช่วยละลายแคลเซียมที่ตกผลึกและอยู่ตามข้อต่อ บรรเทาโรคข้อต่ออักเสบได้

สำหรับ สับปะรด เปี่ยมด้วยวิตามินซี กรดโฟลิก โพแทสเซียม โซเดียม และแมกนีซียม โดยรวมแล้วสับปะรดสามารถต้านอาการอักเสบและช่วยย่อยโปรตีนได้ดี แถมยังมีเอนไซม์โบรเมลิน ที่ช่วยรักษาค่าพีเอชของร่างกายให้สมดุล

ส่วนผสมของเครื่องดื่มมีให้เตรียมดังต่อไปนี้...

เกรปฟรุต 2 ถ้วย
สับปะรด 1 ถ้วย
น้ำแร่ 1 ถ้วย
น้ำแข็งป่น 1 ถ้วย

ขั้นตอนในการผสมเครื่องดื่ม เริ่มด้วยการนำเกรปฟรุต (จะปอกเปลือกหรือไม่ก็ได้ แต่ส่วนแกนและเมล็ดไม่ควรทิ้ง) และสับปะรดหั่นเป็นชิ้นขนาดกลาง จากนั้นนำไปสกัดเอาแต่น้ำด้วยเครื่องสกัดน้ำผักและผลไม้ เติมน้ำแร่ลงไปเล็กน้อย คนส่วนผสมให้เข้ากัน เติมน้ำแข็งป่นเพื่อความเย็นสดชื่น พร้อมดื่มได้ทันที.

[email protected]

ที่มาข้อมูล : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์

 

 

 

 

 

 

ประโยชน์จากยอดผัก

ทราบหรือไม่ว่า ยอดผักที่รับประทานกันเป็นประจำ มีประโยชน์หลากหลาย วันนี้เรามีเรื่องนี้มาฝาก... 

 


ผักบุ้ง ยอดผักบุ้งเป็นที่รวมของวิตามินเอ วิตามินบี 1 บี 2 วิตามินซี และใยอาหาร บำรุงสายตา

ผักกระเฉด มีวิตามิน ทั้งธาตุเหล็ก แคลเซียม ฟอสฟอรัส วิตามินซี ที่สำคัญยังมีเบต้าแคโรทีน อาหารของผิวสวยรวมอยู่ด้วย

ชะอม อุดมไปด้วยโปรตีนและวิตามินซี

ยอดกระถิน มีเบต้าแคโรทีน ที่ต่อต้านโรคมะเร็ง และผู้หญิงที่กำลังมีรอบเดือน ถ้ากินกระถินแล้วจะได้ธาตุเหล็กกลับไปสร้างเม็ดเลือดได้อีก

ตำลึง อุดมไปด้วยเบต้าแคโรทีน แคลเซียม ฟอสฟอรัส ธาตุเหล็ก วิตามินซี

รู้อย่างนี้แล้ว หันมารับประทานยอดผักชนิดต่าง ๆ กันดีกว่าเพื่อสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง.

ที่มาข้อมูล : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

ข้อมูลโดย : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์ , Updated: 04/06/2010

‘น้ำใบบัวบก’ ทำตาใสปิ๊ง!

อย่าเข้าใจว่า ใบบัวบก มีไว้ แก้ช้ำใน อย่างเดียว เพราะสรรพคุณทางยาตัวอื่น ๆ ที่อยู่ในผักใบเขียว ใบบัวบก ยังมีอีกเพียบ อาทิ บำรุงสายตา บำรุงสมอง ควบคุมระดับแรงดันโลหิตให้เป็นปกติ ลดภาวะความเป็นหมัน ช่วยชะลอความแก่

 



อย่าเข้าใจว่า ใบบัวบก มีไว้ แก้ช้ำใน อย่างเดียว เพราะสรรพคุณทางยาตัวอื่น ๆ ที่อยู่ในผักใบเขียว ใบบัวบก ยังมีอีกเพียบ อาทิ บำรุงสายตา บำรุงสมอง ควบคุมระดับแรงดันโลหิตให้เป็นปกติ ลดภาวะความเป็นหมัน ช่วยชะลอความแก่ ช่วยป้องกันร่างกายด้วยการกำจัดสารพิษตกค้างในร่างกาย แก้ช้ำใน บำรุงกำลัง บำรุงหัวใจ แก้อ่อนเพลีย เมื่อยล้า ขับปัสสาวะ แก้อาการเริ่มเป็นบิด ท้องร่วง เป็นยาขจัดเลือดเสีย แก้โรคผิวหนัง แก้พิษงูกัด ระดูขาว ดับพิษไข้ แก้อาเจียนเป็นเลือด และดีซ่าน เป็นต้น

บัวบก เป็นพืชปลูกง่าย มีประวัติการใช้ประโยชน์ทางยามานาน มีใช้ทั้งในตำราอายุรเวทของประเทศจีนและแพทย์แผนไทย พบมากในประเทศแถบยุโรป แอฟริกา อินเดีย ปากีสถาน และศรีลังกา พบว่า ส่วนสำคัญที่มีคุณสมบัติพิเศษอยู่ที่ ส่วนของใบและราก

ศุกร์นี้ กินดี จึงหยิบเมนูสุขภาพทำได้ไม่ยากมาให้ลอง เมนูที่ว่าคือ น้ำใบบัวบก เตรียมส่วนผสม 3 อย่างคือ ใบบัวบก 10 กรัม, น้ำเปล่าต้มสุก 240 กรัม และน้ำเชื่อม 15 กรัม น้ำเชื่อมจะใส่มากใส่น้อย หรือไม่ใส่ก็ตามชอบ

มาถึงวิธีทำ ล้างใบบัวบกให้สะอาด นำใส่เครื่องปั่นเติมน้ำต้มสุกเล็กน้อย แล้วปั่นจนละเอียด คั้นกรองเอาแต่น้ำ เติมน้ำเชื่อมปรุงรสตามใจชอบ

เมนูอร่อยเพื่อสุขภาพ ท้าให้ลอง

[email protected]

ที่มาข้อมูล : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์

 

ข้อมูลโดย : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์ , Updated: 04/06/2010

ทาน ‘งา’ ประจำ ทำลายความแก่!

งา ในที่นี้ไม่ได้หมายถึง งาช้าง แต่หมายถึง งา อาหารที่อุดมไปด้วยคุณประโยชน์นานัปการ มุมสุขภาพ-กินดี วันนี้ จึงขอแนะนำให้ผู้อ่านทราบถึงคุณค่าของงา

 

งา ในที่นี้ไม่ได้หมายถึง งาช้าง แต่หมายถึง งา อาหารที่อุดมไปด้วยคุณประโยชน์นานัปการ มุมสุขภาพ-กินดี วันนี้ จึงขอแนะนำให้ผู้อ่านทราบถึงคุณค่าของงา

เริ่มจาก งาดำ ที่ได้รับความนิยมอยู่ในขณะนี้ มักอยู่ในรูปของส่วนผสมในเครื่องดื่มชนิดต่าง ๆ การรับประทานงาดำจะช่วยให้นอนหลับได้สนิท และตื่นนอนพร้อมความรู้สึกสดชื่นกระปรี้ประเปร่า ทั้งยังป้องกันเหน็บชา ป้องกันอาการท้องผูก บำรุงกระดูก และบำรุงรากผม ทำให้ผมดกดำ

ส่วน น้ำมันงาดิบ หากนำมาใช้นวดตัวเป็นประจำ ช่วยปรับระบบประสาท คลายกล้ามเนื้อ ชะลอความเสื่อมของผิวหนังและกล้ามเนื้อ ให้แลดูอ่อนเยาว์กว่าวัยอยู่เสมอ

อย่างไรก็ตาม งา ถือเป็นอาหารที่อุดมไปด้วยวิตามินนานาชนิด เช่น บี1, 2, 3, 5, 6 และ 9 มีสรรพคุณในการช่วยย่อยไขมัน ลดคอเลสเตอรอล ทั้งยังมีวิตามินอี ซึ่งเป็นยาอายุวัฒนะ ชะลอความแก่ และเป็นอาหารที่มีสารต้านอนุมูลอิสระป้องกันการเกิดมะเร็ง เหมาะกับทุกเพศทุกวัย

สำหรับเมนูสุขภาพที่ปรุงจากงา ทำไม่ยากที่จะแนะนำ คือ เกี๊ยวกรอบคลุกงา มีส่วนเพียงไม่กี่อย่าง ประกอบด้วย

แผ่นเกี๊ยว
งาขาว และงาดำ อย่างละ 4 ช้อนโต๊ะ
เกลือ พอประมาณ
น้ำมันพืชสำหรับทอด พอประมาณ

ส่วนขั้นตอนในการทำ เริ่มด้วยการนำงาทั้งสองชนิดมาผสมกัน นำแผ่นเกี๊ยวพรมน้ำเล็กน้อย จากนั้นโรยหน้าด้วยงาที่ผสมรอไว้ นำลงทอดในกระทะที่มีน้ำมัน 1 ใน 3 ทอดจนแผ่นเกี๊ยวฟูและเหลืองกรอบ ตักขึ้นซับน้ำมันแล้วโรยเกลือเล็กน้อย สามารถรับประทานพร้อมน้ำจิ้มรสหวาน หรือนำไปใส่ในสลัดผักก็ยังได้

เมื่อทราบว่า งา อัดแน่นไปด้วยสรรพคุณควรคู่กับร่างกายแล้ว อย่าลืมรับประทานงาเป็นประจำเพื่อสุขภาพที่แข็งแรง.

[email protected]

ออกกำลังกายตามกรุ๊ปเลือด

วิธีออกกำลังกายให้เหมาะสมกับกรุ๊ปเลือดที่แตกต่าง เพื่อเสริมสร้างสุขภาพกายและใจ ไม่ทำให้ร้ายกล้ามเนื้อเพราะการออกกำลังกายอย่างหักโหม

 

วันนี้ ยืดเส้นยืดสาย เตรียม

เริ่มจากเลือดกรุ๊ปเอ ควรออกกำลังกายแบบช้า ๆ ออกแรงไม่มาก เช่น โยคะ ไท้เก๊ก ชี่กง เพราะมีโครงกระดูกเล็ก หักง่าย สืบเนื่องจากอาหารที่เหมาะสมของคนเลือดกรุ๊ปเอ คือ อาหารประเภทมังสวิรัติ หรือรับประทานเนื้อสัตว์เพียงเล็กน้อย

ส่วนเลือดกรุ๊ปบี ที่รับประทานอาหารทั้งผักทั้งเนื้อสัตว์ได้ในสัดส่วนที่เท่ากัน จึงมีความว่องไว ให้ออกกำลังกายอย่างสมดุล ไม่หักโหมหรือเชื่องช้าเกินไป เช่น ว่ายน้ำ เดินเร็ว วิ่งเหยาะๆ กอล์ฟ ปิงปอง

สำหรับผู้ที่มีเลือดกรุ๊ปเอบี เปรียบเสมือนส่วนผสมของกรุ๊ปเอและบี ให้สังเกตตนเองว่ามักเลือกรับประทานอาหารของกรุ๊ปเอ หรือกรุ๊ปบีมากกว่ากัน เมื่อทราบแล้วก็ให้ออกกำลังกายตามลักษณะของเลือดกรุ๊ปนั้น แต่ก็ควรเพิ่มการออกกำลังกายในแบบที่เหมาะกับเลือดอีกกรุ๊ปด้วย เช่น มักรับประทานผักและผลไม้อย่างคนเลือดกรุ๊ปเอ ก็ให้ออกกำลังกายแบบช้า ๆ เป็นหลัก และเสริมด้วยการออกกำลังกายของคนเลือดกรุ๊ปบีบ้าง

ขณะที่คนเลือดกรุ๊ปโอ เหมาะสมกับการออกกำลังกายชนิดที่ต้องออกแรงมาก เช่น ฟุตบอล บาสเกตบอล วิ่งทางไกล ชกมวย เนื่องจากสภาพร่างกายสามารถบริโภคเนื้อสัตว์ที่มีไขมันสูงและผักได้ในปริมาณมาก ทำให้มีโครงกระดูกที่แข็งแรง กล้ามเนื้อกระชับแน่น

ไม่ว่าคุณจะมีเลือดอยู่ในกรุ๊ปใด ต้องไม่ลืมการเดินเร็ว 10 นาที หลังจากออกกำลังกายตามกรุ๊ปเลือดทุกครั้ง นอกจากนี้ยังควรออกมายืดเส้นยืดสายเคลื่อนไหวร่างกายให้ผิวหนังถูกแสงแดดราว 20 - 30 นาที ในช่วงเวลา 11.00 - 14.00 น. เพราะในช่วงเวลาดังกล่าวมีรังสียูวีในระดับเข้มข้น ช่วยให้ร่างกายได้รับวิตามินดี 3 เพื่อช่วยลำเลียงแคลเซียมและแร่ธาตุต่าง ๆ ไปยังกระดูก โดยไม่ต้องกังวลว่าจะเป็นมะเร็งผิวหนัง หากไม่ได้ออกมารับแสงแดดด้วยการนอนอาบแดดอยู่เฉย ๆ กับที่ซึ่งเป็นอันตรายต่อผิวหนัง.

 

ข้อมูลโดย : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์ , Updated: 28/08/2009

ฟอกสีฟันดีมั้ย!!??

มันมีผลข้างเคียงอะไรหรือเปล่า ก่อนทำต้องเตรียมตัวยังไงบ้าง

 

มีคนรอบข้าง ถามว่า ฟันมีสีคล้ำ จะไปฟอกสีฟันดีมั้ย

ดังนั้นเพื่อให้ผู้อ่านได้รับทราบข้อมูลไปพร้อม ๆ กัน X-RAY สุขภาพ จึงมาพูดคุยกับ ทันตแพทย์หญิงชนิดา ธรรมสุนทร สถาบันทันตกรรม กรมการแพทย์ กระทรวง สาธารณสุข

ทันตแพทย์หญิงชนิดา อธิบายว่า การฟอกสีฟัน เพื่อทำให้ฟัน

คำสำคัญ (Tags): #สุขภาพ
หมายเลขบันทึก: 375751เขียนเมื่อ 16 กรกฎาคม 2010 14:43 น. ()แก้ไขเมื่อ 18 เมษายน 2012 23:54 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท