เรื่องราว เก้าห้อง
ถนนนางงาม สงขลา หรือเก้าห้องย่านวัฒนธรรมจีน-ไทย สงขลายุคบ่อยาง
เก้าห้อง เป็นชื่อดั้งเดิมของถนนนางงามซึ่งตั้งมาตั้งแต่ปี ๒๓๘๕ ครั้งตั้งหลักเมืองสงขลาใหม่ๆ หลังย้ายเมืองสงขลาจากฝั่งแหลมสนมายังฝั่งตะวันออก(บ่อยาง)ที่ได้ชื่อ เก้าห้องเนื่องจากถนนสายนี้มีบ้านอยู่ ๙ คูหา และได้เปลี่ยนชื่อจาก ถนนเก้าห้อง มาเป็นถนนนางงาม สาเหตุเพราะ หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อปี ๒๔๗๕ ได้มีการเฉลิมฉลองและมีการประกวดนางงามสงขลาขึ้นเป็นครั้งแรก เมื่อปี ๒๔๗๘ ปรากฏว่าสาวงามจากถนนนางงาม ชื่อ นงเยาว์ (แดง) โพธิสาร สกุลเดิม บุญยศิวะ ลูกนายฮ่อง นางหั้ว บุญยศิวะ ได้รับคัดเลือกให้เป็นนางงามสงขลาคนแรก สมรสกับครูถ้อง หรือครูสหัส โพธิสาร และต่อมาคนสงขลา เรียก ถนนเก้าห้อง ว่า ถนนนางงาม ติดปากมากกว่าเก้าห้อง มาจนบัดนี้ และ คุณหญิงกมลทิพย์ สุดลาภา ภริยา คุณเชาวัศน์ สุดลาภา ก็เป็นอดีตนางงามสงขลาอีกคนหนึ่งที่มีภูมิลำเนาอยู่ที่ถนนนางงาม หรือ ย่านเก้าห้อง
บ้านเดิมของนางงามสงขลาคนแรก คุณนงเยาว์ (แดง) โพธิสาร สกุลเดิม บุญยศิวะ และที่มาของชื่อถนนนางงาม ปัจจุบันขายเปลี่ยนมือไปแล้ว เป็นร้าน ต้นรักฟอลิสท์ รับจัด และจำหน่ายดอกไม้ตกแต่งในงานพิธีต่างๆ
ถนนนางงาม เป็นที่ตั้งของศาลหลักเมืองสงขลา ซึ่งสร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. ๒๓๘๕ ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๓ และพระยาวิเชียรคีรี (บุญสังข์) เป็นผู้สำเร็จราชการเมือง ถนนสายนี้เป็นย่านที่อยู่อาศัยของคนจีนเก่าแก่นานเกือบ ๓๐๐ ปี ควบคู่กับถนนนครนอก นครใน จึงมี สถาปัตยกรรม อารยธรรม และวัฒนธรรม อาหารการกินของชาวจีนเก่าแก่ที่มีชื่อเสียง รสชาติดี หลากหลายอย่าง อาทิ
สิ่งก่อสร้าง
ศาลหลักเมืองสงขลาตั้งอยู่บรเวณเก้าห้อง ถนนนางงาม
กลุ่มประชาคมสงขลาจัดเสวนาเล่าเรื่อง "สงขลาแต่แรก" บริเวณย่านงานถนนคนเดินของเทศบาลนครสงขลา ริมกำแพงเมืองเก่า บนถนนจะนะ
โรงแรมนางงาม
ขนมและอาหารการกินไทย-จีน เก่าแก่ดั้งเดิมที่มีชื่อเสียงของสงขลา
ขนมกะรอจี๊ หรือขนมม่อชี่จีน
ขนมไทยโบราณร้านสอง-แสน
นับตั้งแต่หัวถนนยะหริ่งไปทางทิศใต้ คือบริเวณย่านเก้าห้องบนถนนนางงาม
ถนนนางงาม หรือเก้าห้อง ยังเป็นย่านที่อยู่ของร้านตัดเย็บเสื้อผ้าเก่าแก่ ช่างชาวจีนฝีมือดีของสงขลา หลายร้าน อาทิ
และเนื่องจากถนนนางงามอยู่ในย่านกลางใจเมืองใกล้ตลาด ยังคงมีสามล้อถีบพ่วงข้าง หรือล่อหลี เก่าๆกับคนถีบแก่ๆยังมีถีบรับส่งผู้โดยสารให้เห็นอยู่บ้างแบบบางตา น่าเสียดาย ว่าสามล้อถีบพ่วงข้างหรือล่อหลี กำลังจะสูญพันธุ์ไปจากสงขลา ตามคำว่า “ล่อหลี” ที่ใช้เรียกสามล้อในยุคก่อนที่เด็กยุคนี้ไม่รู้จักความหมาย คล้ายๆกับ คำว่า “เขก” ที่เป็นหน่วยนับเงินตราซึ่งมีค่าเท่ากับ ห้าสิบสตางค์ ที่สูญพันธุ์ไปแล้ว
ล่อหลี หรือสามล้อถีบพ่วงข้าง ยังคงมีถีบรับ-ส่งผู้โดยสารให้เห็นอยู่บ้างแบบบางตา
ชิมแล้วเกือบทุกอย่างตัวแม่ไปเองหายห่วงร่อนไปทีละร้านอุอหนุนทั่วหน้าไม่ทำให้เจ้าไหนเสียใจเลยเร็วๆนี้จะมีโครงการ1วันยำมันทุกร้านตั้งต้นแต่เช้าเลยกินครบทุกร้านยาวไปถึงเย็นพอดี สุขใดหาไหนปาน
ขอบคุณที่แวะเข้ามาทักทายเยี่ยมชม
ถ้าไปสงขลาตรงกับวันศุกร์และเสาร์ มีถนนคนเดินชื่อ"สงขลาแต่แรก"(หมายฟามว่าสงขลาแต่เก่าก่อน)เริ่ม4โมงเย็นจนถึง3ทุ่ม มีของกินโบราณด้วย นายกฯเทศมนตรีกำลังลุ้นให้คนที่รู้สูตรอาหารเก่าๆช่วยเอาออกมาโชว์เยอะๆ
สงขลานอกจากวันศุกร์-เสาร์ที่มีบรรยากาศของถนนคนเดินที่มีวิถีเมืองแบบเดิมๆผสมใหม่ให้คนรุ่นหลังได้ศึกษาเรียนรู้ หากมาเที่ยวสงขลาเช้าวันอาทิตย์มีตลาดวิถีบ้านๆที่มาจากโซนบก และโซนเหนือมีสินค้าและวิถีที่น่าสนใจมาก เทียบได้กับตลาดจตุจักรของกรุงเทพ แต่ที่สำคัญคือตลาดรถไฟแห่งนี้เป็นที่ระบาย แลกเปลี่ยนสินค้าของชาวบ้าน กับชาวเมือง มายาวนานเกือบ ๓๐ ปี น่าสนใจมาก
สวัสดีครับ ถือเป็นความโชคดีอย่างมากของผมที่ค้นคว้าเจอของมูลเว็บไซต์นี้ครับ พอดีผมและกลุ่มกำลังศึกษาเรื่อง "รถสามล้อพ่วง" ของจังหวัดสงขลาครับ เผอิญ ได้เจอคำศัพท์ใหม่ว่า "ล่อหลี" ซึ่งเกิดเป็นที่น่าสนใจอย่างยิ่งครับว่ามีที่มาที่ไปของคำนี้อย่างไร โดยเบื้องต้นได้ข้้อมูลเพิ่มเติบของศัพท์จากสารานุกรมภาคใต้ครับ ซึ่งอธิบายว่า "ลอหลี้" "ล่อหลี" นั้นจากภาษาอังกฤษ คำว่า "Lorry" ซึ่งมีความหมายว่า "รถบรรทุก" เป็นภาษาอังกฤษที่ใช้โดยชาวจีนครับ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นกระผมก็ใครที่จะได้เรียนรู้เพิ่มเติมอีก จึงเรียนมาถามข้อมูลดังกล่าวมาครับ จักขอบพระคุณอย่างสูงครับ (นิสิต ม.ทษ)
รู้แต่ว่าคุณกมลทิพย์ สุดลาภา เป็นธิดาในขุนระบินประกาศ ผู้ที่มีชื่อเสียงย่านถนนเก้าห้อง สงขลา
ร้านก๋วยเตี๋ยวผัดอยู่ตรงไหนเหรอค่ะจะลองไปทานดู คือทุกร้านที่ว่ามาทานหมกเล้ว ยกเว้นเเค่ร้านนี้ อยากไปลองทานดู
เบี้ย ๕๐ ตังค์ บ้านครู
ขอปรับเรื่องเหรียญ ๕๐ สต.คนบ้านผม อ.หาดใหญ่ จะเยียกว่า “โขก” ๑ โขก = ๕๐ ตางค์…….