ขณะที่จุดมุ่งหมายการจัดการศึกษาตาม พรบ.การศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2542และที่แก้ไขเพิ่มเติม(ฉบับที่ 2) พ.ศ.2545 มาตรา 6 ที่ว่า “การจัดการศึกษาต้องเป็นไปเพื่อพัฒนาคนไทยให้เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ทั้งทางร่างกาย จิตใจ สติปัญญา ความรู้ และคุณธรรมจริยธรรม และวัฒนธรรมในการดำรงชีวิต สามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีความสุข” ที่เราเรียกกันคุ้นหูว่า “เก่ง ดี มีสุข” นั้น
ขณะเดียวกันผมก็มีความรู้สึกว่าละครทีวีไทยซึ่งเป็นสื่อสารมวลชนที่คนทุกเพศทุกวัยดูกันมากส่วนใหญ่ กลับผลิต-สร้าง - นำเสนอ ไม่ค่อยสอดคล้องกับจุดมุ่งหมายการจัดการศึกษาดังกล่าว โดยเฉพาะละครที่กำลังได้รับการกล่าวขวัญมากขณะนี้คือเรื่องไทรโศก
ปกติผมไม่ค่อยสนใจดูละครไทยทำนองนี้นัก แต่ชอบดูละครเกาหลีมากกว่า โดยเฉพาะขณะนี้ชอบดู เรื่องซอนต๊อกฯ แต่พอได้ยินเสียงวิพากษ์วิจารณ์เรื่องไทรโศกกันหนาหู ก็เลยเปิดดูเมื่อคืนที่แล้ว ซึ่งเป็นตอนก่อนอวสาน
เมื่อฟังจากคำบอกเล่าเชื่อมโยงกับการดูตอนก่อนอวสานก็พอจะปะติดปะต่อมาแสดงความเห็นได้บ้าง ซึ่งที่จริงละครไทยอีกหลายเรื่องก็จะเดินเรื่องไปในทำนองนี้ ที่ไม่ค่อยสอดคล้องกับจุดมุ่งหมายการจัดการศึกษา กล่าวคือ
ตัวละครที่เป็นพระเอก/นางเอก มักจะสวมบทบาทเป็น “คนไม่ค่อยฉลาด(โง่) แต่เป็นคนดีเสียเหลือล้น และมีชีวิตที่ระทมทุกข์ไม่มีความสุขเกือบตลอดเรื่อง” จะพบกับความสุขก็เมื่อตอนจบเรื่อง(อวสาน) เพื่อให้สอดคล้องกับหลักกฎแห่งกรรม(แบบแข็งทื่อ) ดูเมื่อใดก็รู้สึกขัดใจ(ตรงนี้มั๊งที่เขาเรียกว่าน้ำเน่า) จะสร้างให้พระเอก นางเอก เป็นคนฉลาด ทันคน แล้วเป็นคนดี และประสบผลสำเร็จในชีวิตอย่างมีความสุข ในแต่ละฉากละตอนบ้างไม่ได้หรือ ทำไมต้องรอให้พบความสุขเมื่อตอนจบด้วย
ตัวละครที่เป็นตัวโกง/ตัวร้าย มักจะสวมบทบาทเป็น “เป็นคนฉลาด ไม่เป็นคนดี แต่ก็พบกับความสำเร็จเป็นส่วนใหญ่” จะพบกฎแห่งกรรมก็เมื่อตอนอวสาน ก็ขัดใจอีกเช่นกันว่า ทำไมคนทำกรรมชั่วต้องรอตอนอวสานจึงจะได้รับผลกรรม ทำเมื่อไรก็น่าจะได้รับผลทันที
นอกจากนี้การแสดงบทบาทของตัวละครไม่มีความพอดีเลย ร้ายก็ร้ายสุดๆ ดีก็ดีสุดสุด(จนโง่) แล้วแสดงอารมณ์ที่รุนแรงทั้ง คำพูด(กรีดร้อง) และการกระทำ จะว่าละครสะท้อนชีวิตจริง ผมว่าในชีวิตจริงก็ไม่ค่อยจะเห็นเว่อร์ๆเหมือนในละคร จะเกิดก็เพราะการลอกเลียนแบบจากละครที่กรอกหูกรอกตาทุกวันนั่นแหละ เหมือนกับข่าวเมื่อเร็วๆนี้ที่เด็กผูกคอตายซึ่งในข่าวบอกว่าเลียนแบบจากละครเรื่องไทรโศก
จึงอยากสะท้อนความเห็นส่วนตัวถึงผู้สร้าง ผู้ผลิตละครทีวีว่า อยากให้เห็นแก่สังคมบ้าง อย่าเพียงสร้างเร็ตติ้งเพื่อผลทางธุรกิจอย่างเดียว และที่บอกคำเตือนให้อยู่ในคำแนะนำของผู้ปกครองนั้น ช่างเป็นคำแนะนำที่เป็นนามธรรมเหลือเกิน เพราะประสาทสัมผัสทั้ง 5 ของเขารับรู้เต็มๆแล้วโดยไม่ต้องรอคำเตือนหรอก
ผมอาจจะมองเพียงด้านเดียว และขาดข้อมูลหลายๆด้านก็ได้ (หากเป็นเช่นนั้นจริงก็ขออภัยด้วย) ซึ่งอาจจะมีจุดดี และมีเหตุผลที่ดีที่ทำเช่นนี้ก็ได้ จึงอยากรับฟังเหตุผล ข้อเท็จจริง และทางออกจากท่านที่มีประสบการณ์ด้วยครับ...
สวัสดีค่ะ
ไม่เคยดูละครมากนัก นอกจากบางเรื่องที่เคยอ่านนวนิยายมาก่อน และเห็นความสำคัญ
เมื่อคืนนี้ ได้บังเอิญเดินไปที่ห้องเด็กลูกศิษย์ในความอุปการะ เห็นคนแก่และนางร้ายกำลังจิก ตบ ตีกันพัลวัน โหดร้ายผิดมนุษย์มนา จึงทราบว่าเป็น "เรื่องไทรโศก"
ได้ตำหนิเขาไปบ้างเล็กน้อยว่า "ที่บ้านอุตส่าห์ติดจานเพื่อให้สามารถเลือกชมได้หลายช่อง เพื่อให้โอกาสเลือก น่าจะเลือกชม"
เห็นด้วยกับอาจารย์ค่ะ
คงห้ามเรื่องเนื้อหาไม่ได้เพราะมีการจัดระดับความเหมาะสมของรายการโทรทัศน์(เรตติ้ง)
แล้วค่ะ แต่สิ่งที่ผู้ผลิต สถานีและผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องไม่ยอมรับอีกเรื่องคือการกำหนดเวลา
ของเรตติ้งแต่ละช่วงวัย เหตุการณ์น่าสลดนี้จึงเกิดขึ้นเพราะเป็นช่วงเวลาที่คาบเกี่ยวกับ
prime time ถึงเวลาที่เด็กควรเข้านอน ถามถึงพ่อแม่ควรดูแลแนะนำ แต่เรตติ้งที่ออกมา
ไม่ได้ต่อยอดเรื่องจะให้พ่อแม่แนะนำลูกในการดูอย่างไร ทั้งๆ ที่พ่อแม่บ้างคนยังรู้ไม่เท่าทัน
สื่อเหล่านี้เลยค่ะ
ปล.เพิ่งได้อ่านเพราะต้องหาข้อมูลแต่เชื่อว่าอาจารย์จะช่วยเป็นกระบอกเสียงเพื่อสังคมและ
ครอบครัวได้ค่ะ
ขอบคุณในความเห็น ถึงช้าก็ไม่สายเกินไปครับ