เมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 2553 ที่ผ่านมา ได้มีโอกาสเข้าร่วมศึกษาดูงานการประกันคุณภาพที่โรงเรียนศึกษานารี รับฟังความรู้และข้อคิดเห็นถึงแนวทางการปฏิบัติสู่การเป็นโรงเรียนที่เป็นเลิศ ซึ่งได้รับความรู้ แนวคิด เจตคติ วิธีการ รวมถึงแรงบันดาลใจในการทำงานเพื่อพัฒนาโรงเรียนสู่ความเป็นเลิศใน สพท.กทม.3 ซึ่งมีประเด็นที่สำคัญ คือการดำเนินด้านการบริหารจัดการองค์กรที่ดี และ การพัฒนาด้านการจัดการเรียนการสอนที่สะท้อนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนที่เป็นเลิศ ที่ส่งผลให้การประกันและการประเมินคุณภาพภายนอกอยู่ในระดับที่ “ดีมาก” ทุกมาตรฐาน
การบริหารจัดการองค์กรที่ดี เริ่มตั้งแต่การดำเนินการวางแผนกลยุทธ์ที่สอดคล้องกับวิสัยทัศน์การทำงานโดยมีผู้นำที่ดีในการจัดการบริหารองค์กร สามารถทำให้บุคลากรในโรงเรียนมองเห็นเป้าหมายของโรงเรียนเป็นเป้าหมายร่วมกัน เพื่อนำไปสู่การพัฒนาระบบการจัดการศึกษาที่ดี โดยทำให้ทุกคนตระหนักเห็นความสำคัญของการทำงาน มี Road Map ในการบริหารจัดการ โดยเน้นการมีส่วนร่วมขององค์กร หลักสำคัญใช้ในการบริหาร คือ P D C A เริ่มตั้งแต่การวางแผนโดยวิเคราะห์บริบทของโรงเรียน ดึงเอาจุดเด่นของโรงเรียนออกมานำเสนอให้ได้ การวางแผนจะต้องนำเอาสภาพที่เป็นจริงมาวิเคราะห์ SWOT หาวิสัยทัศน์หรือเป้าหมายของการจัดการศึกษาในอนาคต กับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียกับการจัดการศึกษามีส่วนร่วมในการกำหนด หลังจากนั้นนำมาจัดทำแผนกลยุทธ์ จัดทำงบประมาณ และแผนปฏิบัติงานประจำปี ส่วนต่อมาคือการปฏิบัติจิรง จากแผนที่วางเอาไว้โดยการทำโครงการหรือกิจกรรม ซึ่งการดำเนินกิจกรรมจะบรรลุผลหรือไม่นั้นอยู่ที่ KPI จะเป็นตัวบ่งชี้ ว่าแต่ละโครงการหรือกิจกรรมสำเร็จหรือไม่ โดยโรงเรียนศึกษานารีทำได้มากกว่าร้อยละ 90 ของ KPI ตามแผนกลยุทธ์ของโรงเรียน อีกส่วนหนึ่งคือการประเมินผลการจัดโครงการหรือกิจกรรม รวมถึงการรายงานผล เพื่อข้อมูลว่าการจัดโครงการหรือกิจกรรมนั้นมีข้อดีข้อเสียอย่างไร เพื่อให้เห็นภาพจำเป็นต้องมีการรายงานผลเป็นลายลักษณ์อักษรเพื่อสรุปว่าโครงการหรือกิจกรรมนั้นบรรลุผลมากน้อยเพียงใด เพื่อนำข้อมูลไปสะท้อนผลในส่วนสุดท้าย และนำผลที่ได้ไปปรับปรุงพัฒนาแผนปฏิบัติการประจำปีต่อไป นอกจากนี้ยังมีวิธีการบริหารองค์กรอย่างอื่น เช่น การ เทียบเคียง ( Benching ) , การทำ Balance Scorecard , หลักธรรมาภิบาล และ อื่นๆ นอกจากนี้ สิ่งที่สำคัญที่สุดในการบริหารจัดการหรือการทำงานคือการพูดสิ่งใดจะต้องเป็นสิ่งที่มงคล และคำนึงถึงประสิทธิผลก่อนประสิทธิภาพก่อนเสมอ หากบรรลุผลแล้วค่อยพัฒนาประสิทธิภาพทีหลัง โดยยกตัวอย่างเปรียบเทียบว่าการซื้อรถมาใช้ขับ 1 คัน การวิ่งได้ของรถ ถือว่าเป็นประสิทธิผล ส่วนการวิ่งได้เร็วมากเท่าไหร่นั้น นั้นถือว่าเป็นประสิทธิภาพ ปัจจุบันในการจัดการศึกษาเน้นไปยังประสิทธิภาพแต่ไม่ได้ให้ความสำคัญกับประสิทธิผลเท่าที่ควร ซึ่งประสิทธิผลเป็นเรื่องที่สำคัญมากกว่า
การประกันคุณภาพในการศึกษา จัดทำเพื่อเป็นที่ยอมรับว่าโรงเรียนได้ตามคุณภาพหรือไม่ ซึ่งส่วนที่สำคัญที่สุดในการจัดการศึกษาคือผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน และผลการทดสอบระดับชาติ o-net โดยการจัดการศึกษาขณะนี้มองว่าเป็นผลิตผลสุดท้ายของการจัดการศึกษา ซึ่งโรงเรียนศึกษานารีเป็นโรงเรียนที่มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนที่สูง และมีผลการสอบ o-net เป็นลำดับที่ 1 ของ สพท.กทม.3 ในด้านงานวิชาการถึงแม้ว่าโรงเรียนศึกษานารีจะเป็นโรงเรียนที่มีผลสัมฤทธิ์และผลการทดสอบ o-net ที่สูงแล้วแต่ก็ยังพัฒนาต่อไปเรื่อยๆ โดยเพิ่มเป้าหมายให้สูงยิ่งๆ ขึ้นไปอีก โดยจัดทำโครงการยกระดับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เริ่มจากการศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและ ผลทดสอบ o-net ย้อนหลัง 3 ปี และตั้งเป้าหมายเพิ่มคะแนนเฉลี่ยผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและ ผลทดสอบ o-net เน้นการมีส่วนร่วมของทุกกลุ่มสาระ ที่สำคัญพัฒนาครูให้เห็นและตระหนักถึงความสำคัญของผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและ ผลทดสอบ o-net ให้ได้ และช่วยกันวางแผนการจัดกิจกรรมและโครงการที่ช่วยให้การเพิ่มผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและ ผลทดสอบ o-net ซึ่งทางศึกษานารีได้ให้แนวทางในการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและ ผลทดสอบ o-net ของนักเรียน ดังต่อไปนี้ ได้แก่ 1.การพัฒนาหลักสูตร 2. การพัฒนาบุคลากรด้านการจัดการเรียนการสอนและการประเมินผล 3.พัฒนาแหล่งเรียนรู้ เช่น สื่อ วัตกรรม 4.การจัดกิจกรรมพัฒนาความก้าวหน้าของนักเรียน เช่น กิจกรรมรักการอ่าน การแข่งขัน การประกวด 5.การติวเข้ม
การนำมาประยุกต์ใช้ในโรงเรียนของเรานั้น ข้าพเจ้ามองว่าการที่จะทำตามหรือเลียนแบบนั้นเป็นไปได้ยาก ส่วนที่สำคัญที่สุดในตอนนี้ คือ การทำให้บุคลากรมีส่วนร่วมในการจัดการศึกษาให้มากที่สุด โดยสร้างเจตคติที่ดีต่อการทำงาน มีเป้าหมายร่วมกัน เห็นธงอันเดียวกันและดำเนินงานไปพร้อมๆ กันมีระบบเข้ามาตรวจสอบการทำงานของครูว่าทำได้มากน้อยเพียงใด เพื่อเป็นข้อมูลในการพัฒนาขีดจำกัดของการทำงานของแต่ละบุคคลให้ดียิ่งๆ ขึ้นไป ในการจัดการเรียนการสอนนั้น ก็เช่นกันต้องให้ครูทุกคนเห็นความสำคัญและตระหนักว่าผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและผลการทดสอบ o-net มีผลต่อการประกันคุณภาพการจัดการศึกษา ซึ่งสามารถจัดทำตามแนวทางที่ศึกษานารีได้แนะไว้ ที่สำคัญคือการที่ครูต้องจัดทำหลักสูตรและนำหลักสูตรไปใช้ให้เกิดประสิทธิภาพมากที่สุด ไม่ใช่เขียนไว้แบบหนึ่ง แล้วสอนอีกแบบหนึ่ง ในงานวิชาการ หลักสูตรถือว่าเป็นหัวใจที่สุดของงานวิชาการ หากเราไม่เห็นหลักสูตรเป็นเรื่องสำคัญที่ต้องปฏิบัติตามแล้ว เราจะทำให้นักเรียนผ่านมาตรฐานตัวชี้วัด หรือเป้าประสงค์ในการจัดการเรียนการสอนนั้นได้อย่างไร อีกทั้งต้องเข้าใจการวัดและประเมินผลตามสภาพจริง และพัฒนาผู้เรียนโดยติดตามผลการเรียนแบบต่อเนื่อง จำเป็นต้องทำควบคู่กันไป จึงจะส่งผลให้การจัดการศึกษาหรือผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของโรงเรียนของเราพัฒนาได้อย่างแท้จริง นอกจากในส่วนของครูแล้วปัจจัยอื่นๆ ก็ยังส่งผลต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและ ผลทดสอบ o-net อีกด้วยได้แก่การบริหารจัดการที่มีระบบ การทำหรือเพิ่มโครงการกิจกรรมที่พัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและ ผลทดสอบ o-net และงานด้านบุคคลที่ต้องประสานสัมพันธ์ เข้าเป็นเนื้อเดียวกัน ถึงจะพัฒนาโรงเรียนสู่ความเป็นเลิศได้ยั่งยืน
สรุปความรู้ แนวคิดและข้อคิดเห็นที่ได้จากการศึกษาดูงานประกันคุณภาพ
ณ โรงเรียนศึกษานารี วันที่ 2 กรกฎาคม 2553
ไม่มีความเห็น