Peter p
ปีเตอร์ ปีเตอร์ พี สินสาคร

..เอิน..และ ดำ . อีกหนึ่งบันทึกดีๆ ของหมาสู้ชีวิต ผู้ไม่เคยยอมแพ้ต่อโชคชะตา


อย่างน้อยมุมมองหนึ่งที่ผมเห็นจากเรื่องราวของมันก็คือ มันไม่เคยย่อท้อต่อการสู้ชีวิต และที่สำคัญที่สุด มันไม่เคยคิดฆ่าตัวตาย มันพยายามดิ้นรนต่อสู้ชีวิตในโลกนี้ด้วยความทรนง และองอาจ

..เอิน..และ ดำ . อีกหนึ่งบันทึกดีๆ ของหมาสู้ชีวิต ผู้ไม่เคยยอมแพ้ต่อโชคชะตา  

- รูป -

             .. เอิน... หรือที่พนักงานต่างๆทั้งใหม่และเก่าในบริษัท เรียกกันจนติดปากว่านังเอิน เป็นชื่อของหมาไทยตัวสีดำเมื่อม นิสัยน่ารัก เป็นกันเอง และชอบเดินโชว์ตัวอวดความสวยงาม แต่ก็ไม่เคยมีประวัติว่ามีการกัดใครเลย ประวัติความเป็นหมาของหมาตัวนี้ เท่าที่ผมจำได้เป็นหมาตัวเดียวในจำนวนลูกครอกหนึ่งของหมาพิการตัวเมียตัวหนึ่ง ซึ่งสมัยนั้นเราจะเรียกมันว่าเจ้าสามขา ที่รอดชีวิต และอยู่ยงคงกระพันมากับบริษัทที่ผมทำงานอยู่นี่น่าจะร่วมสิบปีได้ เมื่อมันเติบใหญ่ มาได้ได้ไม่นาน แม่ของมันก็จากโลกนี้ไปด้วยอุบัติเหตุ ถูกรถชน  

            อย่างที่เขาว่ากันนะครับ หมาจรจัดส่วนมาก ไม่ตายเพราะถูกรถชน ก็ถูกยาเบื่อตาย น้อยนักที่จะแก่ตาย    ความผูกพันธ์ของผมกับหมาตัวนี้ เริ่มต้นมาจากที่ส่วนตัว ผมเป็นคนรักหมา โดยนิสัยของผมอยู่แล้ว และเจ้าตัวนี้แรกเริ่มก็เป็นหมาจรจัดริมทาง หน้าบริษัท ที่ผมทำงานอยู่นี่แหละครับ แต่พอเราเริ่มให้ขนมกินบ้าง เศษปีก กระดูกไก่จากเพื่อนพนักงานต่างๆบ้างในช่วงเย็น มันก็เริ่มล่าอาณานิคม จากเดิมอยู่ป่าหญ้าริมทาง ก็เริ่มคืบคลานเข้ามาอาศัยอยู่ภายในบริษัท บริเวณด้านหน้าโรงงาน ซึ่งเป็นโรงอาหาร

- รูป -

  

             แรกๆก็ถูกไล่ตะเพิด ออกนอกอาณาบริเวณอยู่ประจำ แต่มันก็ตื้อ จนรปภ. ที่ไล่ ก็เหนื่อยไปเอง เมื่อมันสามารถตื้อยึดพื้นที่เพื่อประทังชีวิตของมันได้แล้ว มันก็ตอบแทนด้วยการเป็นสัตว์เลี้ยงที่น่ารัก และเป็นผู้ช่วยยาม ในยามค่ำคืน คอยทักทายเวลาที่เราขับรถเข้าโรงงาน แล้วมาทวงค่าขนมกับผมทุกเช้า ได้กินมั่ง ไม่ได้กินมั่ง มันก็ไม่เคยบ่น และที่สำคัญเจ้าตัวนี้มันเลือกกินซะด้วย ด้วยความที่มันเป็นหมาไทยจรจัด ที่เข้ามาอยู่ภายในบริษัท พนักงานทั้งหมดโดยเฉพาะพนักงานเก่าๆ จะผูกพันธ์กับเจ้าตัวนี้มาก ใครมีอะไรก็จะให้มันกิน ทำให้มันมีชีวิตอยู่ได้ โดยไม่ลำบากเท่าใดนัก เพราะมีเศษอาหารจากการกินของพนักงานทุกวัน เป็นอาหารประทังชีวิต  

           เป็นธรรมดาของหมาตัวเมียรูปงาม  เมื่อถึงฤดูติดสัด   หลังจากถูกหมาหนุ่ม ผู้หล่อเหลามากมายแต่ตอนอยาก และจากไปโดยไม่รับผิดชอบเมื่อสิ้นสุดฤดูติดสัด ทิ้งไว้เพียงนังเอินผู้น่าสงสารอุ้มท้องแล้วท้องเล่า เวลาที่มันคลอดลูกมัน ก็มักจะมีผู้ใจบุญทั้งหลายนำเอาไปเลี้ยงเสมอ หรือไม่ก็ตายไปบ้าง จนเมื่อประมาณ5 ปีที่แล้วก็มีอยู่ตัวหนึ่งที่รอดปากเหี่ยวปากกา อยู่เป็นเพื่อนนังเอินมัน พวกเราตั้งชื่อลูกมันว่า  นังดำ

- รูป -  

 


    แต่นังดำนี้มีนิสัยทรพี แบบน่ารัก คือมีอะไรที่แม่กิน กูจะแย่งกินหมด แต่นังเอิน  ด้วยสัญชาติญาณของความเป็นแม่ก็ไม่เคยเลยสักครั้ง ที่จะตอแยกับลูก โดยทั่วไปที่ผมเห็นมันมักจะยอมแพ้ และอ่อนข้อให้เสมอ  

 

        จนมาวันหนึ่งที่ชะตากรรม ของสองแม่ลูกก็แวะเวียนมาอีกครั้ง ก็อย่างที่บอกนั่นแหละครับ สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรมแต่กรรมก็มาตกกับนังดำลูกที่มันทั้งรักและชัง    คือตามที่สำนักข่าว CNN แจ้งมาว่านังดำถูกสัตว์มีพิษอะไรสักอย่าง คาดว่าน่าเป็นงู พ่นพิษใส่ที่ดวงตาเมื่อปลายปี2552 ซึ่งการถูกพิษในครั้งนั้นถึงแม้จะไม่รุนแรงถึงขั้นเสียชีวิต แต่ทำให้ดวงตาทั้งสองข้างของมันบอดใสสนิทตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา 

- รูป -  
 

 

       ตอนที่ลูกตามันบอดสนิทผมสงสารนังดำมันมากเลย สังเกตุได้ว่ามันมีอาการเหงาและเหม่อลอยอยู่พักใหญ่ แต่เมื่อมันทำใจได้ มันก็ฮึดสู้กับโชคชะตาอันโหดร้ายนั้นได้อีกครั้ง ปัจจุบันแม้มันจะมองไม่เห็น แต่มันก็ใช้สัมผัสฟังทางหู และสูดดมทางจมูกเวลาที่มีคนเอาอาหารให้ จนปัจจุบันมันก็มีสุขภาพดีขึ้น และใช้ชีวิต อยู่กับแม่ของมันได้เหมือนเดิม

 

       แต่โชคชะตาก็ยังมาเล่นตลกกับสองแม่ลูกที่น่าสงสารอีกครั้ง เมื่อเย็นวันอังคารที่18 พ.ค. 53 ที่ผ่านมา เย็นวันนั้น หลังจากตอกบัตรเลิกงาน 5โมงเย็น ผมเห็นนังเอินมันนอนสงบนิ่ง ที่ขามีบาดแผลเล็กน้อย มีเลือดไหลซึมออกมาเล็กน้อย แต่ผมก็ไม่ได้เอะใจอะไร เพราะต้องรีบไปขายของที่ตลาด   

- รูป -  

 

           จวบจนเช้าวันพุธที่ 19 พ.ค. 53 ผมมาถึงที่ทำงานประมาณ 7โมงเช้ากว่าๆ ผมสังเกตเห็นนังเอิน มีคนเอามันไปขังไว้ในตะแกรงเหล็ก สอบถามได้ความว่าเมื่อเย็นวาน ประมาณสี่โมงเย็นก่อนเลิกงาน  มันถูกรถปิคอัพ ไม่ทราบหมายเลขทะเบียนและยี่ห้อ ชนเข้าอย่างจังที่บริเวณด้านหลังกระเด็นออกมาข้างทาง ในขณะที่มันกำลังวิ่งข้ามถนน  ยาม รปภ. เลยเอามันมาวางไว้ ตอนที่ผมเห็นมันเมื่อวันก่อนนั่นละครับ สอบถามว่าที่เอามันมาขังไว้ในตะแกรงก็เพราะว่าตัวมันมีเลือดไหลออก และไม่สามารถเดินได้ และนังดำผู้ตาบอด ก็ไม่รู้ว่าแม่ตัวเองถูกรถชน เพราะตามันมองไม่เห็น  

         สอบถามแม่บ้านบอกว่า มันไม่น่ารอด ธาตุไฟมันแตกแล้ว มันคงอยู่ได้อีกไม่นานหรอก   จริง..หรือ ผมเฝ้าครุ่นคิด ตามคำที่แม่บ้านบอก ผมเลยเอาขนมปังที่มันชอบกินประจำ โยนให้มันกิน มันก็ร้องโอ้ว..โอ้ว.. เห่าออกมาตามประสาหมา และกัดกินอย่างโหยหิว เมื่อกินเสร็จแล้วผมก็ไปตักน้ำใส่กระแป๋งที่ใส่ไว้ให้พวกมันกินประจำมาให้มันกิน มันก็กิน และทรุดตัวลง ตาละห้อย ด้วยความเจ็บปวด     

          วันนั้นในขณะที่ผมทำงานไป ผมก็เฝ้าครุ่นคิดว่าจะช่วยเหลือมันได้อย่างไรบ้าง เพราะมันช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ จะปล่อยให้มันตายไปโดยไม่ช่วยเหลืออะไรมันเลยหรือ คิดขึ้นมาถึงตรงนี้ มันทำให้ผมนึกถึงเจ้าเขี้ยวเพชร แมวเหมียวของผมที่จากไปเมื่อหลายปีก่อน   ไม่ได้... เราจะปล่อยให้มันตาย โดยไม่ได้ทำอะไรเลยไม่ได้ ..อย่างน้อย พามันไปโรงพยาบาลสัตว์ ในตัวเมืองสมุทรสาคร ให้หมอดูอาการสักหน่อยก็ยังดี..  

        เมื่อถึงช่วงพักเที่ยงหลังจากกลับจากตลาดเพื่อส่งภรรยาเรียบร้อยแล้ว ผมก็กลับมาดูอาการมันอีกครั้ง ดวงตามันละห้อย  

เอิน.. เอิน.. เป็นยังไงบ้างลูก... มันไม่เห่าตอบสนองแต่ประการใด ไม่ได้การแล้ว   "พี่อ๊อดๆ ผมว่าเราน่าจะทำอะไรสักอย่างเพื่อช่วยเหลือมันหน่อยนะครับ ผมว่าขามันอาจจะหัก เพราะมันเดินไม่ได้"  ผมปรึกษากับหัวหน้าช่าง ซึ่งเป็นที่ที่ปรึกษา ประธานสวัสดิการของบริษัท ว่าไปขออนุญาติ ผู้จัดการให้เอารถบริษัทพามันไปหาหมอหน่อยได้มั้ย 

       ดูเหมือนว่าชะตากรรม และวรรณกรรมชีวิตของมันยังไม่สิ้นสุด  "ก็เอามันไปซิ ค่าใช้จ่ายเดี๋ยวเบิกเอา แต่ดูความเหมาะสมนะ หากมากไป ผมก็คงจะช่วยอะไรมากกว่านี้ไม่ได้"  ได้การแล้ว เอินเอ้ย เอง มีสิทธิ์รอดแล้วละลูกเอ๋ย.. ผมคิดในใจ

 

         เมื่อได้รับอนุญาตจากทางบริษัท ทางผมและพี่อ๊อด รวมทั้งแม่บ้าน และพนักงานแผนกช่าง ก็เลยวางแผนว่าจะเอามันไปโรงบาล อย่างไร ขั้นตอนแรกคือต้องล้างทำความสะอาดให้มันก่อน เพราะตัวมันเหม็นสาปมาก  

 เมื่อล้างทำความสะอาดแล้ว ก็เป่าลม ช่วยกันจับ ตอนเอาลมเป่าตัวมันก็ร้องออกมา จนพี่อ๊อด ต้องตะคอก และตบหัวหยอกมันว่า "เฮ้ย เอ็งจะร้องทำไมวะ พวกข้ากำลังช่วยเอ็งอยู่นะเว้ย"  

 

- รูป -

 

 

      เมื่อทำความสะอาดเรียบร้อยแล้ว ก็เอามันขึ้นด้านหลัง โดยพี่อ๊อดเป็นคนขับพาไปโรงบาล โดยมีลูกน้องแผนกช่าง สองคนติดตามไปด้วย  

- รูป -

 

 จวบจนบ่ายสามโมงเย็น ผมก็ไปติดตามข่าวมัน ว่าหมอว่ามันเป็นอย่างไรบ้าง พี่อ๊อดก็เล่าว่า ขามันอาจจะไม่หัก แต่ที่เลวร้ายกว่านั้นคือกระดูกเชิงกรานบริเวณสะโพกด้านหลังมันเคลื่อน ทำให้มันไม่สามารถขยับตัวได้ แต่หมอก็บอกว่าโอกาสที่กระดูกมันจะกลับมาติดแบบเดิม ต้องใช้เวลาเป็นเดือน โดยในเบื้องต้นนั้น หมอให้มันนอนอยู่โรงบาลสัตว์ 3 คืน คืนละประมาณ สามร้อยบาท   ส่วนอีกสามวันจะเป็นอย่างไรนั้น  

        เดี๋ยวถ้ามันกลับมา ผมจะมาเขียนบทต่อไปของเรื่องราวชีวิต ที่น่าสงสาร ของหมาสู้ชีวิตตัวนี้ มาสรุปให้ฟังอีกทีนะครับ  

        " แต่ไม่ว่าบทสรุปสุดท้าย ของเรื่องจริงอันโหดร้ายเรื่องนี้จะจบลงเช่นไร มันหายแต่อาจพิการ หรือ อาการทรุดลง และตายจากพวกผมไป อย่างน้อยมุมมองหนึ่งที่ผมเห็นจากเรื่องราวของมันก็คือ มันไม่เคยย่อท้อต่อการสู้ชีวิต และที่สำคัญที่สุด มันไม่เคยคิดฆ่าตัวตาย   มันพยายามดิ้นรนต่อสู้ชีวิตในโลกนี้ด้วยความทรนง และองอาจ ที่สำคัญ มันไม่เคยเรียกร้องอะไรจากเราเลยแม้แต่สักครั้งเดียว     ในสังคมของเราเองก็เช่นกัน  หากเราอยู่กันอย่างเอื้อเผื่อแผ่  มีน้ำใจซึ่งกันและกันแล้ว  ผมเชื่อว่าสังคมเราจะน่าอยู่กว่านี้เยอะเลยครับ   อ่านบันทึกเรื่องนี้แล้ว ผมหวังว่าจะเป็นกำลังใจให้สำหรับคนที่ท้อ ให้มีแรงฮึดสู้ชีวิตต่อไปได้นะครับ"

 

.... Peter P.....

 

 มาเล่าต่อครับ

                อาการล่าสุด จากที่พี่อ๊อดไปเยี่ยมเมื่อวานนี้ บอกว่าอาการมันดีขึ้นหลังจากได้รับน้ำเกลือ

และได้รับการรักษา  และช่วงบ่ายวันนี้ เสาร์ที่22 พ.ค. 53  คงจะได้รับตัวกลับมาพักฟื้นที่บริษัทต่อ

และในวันนี้ช่วงเช้าที่  บริษัทที่ผมทำงานอยู่จะมีกิจกรรม  เซฟตี้ทอร์ค  ทุกเช้าวันเสาร์  โดยแบ่งเป็นทีม      มีทั้งหมด  6  ทีม  จากพนักงานที่มีภายในบริษัทผม  ประมาณ  100  คน  โดย  มีผม  และพี่อ๊อดเป็นพีธีกรดำเนินรายการทุกเช้าวันเสาร์  และน้องๆทีมเดอะทีม ซึ่งเป็นทีมที่ออกมาพรีเซนต์ เกี่ยวกับเรื่องอุบัติเหตุทั่วไป ได้บรรจุกิจกรรมขอรับเงินบริจาคเพื่อช่วยเหลือเป็นค่าขนมหลังจากที่มันมาพักฟื้น คนละบาทสองบาท รวมเป็นเงินที่ผมนับได้ล่าสุดประมาณ 595 บาท

        สิ่งหนึ่งที่ผมเห็นและอดปลึ้มใจไม่ได้ว่า  นอกจากความรักของพวกผม  และเพื่อนๆที่ช่วยเหลือมันไปก่อนหน้านี้  ก็ยังมีน้ำใจเล็กๆน้อยๆของน้องๆพี่ภายในบริษัท  ที่มีความกรุณาเมตตาต่อมัน  ไม่ต่างไปจากพวกผม  เห็นทุกคนมีน้ำใจต่อมัน  ผมก็ชื่นใจ  และหวังว่ามันจะหายในเร็ววัน  และกลับมาอยู่กับพวกผมต่อไป

ช่วงบ่ายนี้จะไปรับกลับ เดี๋ยวผมจะมาเล่าต่อให้ฟังนะครับ หวังว่าคงจะไม่เป็นเรื่องไร้สาระจนเกินไปนะครับ ป้าน้าๆ..

ชมภาพกิจกรรมการบริจาคช่วงเช้าของเพื่อนพนักงาน ต่อน้องเอินครับ

 

- รูป - - รูป -

อัพเดทข่าวล่าสุด รับตัวกลับมาแล้วครับเมื่อเย็นวันเสาร์

พอมาถึงพี่อ๊อด และพนักงานแผนกช่าง ก็ช่วยกันทำกรงพิเศษ และเขียนชื่อ

บอกอาการให้พนักงานทุกคนรับทราบ โดย มีนังดำลูกมัน นอนเห่ามองดูอยู่ข้างๆ หลังจากมันซึมอยู่ประมาณ 3วัน

ไม่กินข้าวกินปลาเพราะแม่มันหายไป ตอนนี้มันคงดีใจที่ได้กลิ่น และได้ยินเสียงเห่าของแม่มันกลับมาอีกครั้ง


- รูป -


- รูป - 
- รูป -

และอาการล่าสุดเมื่อเช้าก่อนเข้างาน 24/5/53  มันสามารถเห่าหอน กระดิกหางทักทายผมได้ ผมกับพี่อ๊อดเลยช่วยกันย้ายมันไปไว้ในกรงใหญ่ ซึ่งแต่ก่อนเป็นบริเวณเก็บถังลม ปัจจุบันไม่ได้ใช้แล้ว เลยเอามันมาพักฟื้นไว้ที่นี่ ผมภาวนาให้มันหายวันหายคืนเร็ว

 

31 ส.ค. 53

วันนี้เป็นวันที่เศร้า และก็เป็นฉากจบที่แสนเศร้า เพราะเช้าวันนี้ น้องเอิน หมาสู้ชีวิตผู้น่าสงสาร ได้ตายจากพวกผมไปเมื่อคืนนี่เอง

ขอให้ไปสู่ที่สุคตินะเอินเอ้ย..  ให้ได้ไปเกิดใหม่ ในภพที่ดีๆ   คงเหลือแต่ความทรงจำดีๆ และน้องดำ ลูกตาบอดที่ต้องต่อสู้ชีวิตเดียวดายต่อไป..

- รูป - - รูป -

ขอบคุณ ที่เกิดมาเป็นเพื่อนเติมรอยยิ้ม

   ถึงตัวจากไป แต่เจ้ายังอยู่ในใจพวกเราเสมอ

         ขอให้สู่สุขคติด้วยเทอญ หากตัวเจ้ายังพอมีกรรมดีอยู่บ้าง..

 

 

หมายเลขบันทึก: 366648เขียนเมื่อ 15 มิถุนายน 2010 11:22 น. ()แก้ไขเมื่อ 18 มิถุนายน 2012 17:10 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (1)

เข้ามาอ่านอีกครั้ง ด้วยความระลึกถึงนะเจ้าเพื่อนยาก

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท