เริ่มที่น้องผู้ช่วยพยาบาล(น้องใหม่ 7 เดือน)
กล้าหาญชาญชัย(ถูกบังคับ?)
เริ่มสอนครั้งแรกทำได้ดีเชียวนา ตามมาดูสิคะ (รูปจะเอามาลงวันหลัง)
เรื่อง ความดันโลหิต และ ชีพจร
สอนโดย นางสาวสุพรรณ โมสืบแสน
วันที่ 7 พ.ค. 2553 เวลา 12.00 น.
กลุ่มเป้าหมาย ผู้ป่วยและญาติหอผู้ป่วย 3ข
ที่ปรึกษา นางจิตอารีย์ ตันติยาสวัสดิกุล
นางวิลาวัณย์ อุ่นเรือน
น.ส.นิตยา ไชยหงษ์
เนื้อหา
ความดันโลหิต เป็นแรงดันของเลือดที่กระทบต่อผนังหลอดเลือด
ซึ่งวัดได้ 2 ค่า คือ
ความดันโลหิตค่าบน คือ แรงดันโลหิตขณะที่หัวใจบีบตัวความดันโลหิต
ค่าล่าง คือ แรงดันโลหิตขณะที่หัวใจคลายตัวซึ่งใช้หน่วยวัดเป็น มิลลิเมตรปรอท
ความดันโลหิตของคนปกติ ขณะพัก มีค่าดังนี้
วัยทารก 3-6 ปี 7-17 ปี 18-44 ปี 45-64 ปี 64 ปีขึ้นไป |
ไม่ควรเกิน ไม่ควรเกิน ไม่ควรเกิน ไม่ควรเกิน ไม่ควรเกิน ไม่ควรเกิน |
90/60 110/70 120/80 140/90 150-90 160/90 |
มิลลิเมตรปรอท มิลลิเมตรปรอท มิลลิเมตรปรอท มิลลิเมตรปรอท มิลลิเมตรปรอท มิลลิเมตรปรอท |
ความดันโลหิตสูง หมายถึง ความดันโลหิตที่วัดค่าบนได้มากกว่า 140 มิลลิเมตรปรอท หรือค่าล่าง มากกว่า 90 มิลลิเมตรปรอท หรือสูงทั้งค่าบนและค่าล่าง
โรคความดันโลหิตสูงมักเป็นในคนที่อายุเกิน 30 ปีขึ้นไป หรือในคนอายุน้อยที่มีความผิด ปกติอื่น ๆ เช่น โรคเนื้องอกที่ต่อมหมวกไต ภาวะไตวาย โรคเนื้องอกของสมอง เป็นต้น
สิ่งที่ต้องสังเกตในการจับชีพจร
1. อัตราการเต้นของชีพจร จำนวนครั้งของความรู้สึกที่ได้จากคลื่นบนเส้นเลือดแดงกระทบนิ้วหรือการฟังที่ apex ของหัวใจในเวลา 1 นาที หน่วยเป็นครั้งต่อวินาที (bpm)
1.1 อัตราการเต้นของชีพจรปกติอยู่ในช่วง
ทารกแรกเกิด ถึง 1 เดือน ประมาณ 120-160 bpm
1-12 เดือน ประมาณ 80 – 140 bpm
12-2 ปี ประมาณ 80 – 130 bpm
2 – 6 ปี ประมาณ 75 – 120 bpm
6 – 12 ปี ประมาณ 75 – 110 bpm
วัยรุ่น-วัยผู้ใหญ่ ประมาณ 60 – 100 bpm
1.2 ภาวะอัตราการเต้นของชีพจรผิดปกติ
Tachycardia: ภาวะที่อัตราการเต้นของหัวใจในผู้ใหญ่มากกว่า 100 b/m
Bradycardia: ภาวะที่อัตราการเต้นของหัวใจในผู้ใหญ่น้อยกว่า 60 b/m
2. จังหวะชีพจร (pulse rhythm)
จังหวะและช่วงพักของชีพจร ชีพจรจะเต้นเป็นจังหวะ และมีช่วงพักระหว่างจังหวะ
2.1 จังหวะของชีพจรปกติ จะมีช่วงพักระหว่างจังหวะ เท่ากัน เรียกว่า ชีพจรสม่ำเสมอ (pulse regularis)
2.2 จังหวะของชีพจรผิดปกติ (dysrhythmias , arrhythmia, irregular)
ชีพจรที่เต้นไม่เป็นจังหวะแต่ละช่วงพักไม่สม่ำเสมอ เรียกว่า ชีพจรไม่สม่ำเสมอ หรืออาจจะมีจังหวะการเต้นสม่ำเสมอสลับกับไม่สม่ำเสมอ
ถ้าพบว่า Pt มีจังหวะของชีพจรไม่สม่ำเสมอ
ประเมิน apical pulse 1 นาที
ประเมิน apical - radial pulse เพื่อประเมินชีพจรที่ผิดปกติ
electrocardiogram (EKG)
3. ปริมาตรแรงชีพจร (Pulse volume)
ขึ้นอยู่กับความแรงของเลือดในการกระทบ ชีพจรปกติรู้สึกได้ด้วยการกดนิ้วลงตรงบริเวณที่จะวัดด้วยแรงพอประมาณแต่ถ้ากดแรงมากเกินไปจะไม่ได้รับความรู้สึก ถ้าแรงดันเลือดดี ชีพจรจะแรง แรงดันเลือดอ่อนชีพจรจะเบา
ปริมาตรของชีพจร วัดเป็นระดับ 0 ถึง 4
ระดับ 0 ไม่มีชีพจร คลำชีพจรไม่ได้
ระดับ 1 (thready) คลำชีพจรยาก
ระดับ 2 weak ชีพจรแรงกว่า threedy pulse คลำชีพจรยาก
ระดับ 3 ปกติ
ระดับ 4 bounding pulse ชีพจรเต้นแรง
ประสบการณ์ที่ได้รับในการสอนครั้งนี้
1.ได้ทักษะการนำเสนอเกี่ยวกับสุขศึกษา
2. ได้ทักษะการคิดเพื่อที่จะนำไปพัฒนาในการนำเสนอครั้งต่อไป
3. ได้ความรู้เพิ่มเติมในเรื่องที่ตนเองนำเสนอและสามารถตอบเมื่อผู้ป่วยหรือญาติซักถาม
4.ได้ฝึกทักษะในการแสดงออก
5. ได้ประสบการณ์ในการทำงานเป็นทีม
ปัญหาและอุปสรรค์ในการนำเสนอ
สรุปความรู้และข้อเสนอแนะที่ได้รับในการสอนสุขศึกษา
เรื่อง...ชีพจร และความดันโลหิต
วันที่ 7 พฤษภาคม 2553 เวลา 12.30 – 13.00 น.
ความรู้ที่ได้รับ
ข้อเสนอแนะ
คิดถึงใครคะเนี่ย(เพลงค่ะ) ขยันจังเลยค่ะอยากทำได้แบบนี้บ้างค่ะ
ความรู้สึกที่ได้รับน้อง ไก่ ศศิธร พาบุจากกิจกรรมของการแนะนำผู้ป่วยและญาติทีสวนคาสายสวนปัสสาวะ และการดูแลอวัยวะสืบพันธ์
จากการได้ให้ความรู้ญาติผู้ป่วย เรื่องการทำความสะอาดอวัยวะสืบพันธุ์ 16/6/53 12.30 น.
ผู้สอนได้รับประสบการณ์ คือ
1. ได้ฝึกการให้ความรู้แก่ญาติผู้ป่วยแบบเป็นกลุ่ม ซึ่งผู้สอนไม่เคยมีประสบการณ์มาก่อน
2. ได้รับข้อเสนอแนะจากญาติผู้ป่วย ว่าขณะสอนพูดเสียงเบาเกินไป ซึ่งผู้สอนจะปรับปรุงในครั้งต่อไป
3. ได้แนวคิดจากการสอนในครั้งนี้ว่า ควรมีการสาธิตให้ญาติเห็นโดยตรง จะทำให้มองเห็นภาพได้ชัดเจนมากขึ้น อาจจะแยกสอนตามเตียงในภายหลัง
4.ในการสอนครั้งหน้าผู้สอนอยากจะรวมกลุ่มญาติที่เคยเข้าร่วมกลุ่มในครั้งนี้ 3 วันหลังได้รับการสอน เพื่อประเมินความก้าวหน้า และให้ญาติได้ซักถามข้อสงสัย
กิจกรรมที่พวกเราชาว 3ข ได้จัดร่วมกับญาติและผู้ป่วย เวลา 12.30น.ถึง 13.00 น เป็นกิจกรรมทำความเข้าใจ มีเรื่องเล่าเมื่อเข้ากลุ่มได้รับความร่วมมืออย่างดี มีข้อคิดเห็นและข้อเสนอแนะมากมาย ที่สำคัญผู้ป่วยและญาติชอบมาก นอกจากสนุกยังได้ความรู้ค่ะ(ภาพเก็บเป็นไฟล์ VDO ติดตามได้ทาง Youtube นะคะ)
น้องเพ็ญคุณแม่ลูกสองขอแจมค่ะ
การแนะนำผู้ป่วย เรื่อง การสระผมก่อนและหลังผ่าตัด
ญาติผู้ป่วยมีความกระตือรือร้นที่จะสอบถามเรื่องแผลโดนน้ำกับการติดเชื้อ เจ้าหน้าที่ให้คำแนะนำพร้อมกับฝึกปฏิบัติสระผมให้ผู้ป่วย เตียง 15 หลังผ่าตัด 3 วัน มีแผลที่หน้าท้อง ญาติผู้ป่วยทำได้ดีไม่รู้สึกกลัว + กังวล ผู้ป่วยมีความพึงพอใจมาก
การให้ความรู้เรื่องการล้างมือ
วันจันทร์ที่ 14 มิถุนายน 2553 เวลา 12.30-13.00 น.
นางสาวชุติมา บุบผา
ประสบการณ์ที่ได้รับ
ข้อเสนอแนะ
กิจกรรมที่น้องใหม่ต้องได้รับคือการฝึกการแนะนำผู้ป่วยเป็นกลุ่มค่ะ มาดูนะคะน้องใหม่(ผู้ช่วยพยาบาล 5เดือนจะทำได้..แค่ไหนความรู้สึกเป็นอย่างไร)
เรื่อง การดูแลผู้ป่วยที่ใส่สายสวนปัสสวะ
สอนโดย น.ส. จันทร์เพ็ญ มูลมาตย์
วันที่ 25 เดือนมิถุนายน พ.ศ. 2553 เวลา 12:00 น.
กลุ่มเป้าหมาย ผู้ป่วยและญาติหอผู้ป่วย 3ข
ที่ปรึกษา นางจิตอารีย์ ตันติยาสวัสดิกุล
นางวิลาวัณย์ อุ่นเรือน
วัตถุประสงค์ เพื่อลดการคั่งค้างของปัสสาวะในกระเพาะปัสสาวะของผู้ป่วยและในรายที่ผู้ป่วยไม่สามารถขับถ่ายปัสสาวะได้เอง
การประเมินสภาพเกี่ยวกับการขับถ่ายปัสสาวะ
- สุขนิสัยในการขับถ่ายปัสสาวะ ส่วนใหญ่ขับถ่ายวันละประมาณ 4-6 ครั้ง
- จำนวน ในผู้ใหญ่ประมาณ 1,200-1,500 มิลลิลิตรต่อวัน
- สี ปกติปัสสาวะจะมีสีเหลืองอ่อนจนถึงเหลืองเข้ม
- ความใส ปัสสาวะควรใส ไม่มีตะกอน
- กลิ่น ปัสสาวะที่เพิ่งถ่ายใหม่ๆ จะมีกลิ่นอ่อนๆ ถ้าตั้งทิ้งไว้อาจมีกลิ่นแอมโมเนียได้
ข้อบ่งชี้ในการใส่สายสวน
1. ในภาวะที่มีการคั่งค้างของน้ำปัสสาวะ
2. ภาวะที่มีการอุดตันของทางเดินปัสสาวะ
3. เมื่อต้องการวัดปริมาณน้ำปัสสาวะ
4. ในผู้ป่วยเรื้อรังที่ไม่สามารถควบคุมการขับถ่ายได้
5. ก่อนและหลังผ่าตัด
6. รักษาภาวะ neurogenic bladder
7. มีแผลกดทับและไม่สามารถควบคุมการขับถ่ายได้
8. ในภาวะ longterm incontinence และมีการระคายเคืองของผิวหนัง
- ล้างมือก่อนและหลังการสัมผัส
- ใช้หลักปราศจากเชื้อและดูแลถุงตวงปัสสาวะให้เป็นระบบปิดอยู่เสมอ อย่าให้มีรูรั่วที่อากาศหรือเชื้อโรค
จาก สิ่งแวดล้อมภายนอกเข้าไปภายในระบบทางเดินปัสสาวะ
-การติดพลาสเตอร์ยึดสายสวนปัสสาวะเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดภาวะ Peno – strotal fistulaและการดึงรั้ง
กระเพาะปัสสาวะ
- เพศหญิง ติดพลาสเตอร์บริเวณหน้าขา
- เพศชาย ติดพลาสเตอร์บริเวณท้องน้อยหรือต้นขาหน้าขาหนีบ
การดูแลผู้ป่วยที่ใส่คาสายสวนปัสสาวะ
- สายสวนปัสสาวะดูแลไม่ให้หัก พับ งอ กดทับหรือดึงรั้ง เพื่อให้ปัสสาวะไหลได้สะดวก
ถุงปัสสาวะควรต่ำกว่ากระเพาะปัสสาวะ 11. 5 นิ้วฟุต
- ถุงเก็บปัสสาวะไม่ควรลากหรือวางบนพื้น
- มีการระบายปัสสาวะในถุงเก็บ อย่างน้อยทุก 8 ชั่วโมง
- กรณีมีการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยควร clamp สายสวนทุกครั้งเพื่อป้องกันการไหลย้อนกลับของปัสสาวะ
และปล่อย clamp เมื่อเคลื่อนย้ายผู้ป่วยเสร็จ
- กรณีที่พบว่าสายสวนปัสสาวะมีการอุดตัน ควรเปลี่ยนสวยสวยปัสสาวะ
- กรณีข้อต่อสายสวนปัสสาวะหลุด ควรเช็ดด้วย 70 % alcohol ก่อนแล้วจึงต่อสายสวนปัสสาวะ
- การเปลี่ยนสายสวนปัสสาวะควรทำเมื่อจำเป็น เนื่องจากการเปลี่ยนสายสวนปัสสาวบ่อย ๆ
ทำให้อัตราการติดเชื้อเพิ่มขึ้น
- ดูแลความสะอาดขณะใส่สายสวนปัสสาวะด้วยน้ำสบู่ วันละ 2 ครั้ง เช้า-เย็น
- แนะนำให้ผู้ป่วยดื่มน้ำมากกว่า 2000 ซีซี ต่อวัน
- ตรวจสอบสัญญาณชีพอย่างน้อยทุก 4 ชั่วโมง
- เปลี่ยนถุงรองปัสสาวะทุก 7 วัน หรือมีการรั่วซึม โดยปฏิบัติดังนี้
- ล้างมือให้สะอาด ใช้ไม้พันสำลี 70 % alcohol ทารอบ ๆ รอยต่อถุงปัสสาวะกับสายสวนปัสสาวะ
พับสายสวนปัสสาวะและดึงสายสวนปัสสาวะเก่าออก นำถุงปัสสาวะใหม่มาต่อกับสายสวนปัสสาวะ
ให้แน่นแล้วติดพลาสเตอร์รอบ ๆ รอยต่อ
- กลิ่น แสดงถึงมีการติดเชื้อแบคทีเรีย
- รูเปิดท่อปัสสาวะ แดงและบวม อาจเนื่องมาจากสายสวนปัสสาวะตึง
- มีไข้ แสดงถึงการติดเชื้อระบบทางเดินปัสสาวะ
- ปัสสาวะรั่วไหล แสดงถึงระบบการสวนมีการขัดข้อง
ภาวะแทรกซ้อนจากการใส่สายสวน
- การบาดเจ็บต่อท่อปัสสาวะและกระเพาะปัสสาวะ
- การติดเชื้อ , การอุดตันของท่อปัสสาวะ , การตีบของท่อปัสสาวะ
- การแพ้สายสวน ( พบน้อย )
-มีโอกาสเกิดมะเร็งได้ถ้าใส่สายคาไว้นาน ๆ
เมื่อการสอนมีการสาธิตร่วมด้วยน้องก็ทำได้ดีที่สำคัญทำงานเป็นกลุ่มสนุกมากค่ะ คนนั้นช่วยเสริมคนนี้วยแนะ ผู้ป่วยและญาติสนุกได้ความรู้ด้วยค่ะ
สำหรับเจ้าตัวหล่ะคะรู้สึกอย่างไร?
ช่วงเวลาเที่ยงครึ่งของวัน(ที่ขึ้นเวรเช้าพวกเราจะพาน้องๆฝึกประสบการณ์....โดยไม่เบียดบังเวลาทำงานเพราะนี่คือเวลาพักเที่ยงของพวกเรา)
วันนี้พาน้องใหม่ๆ และนักศึกษาผู้ช่วยพยาบาลลองฝึกการให้ความรู้เรื่อง การวัดความดันโลหิต ชีพจร การหายใจ และปิดท้ายน้องต๊ดตู่ที่เคยให้ความรู้เรื่องนี้แล้ว วันนี้เรื่องการทำความสะอาดผู้ที่คาสายสวนปัสสาวะ กับผู้ป่วยที่ช่วยเหลือตนเองไม่ไดตามมาดูค่ะ
เป้าหมายนะคะ
1. อยากให้น้องฝึกการกล้าแสดงออก ทั้งพูด ท่าทาง น้ำเสียง
2.ฝึกภาคปฏิบัติจริงๆเลย(เพราะงานที่ทำทุกวันสามารถสื่อสารให้คนอื่น หรือตัวเราเข้าใจดีไหม)
3.อยากให้น้องได้เรียนรู้การนำภาคทฤษฏีมาใช้ในภาคปฏิบัติดหมาะสม?
.............................
วันนี้คนสนใจมากค่ะ
น้องต่าย จุ๊บแจงมาเป็นกำลังใจให้ค่ะ
น้องนักศึกษาผู้ช่วยพยาบาลทำได้ดีค่ะ(ให้พูดภาษาถิ่นจะได้เข้าใจง่าย)
ถ้าน้องติดขัดเราก็เติม
เกือบทุกคนขอวัดความดัน ทุกคนฝึกจับชีพจร
สุดท้ายก่อนปิด.....พวกเราก็เน้นการล้างมือ.........
ให้ทุกคนรู้จักและใช้น้ำยาล้างมือกันถ้วนทั่ว
และก่อจบก็แนะนำญาติผู้ป่วยที่เป็นจิตอาสา......ที่ช่วยดูแลความสะอาดเช่นแนะนำผู้ป่วยแญติที่เข้ามาใหม่ทั้งสถานที่ การทิ้งขยะ และผ้าเปื้อน ทำที่ทำงานให้เหมือนบ้านค่ะ............
คราวหน้าจะมาต่อเรื่องความรู้สึกของคนที่ฝึกนะคะ.......................สวัสดีค่ะ
ให้ความรู้ โดย นางสาวเมทินี พลประถม กิ๊ก
การวัดอุณหภูมิ
เรื่องการวัดอุณหภูมิ ความดันโลหิต ชีพจร การวัดอุณหภูมิ คือการวัดอุณหภูมิภายในร่างกายว่าตัวเรามีไข้หรือปล่าว โดยใช้อุปกรณ์ในการวัดก็คือ ปรอท และเมื่อเราต้องการทราบค่าของปรอทที่เราวัดเราก็จะดูได้ตรงสเกลหรือขีดสีดำที่อยู่บนปรอทเมื่อน้ำปรอทสีน้ำเงินเทาตรงปลายอยู่ที่ไหนก็จะบอกได้ว่าอุณหภูมิในร่างกายของเราเท่าไหร่
การวัดอุณหภูมิของเราวัดได้ 3 ทาง ได้แก่ ทางปาก ซึ่งใช้เวลาวัด 3-5 นาที แต่ที่ตึกของเราไม่ค่อยใช้กัน ทางก้นเป็นวิธีแม่นที่สุด และส่วนมากจะใช้กับเด็กใช้เวลาวัด 3-5 นาที ทางรักแร้ เป็นวิธีที่ตึกเราใช้กันมากที่สุด ใช้เวลาวัด 5-8 นาที โดยก่อนวัดทุกครั้งต้องดูที่ปรอทก่อนว่าน้ำปรอทลงมาอยู่ที่ 3.5 หรือยัง ถ้ายังต้องสลัดให้ลงมาอยู่ที่ 3.5 ก่อน และต้องตรวจสอบว่ารักแร้เปียกหรือชื่นหรือปล่าว ถ้ามีก็ไข้ผ้าซับห้ามเช็ดหรือถูแรง ๆ จะทำค่าอุณหภูมิเปลี่ยนไป เมื่อดูทั้งปรอทและรักแร้เรียบร้อยแล้วก็ให้หนีบปรอทไว้ในรักแร้ได้ รอจนถึงเวลา 5-8 นาที ก็นำปรอทออกมาดูก็จะได้อุณหภูมิหรือความร้อนภายในร่างกายของเราและต้องบวก 0.5 ก็จะได้ค่าที่เป็นจริงอุณหภูมิปกติของร่างกายคนเราก็คือไม่เกิน 37.4 แต่ถ้ามากกว่าถือว่าเริ่มมีไข้ ถ้าเป็น 38 ขึ้นไปก็จะมีไข้สูงเป็นระดับ ถ้ามีไข้ก็ควรเช็คตัวให้ไข้ลดและทานยาลดไข้
ความรู้ที่ได้รับ
กล้าแสดงออก กล้าพูดมากขึ้น ได้ผลตอบรับที่ดีผู้ป่วยและญาติให้ความร่วมมือดี ได้ความรู้ในสิ่งที่ยังไม่รู้และที่ลืมไปแล้วกลับมาอีกครั้ง ผู้ป่วยและญาติก็ได้ความรู้เกี่ยวกับการวัดอุณหภูมิ ความดันโลหิต ชีพจร โดยที่เมื่อก่อนไม่รู้ว่าวัดไปเพื่ออะไรแต่ตอนนี้รู้แล้ว
สิ่งที่ควรนำมาปรับปรุง
กล้าที่จะแสดงออกกว่านี้ พูดให้มากขึ้นในสิ่งเป็นความรู้เกี่ยวกับการพยาบาล เตรียมตัวให้พร้อมมากกว่าที่เคยเวลาแสดงออกจะได้ไม่ติดขัด ถาม-ตอบกับผู้ป่วยและญาติให้มากกว่าเดิม เวลาพูดควรยิ้มแย้มแจ่มใส พูดจามีหางเสียง คะ ขา ค่ะ ให้มากขึ้น แสดงกิริยาที่อ่อนน้อมถ่อมตนให้ดีขึ้นกว่าเดิมที่เป็นอยู่
ให้ความรู้ โดย นางสาวสุธาสินี ผิวขาว เปิ้ล
เรื่อง ความดันโลหิต อุณหภูมิ ชีพจร ให้ความรู้แก่ญาติ คนไข้ ความดันโลหิตค่าความดันโลหิตปกติอยู่ที่ 130/80 และทำให้คนไข้และญาติทราบและคนไข้ทราบค่าปกติเท่าไร ความดันสูง 140/90 มม. ปรอท และจะต้องปฏิบัติตัวอย่างไรเพื่อป้องกันไว้ เช่น เราต้องควบคุมอาหาร น้ำหนักตัวให้ได้มาตรฐาน BMI, ออกกำลังกาย , นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ,งบสูบบุหรี่ เป็นต้น
อุณหภูมิของร่างกายคนเราปกติ 37.4 มีไข้คือ 37.5 ไว้ต่ำ ๆ ไข้สูง 37.8 ขึ้นไป ให้ดูปรอทวัดไข้จะต้องดูอย่างไร และต้อง +0.5 เพิ่มเวลาอ่านค่าจึงจะได้ค่ามาตรฐาน
ชีพจร แนะนำให้การจับชีพจรการเต้นของชีพจรค่าปกติ คือ 80-100 ครั้ง แต่การจับชีพจรต้องขึ้นอยู่กับ อายุ เพศ วัย และโรคด้วย และได้สอนวิธีการจับชีพจรให้กับญาติคนไข้ ได้ลงมือปฏิบัติกันอย่างถูกต้อง คนไข้ ได้ลงมือปฏิบัติกันอย่างถูกต้อง คนไข้และญาติที่เข้าร่วมรับฟังก็สามารถนำความรู้ มาประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันได้
สิ่งที่ได้รับ
ได้ความรู้เพิ่มเติมจากสิ่งที่เราเราพูดให้ผู้ป่วยฟัง ได้ความกล้าแสดงออก กล้าที่จะเสนอความรู้ให้กับญาติและผู้ป่วยฟัง และได้รู้ว่า ญาติและผู้ป่วย สนใจเกี่ยวกับความรู้ที่เราพูดให้ฟัง และตอบสนองกับมาอย่างพึงพอใจ และสามารถนำความรู้ไปใช้กับญาติ พี่น้องหรือตัวเองได้อย่างถูกวิธี
สิ่งที่ควรปรับปรุง
ต้องเตรียมตัวและความพร้อมให้ดีกว่านี้ พูดให้เข้าใจและอธิบายให้ผู้ฟังเข้าใจในสิ่งที่เราเสนอ และเพิ่มความรู้ให้มากกว่านี้ มีความกล้าแสดงออกกว่านี้ กล้าที่จะพูดและเสนอความคิด และเพิ่มความเป็นกันเองให้มากขึ้น
การให้ความรู้เรื่องการล้างมือ วันจันทร์ที่ 14 มิถุนายน 2553 เวลา 12.30-13.00 น.
นางสาวชุติมา บุบผา
ประสบการณ์ที่ได้รับ • เกิดกระบวนการเรียนรู้ในการให้ความรู้ผู้ป่วยและญาติ คือ มีการเตรียมตัวในด้านเนื้อหา การนำเสนอ การแก้ปัญหาเฉพาะหน้า และการนำข้อบกพร่องมาปรับปรุงแก้ไขในการให้ความรู้ครั้งต่อไปเพื่อเป็นการพัฒนาตนเอง • ได้ฝึกความกล้าแสดงออก ในการให้ความรู้ครั้งแรกจะรู้สึกตื่นเต้น แต่มีทีมที่ดีช่วยในการให้ความรู้ กระบวนการมีการกระตุ้นให้ผู้ป่วยและญาติเกิดการเรียนรู้โดยการถามและเปิดโอกาสให้ผู้ฟังถามด้วย ทำให้น่าสนใจและเป็นกันเอง ข้อเสนอแนะ • สถานที่ในการให้ความรู้มีความเหมาะสม เพราะสามารถให้ทั้งผู้ป่วยและญาติร่วมฟังได้ • การให้ความรู้ควรใช้ภาษาที่เข้าใจง่าย ความเป็นกันเองและกระตุ้นให้ผู้ป่วยและญาติปฏิบัติตาม • ควรจะมีกิจกรรมอย่างนี้อย่างสม่ำเสมอ เพื่อเป็นการเตรียมความรู้ของผู้ป่วยและญาติในการปฏิบัติตัวขณะอยู่โรงพยาบาล