คุณสวี ทำไมพวกคุณจึงกินข้าว


"ทำไมจะไม่ได้ ล่ะ พวกเราคอยให้พืชผลในไร่สุกงอม คอยให้เมียที่ท้องแก่คลอดลูก คอยให้เด็กๆ เติบโต คอยให้แก่ คอยให้ตาย ตลอดชีวิตของพวกเราอยู่กับการรอคอย แล้วทำไมเรานั่งคอยให้กล้วยสุกไม่ได้ พวกคุณรีบร้อนกันเหลือเกิน พวกคุณรีบร้อนอะไรกันอยู่เหรอ"

                     คุณครูน้องจาเป่า สั่งงานช่วงปิดเทอมให้อ่านหนังสืออานนอกเวลา 5 เล่ม สองเล่มแรกจาเป่าเลือกเอง เป็นหนังสือกาตูนหนึ่งเล่ม หนังสือแปลหนึ่งเล่ม สัปดาห์ถัดมา ผมไปเลือกหนังสืออ่านนอกเวลาจากร้านซีเอ็ด เจอหนังสือเล่มหนึ่งน่าสนใจ ชื่อ "นักสร้างแรงบันดาลใจขั้นเทพ" ซึ่งเขียนโดย นพ.โหว เหวิน หย่ง

               ถามว่าหนังสือเล่มนี้ทำไมน่าสนใจ ในชั้นหนังสือของซีเอ็ด เพราะว่า ๑)  หนังสือนี้อยู่ในโซนหนังสือ 20 เล่มที่ขายดีของซีเอ็ด ๒) คำว่ายอดพิมพ์กว่า สามแสนเล่มในไต้หวัน ที่อยู่ในกรอบโบว์สีแดง 3) ที่มุมหนังสือเขียนด้วยตัวหนังสือสีขาวคลิปแดงว่า "หนังสือนอกเวลายอดเยี่ยม" แต่นั่นยังไม่เท่าคำว่า "หนังสือที่ประธานาธิบดีของไต้หวันแนะนำให้ทุกคนอ่าน" บนแถบสีแดงขอบด้านล่างของหนังสือ และรูปการ์ตูนน่ารักๆ ประกอบหน้าปก

             ด้วยความคาดหวังว่าจาเป่าจะอ่านหนังสือเล่มนี้ แต่จนแล้วจดแรด (แรดไปแรดมา) จาเป่าก็ยังไม่ได้อ่านหนังสือนี้สักที เมื่อลูกไม่อ่าน พ่อก็ต้องอ่านเอง

             เวลากว่า สามอาทิตย์แล้วที่ผมค่อยๆ อ่านหนังสือเล่มนี้ อ่านไป อ่านไป ก็พบว่าเป็นเรื่องเล่าของนักเขียนในคราบหมอ  ที่ติดอันดับ นักเขียนอันดับ 1 ของไต้หวัน

             เรื่องที่เขียนก็บอกเล่าชีวิตของตนเอง ที่มีวิธีคิดไม่เหมือนใคร  แต่สิ่งที่ผมชอบในหนังสือเล่มนี้ก็คือตอนที่หมอหวนรำลึกถึงชีวิตของตนเองที่ทำงานอย่างหนัก เพื่อชีวิตและความสุข ความสำเร็จของตนเอง ที่ยิ่งทำกลับยิ่งพบว่าไม่ใช่ และเรื่องเล่าตอนหนึ่งของหมอที่เล่าถึงความรีบเร่ง การแข่งขัน แย่งกันไปสู่ความสำเร็จ ดังที่ยกมาเล่าต่อว่า

             มีอยู่ครั้งหนึ่ง อาจารย์สวี เหลิ่นซิว จากสมาคมอนุรักษ์ป่าดงดิบเดินทางมาพบ เขาเป็นคนมีบุคลิกอย่างที่ผม(นพ.โหว เหวิน หย่ง)อยากรู้จัก ผมไม่เคยเข้าใจเลยว่าทำไมอยู่ดีๆ เขาต้องตีตัวออกห่าง จากโลกศิวิไลซ์ เดินทางเข้าป่าเพื่อผจญภัย ผมจึงโม้แหลกยกใหญ่ในรายการวิทยุที่จัด เขาเล่าประสบการณ์จากคนพื้นเมืองเมื่อตอนอยู่ทวีปอเมริกากลาง-ใต้
               "พวกเราเดินทาง อยู่ในแถบนั้นหลายวัน อยู่ๆ ไกด์นำทางชาวพื้นเมืองถามว่า 'คุณสวี ทำไมพวกคุณจึงกินข้าว'  คำถามพิลึกสิ้นดี ผมย้อนถาม 'ทำไมถามอย่างนี้' เขาตอบว่า ทุกครั้ง เขาเห็นเราพลิกดูของประหลาดบนข้อมือแล้วค่อยตัดสินใจว่าต้องกินข้าวกันรึเปล่า ผมจึงเล่าให้เขาฟังเกี่ยวกับของประหลาดที่ชื่อว่านาฬิกาข้อมือ ว่าเวลา 12.00 น. พระอาทิตย์ก็อยู่กลางท้องฟ้าพอดี เข็มยาวสั้นบนนาฬิกาก็ชี้ไปด้านบนพอดีเช่นกัน เวลาหกโมงเย็นพระอาทิตย์ตกดิน เข็มนาฬิกาของเราก็ชี้ลง ผมพยายามอธิบายความเกี่ยวข้องระหว่างพระอาทิตย์กับนาฬิกาให้เขาฟัง อธิบยเพิ่มเติมว่า เพราะได้เวลากินข้าวเราถึงกินข้าว สหายชาวพื้นเมืองคนนี้ก็ฟังเข้าใจ ปรบมือแล้วพูดว่า
             "อ๋อ ! ที่แท้พวกคุณเป็นชาวเผ่าที่บูชาพระอาทิตย์นี่เอง พวกคุณกินข้าวเพื่อสรรเสริญพระอาทิตย์"
             "ฮ่า ฮ่า" ผมหัวเราะ "อันที่จริงไม่ใช่เพราะพระอาทิตย์แต่ เป็นเพราะเวลา"

            อาจารย์ สวี เหลิ่นซิ่ว เล่าต่อ "เวลาเป็นเรื่องที่นามธรรมมากสำหรับชาวพื้นเมือง เป็นการยากเมื่อต้องคุยกับเขาเกี่ยวกับเวลา" ผมย้อนถามเขา "ว่าทำไมพวกคุณถึงกินข้าว" เขาตอบแทบไม่ต้องคิดเลยว่า "เพราะหิว!"
            ผมทึ่งมากกับคำบอกเล่า "อย่างกับนิทานโกอานของเซนแน่ะ!" รายละเอียดเพิ่มเติม
           หลังจากสังเกตอยู่หลายวัน ผมพบว่าพวกเขาเป็นอย่างที่บอกจริงๆ วันนั้นท้องฟ้ามืดแล้ว พวกเราจึงตั้งแคมป์ มองเห็นเชิงเขาตรงข้าม มีกล้วยอยู่เครือหนึ่ง อันที่จริงก็อยากไปเก็บมาเตรียมเป็นอาหารในวันรุ่งขึ้น แต่ไกด์นำทางของเราไม่ยอมไปเก็บ เขาบอกว่า "ไม่มีใครหิวสักหน่อย ทำไมไม่ปล่อยให้กล้วยเครือนั้นอยู่กับต้น จะไปเก็บทำไม"
           "เป็นคนมีหลักการดีนะ" ผมพูด
          เราก็เลยต้องเลยตามเลย ต่างคนต่างเข้านอน กลางดึกคืนนั้น จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงคนกลิ้งตกลงมาจากเนินเขา ทุกคนรีบมุดออกมาจากเต๊นท์ ไฟฉายส่งดู  ปรากฏว่าไกด์นำทางชาวพื้นเมืองคนเก่งของเรานั่นเอง มือของเขาถือกล้วยเครือนั้นอยู่ เขาทำหน้าน่าสงสาร พูดเสียวอ่อย "ก็ผมหิวนี่นา"
             "ฮ่า ฮ่า ! สมเหตุสมผลดี"   
              วันรุ่งขึ้น ทุกคนเห็นว่ากล้วยยังดิบอยู่จึงเสนอให้ไกด์นำทางแบกกล้วยเดินทางไปด้วย เอาไว้สุกแล้วค่อยกิน แต่ไกด์ของเราคัดค้านอีก หัวเด็ดตีนขาดก็ไม่ยอมแบกกล้วยไปด้วย จนแล้วจนรอด เราก็บอกว่าเมื่อคุณไม่ยอมแบกไปด้วย ก็ทิงไว้ที่นี่แล้วกัน แต่เขาก็ยังปฏิเสธการทิ้งกล้วยเอาไว้อีกเหมือนกัน เขายืนยันว่ากล้วยเป็นสิ่งที่แผ่นดินมอบให้ คนไม่มีสิทธิ์กินทิ้งกินขว้างทำตัวฟุ่มเฟือย
             เป็นไกด์ที่ดื้อรั้น เป็นตัวของตัวเองดีจังนะครับ ผมหัวเราะ "ไม่ยอมแบกไปแต่ก็ไม่ยอมทิ้ง ถ้าอย่างนั้นจะทำอย่างไร"
             ไกด์อัจฉริยะของเราตอบว่า "ก็นั่งคอยอยู่ตรงนี้ รอให้กล้วยสุกก่อน กินหมดแล้วค่อยเดินทางต่อ"
            "หา" ผมแทบจะปล่อยก๊ากออกมา "นั่งคอยให้กล้วยสุก !?"

            ไกด์ให้เหตุผลว่า "ทำไมจะไม่ได้ล่ะ พวกเราคอยให้พืชผลในไร่สุกงอม คอยให้เมียที่ท้องแก่คลอดลูก คอยให้เด็กๆ เติบโต คอยให้แก่ คอยให้ตาย ตลอดชีวิตของพวกเราอยู่กับการรอคอย แล้วทำไมเรานั่งคอยให้กล้วยสุกไม่ได้ พวกคุณรีบร้อนกันเหลือเกิน พวกคุณรีบร้อนอะไรกันอยู่เหรอ"

หมายเลขบันทึก: 364406เขียนเมื่อ 6 มิถุนายน 2010 10:43 น. ()แก้ไขเมื่อ 6 กันยายน 2013 23:01 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (1)

ขอบคุณอาจารย์ที่มีเรื่องเล่าดีๆให้ได้อ่านค่ะ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท