US visa for study: F1/J1 which one is right for me?


การไปเรียนอเมริกา ต้องทำ J1 หรือ F1 วีซ่า:

เนื่องจากวีซ่าท่องเที่ยว/เยี่ยมเยียน B1/B2 นั้น แม้จะมีอายุถึง 10 ปี แต่การเข้าไปอยู่ในอเมริกาแต่ละครั้งไม่เกิน 6 เดือน  ดังนั้น อาจพอใช้สำหรับการไปดูงาน, ไปสอบ, หรือ elective ช่วงสั้นๆได้

แต่การเข้าไปเรียนเป็นปี หรือที่มีหลักสูตรชัดเจน ก็ต้องทำวีซ่าอีกประเภทหนึ่ง คือ F1 หรือ J1  ( ถึงแม้จะมี B1/B2 อยู่แล้วก็ตาม - ข้อควระวังคือ การเข้าออกประเทศอเมริกาในระหว่างศึกษาอบรม ห้ามใช้ B1/B2)

ที่จริงแล้วเรื่องวีซ่าอเมริกามีรายละเอียดเยอะมากคะ แต่จะขอเล่าเท่าที่พอรู้ และมีประสบการณ์หาข้อมูลบ้าง (แหล่งหลักก็ Pantip ห้องใกลบ้านละคะ) จึงเป็นที่เกี่ยวกับการไปฝึกอบรมในอเมริกาของแพทย์

โดยสรุปในการไปฝึกอบรม ทั้ง J1 และ F1 เป็นวีซ่าที่ต้องมีเจ้าภาพ ออกหนังสือเข้าประเทศให้ก่อน ( DS2019 สำหรับ J1  และ I-20 สำหรับ F1) ไม่สามารถไปยื่นเองได้ แบบวีซ่าท่องเที่ยว B1/B2   และเจ้าหนังสือเข้าประเทศ นี้อาจมีความ สำคัญยิ่งกว่าตัววีซ่าด้วยซ้ำไป เช่น วีซ่าอาจมีอายุ 5 ปี แต่เราจะอยู่อย่างถูกกฎหมายเท่าที่กำหนดใน วันหมดอายุในหนังสือเข้าประเทศ กับอีก 1 ถึง 2 เดือน  ( J1 +30 วัน, F1 +60 วัน) เท่านั้น ตรงกันข้าม หากวีซ่าหมดอายุ แต่ หนังสือเข้าประเทศยังไม่หมด ก็อยู่ได้ไม่เป็นปัญหา

ตกลงควรทำ J1 หรือ F1 กันแน่?

ขอแบ่งออกเป็นสองกรณี

1. กรณีเป็นการไปทำงานรับเงินเดือนในอเมริกา เช่น การที่แพทย์สอบ USMLE ไปเป็น resident โดยรับเงินเดือนจากโรงพยาบาลในสหรัฐ   กลุ่มนี้ไม่ต้องคิดมากคะ เพราะโรงพยาบาลที่ฝึกอบรมออกให้เฉพาะ  DS2019 ให้มาทำ J1

2. กรณีไปเรียน โดยทุนส่วนตัว 100% เช่น ไปลงเรียนภาษา หรือหลักสูตรที่สนใจด้วยทุนทรัพย์ส่วนตัว  กลุ่มนี้ก็ไม่ต้องคิดมากอีกเช่นกันคะ เพราะโรงเรียนออกให้เฉพาะ I-20 ให้มาทำ F1 

3. กลุ่มนักเรียนทุน  ทุนรัฐบาล ทุนมหาวิทยาลัย..กลุ่มนี้ ตรงไปตรงมาคือ J1 แต่หากลง course ด้วยก็สามารถขอทำ F1 ได้เหมือนกันคะ  จึงควรพิจารณาว่าแบบไหนที่เหมาะสม

    J1  มีข้อดีว่า ผู้ติดตาม คือสามี หรือภรรยา หากทำวีซ่าผู้ติดตาม (J2)  ตัวผู้ติดตามมีสิทธิทำงานและ "อาจ"(แล้วแต่ที่) ลงเรียนในอเมริกาได้ด้วย
         มีข้อด้อยคือ ส่วน ใหญ่ จะมีกฎบังคับให้กลับประเทศ หลังจาก J1 หมดอายุเป็นเวลา 2 ปีก่อน จึงจะมีสิทธิยื่นขอวีซ่าถาวร เช่น H1b, greencard  หากมีความจำเป็นต้องอยู่ต่อต้องขอทำเรื่อง 2 years rule waiver เป็นกรณีๆ ไป  แต่สามารถขอต่อวีซ่า J1 หรือเปลี่ยนเป็น F1 ได้ 
         และการทำงานระหว่างเรียน นั้นทำได้เฉพาะ In campus เท่านั้น

   F1 มีข้อดีว่า  ไม่มี 2 years rule คือสามารถขอทำ H1b หรือ greencard ได้เลย , การทำงานระหว่างเรียน ไม่ต้องขอการรับรองจาก international office   หลังจบการศึกษาที่ระบุใน I-20 แล้วมีสิทธิสมัครทำงานนอก campus เพื่อเก็บประสบการณ์ใน field ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งเรียกว่า Optional pracitcal training (OPT) อีกเป็นเวลา 1 ปี
       มีข้อด้อย คือ ผู้ทำวีซ่าติดตาม (F2) ไม่มีสิทธิทำงานหรือเรียน full course ในอเมริกา

  ในแง่ค่าใช้จ่าย ทั้ง J1 และ F1 ก็ต้องจ่ายระบบข้อมูลติดตาม Student and Exchange Visitor Information System (SEVIS) -คิดๆ ก็ตลกดี เราจ่ายเงินให้ระบบที่มาคุมเรา
  จะเห็นว่า J1 มีข้อกำหนดค่อนข้างรัดกุมอยู่แล้ว ค่า SEVIS จึงถูกกว่า F1 หน่อย ( 180 กับ 200 USD)  แต่..,มหาวิทยาลัยบางที่ การทำ J1 จะมีค่าธรรมเนียมให้กับ Internatonal office เพิ่มอีก 200-500 USD

  ทั้ง F1 และ J1 สามารถทำงาน part time และ full time เพื่อหารายได้  ในจำนวนชั่วโมง ที่มหาวิทยาลัยกำหนด

   อาจพอสรุปได้ว่า F1 เหมาะกับ คนยังไม่มีผู้ติดตาม และต้องการมีปลายเปิดในการทำงานเก็บเกี่ยวประสบการณ์..แต่ไม่ได้หมายความว่า เปิดให้หลบหนีอยู่แบบผิดกฎหมาย เพราะมีระบบ SEVIS ที่เข้มข้น..และเหนืออื่นใด สัญญาใจที่มีต่อบ้านเกิดเมืองนอน ให้นำความรู้ ประสบการณ์ที่ได้ไปพัฒนา..

คำสำคัญ (Tags): #f1#j1#us visa
หมายเลขบันทึก: 362871เขียนเมื่อ 1 มิถุนายน 2010 12:27 น. ()แก้ไขเมื่อ 12 พฤศจิกายน 2012 13:25 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (2)

ของอังกฤษ พี่ศึกษาหลายรอบแล้ว ยังไม่รู้เรื่องเลย ขอบ่นช่วงทำใจ

อาจารย์จะไปอังกฤษหรือคะ เป็นเมืองที่ฟังดู คนมีอัธยาศัยดีนะคะ (แต่เรื่องวีซ่า ก็ได้ยินว่าเข้มมากๆ เช่นกัน)

มีคนเล่าว่า

ใน conference วิชาการหนึ่ง มี professor ชื่อดังสองท่าน มาจากอเมริกา กับ อังกฤษ

หมออเมริกัน พูดเก่ง เทคนิคแพรวพราว

หมออังกฤษ พูดช้าๆ เน้นความสมบูรณ์ของเนื้อหา

ช่วงเช้า คนเข้าฟังห้องหมออเมริกัน เป็นส่วนใหญ่

แต่หลังจากมื้อเที่ยงผ่านไป คนหันไปเข้าห้องหมออังกฤษเป็นส่วนใหญ่..

เพราะว่า

หมออเมริกัน นำเสนอเรื่องของตนเองจนหมดถึงยอมให้พัก จนกินเวลาพักไปครึ่งชั่วโมง

หมออังกฤษ พอถึงเวลาพัก ก็หยุดเรื่องที่ตัวเองเตรียมมาไว้แค่นั้น ปล่อยให้คนไปพัก..

ขอโทษที่เยิ่นเย้อคะ อดเล่า mini story ไม่ได้ :-)

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท