ดอกชบา


 

เมื่อสมัยที่เรียนอยู่ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 จำได้ว่าได้เรียนวิชาสร้างเสริมประสบการณ์ชีวิต เรื่องหนึ่งคือ ดอกชบา ความเป็นจริงจุดมุ่งหมายของเรื่องไม่ได้เจาะจงที่ดอกชบาเพียงอย่างเดียว หากแต่ใช้เพื่อสื่อความรู้เกี่ยวกับพืชดอกที่มีส่วนประกอบต่างๆ ซึ่งในสมัยก่อนเทคโนโลยีด้านคอมพิวเตอร์ยังไม่เท่าปัจจุบัน จึงทำให้นักเรียนในสมัยนั้นเรียนรู้ได้ค่อนข้างยาก มาถึงสมัยนี้เลยตั้งความหวังว่าจะทำให้เรื่องยากกลายเป็นเรื่องง่ายให้จงได้
ดอกชบาได้รับการขนานนามว่า ราชินีแห่งดอกไม้เมืองร้อน (Queen of Tropical Flower) เพราะมีความงามที่โดดเด่น ประเทศมาเลเซียและประเทศจาไมกาได้นำดอกชนิดนี้เป็นดอกไม้ประจำชาติ (แท้จริงแล้วดอกชนิดนี้มีถิ่นกำเนิดที่ประเทศจีน) ในหลักความเชื่อของศาสนาฮินดูนั้นถือว่าดอกชบาเป็นดอกไม้ของเจ้าแม่กาลี
จุดเด่นของพืชชนิดนี้ คือ มีเส้นใยที่มียางเมือก (Mucilaginous) อยู่ในเนื้อไม้ ลักษณะเป็นไม้พุ่มขนาดกลาง มีใบเดี่ยวเรียงสลับกัน ทำให้มีรูปร่างหลายแบบ เช่น วงกลม วงรี รูปไข่ หรือ รูปเว้า มีกลีบดอก 5 กลีบ เชื่อมติดกันเป็นวงที่ฐานดอก มี 2 เพศในดอกเดียว โดยสังเกตได้ดังนี้
เกสรเพศผู้ มีส่วนประกอบ คือ อับเรณูสีเหลืองรูปไตและก้านชูอับเรณูสีขาวหรือสีเดียวกัน
เกสรเพศเมีย จะอยู่ที่ปลายหลอดเกสรเพศผู้ มักมีก้านเล็ก ๆ แยกยอดเกสรเพศเมียออกเป็น 5 ยอด ซึ่งบ่งบอกถึงจำนวนห้องในรังไข่ ส่วนปลายยอดมีน้ำหวานจับที่ละอองเรณู
ดอกชบาแบ่งได้เป็น 3 ลักษณะ คือ
1. ดอกบานรูปถ้วย
2. ดอกบานรูปแผ่แบน
3. กลีบดอกบานแบบแผ่โค้ง
ชื่อวิทยาศาสตร์ คือ Hibiscus syriacus L.; Hibiscus chinenis DC.

หมายเลขบันทึก: 362574เขียนเมื่อ 31 พฤษภาคม 2010 09:39 น. ()แก้ไขเมื่อ 24 มิถุนายน 2012 01:16 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท