Moment of Peace


ในฤดูร้อน  ปลายเดือนเมษายน  ในช่วงวันเวลาที่อากาศร้อนจัด และท่ามกลางบรรยากาศทางการเมืองของประเทศชาติที่ร้อนระอุพอๆกัน  ข้าพเจ้าและกัลยาณมิตร ได้มีโอกาสเข้าปฎิบัติสมาธิภาวนาที่วัดป่าถ้ำวัว เป็นเวลา สามคืน  สองวัน   ในช่วงเวลาสั้นๆ นั้น  เราทั้งหลายได้มีโอกาสกลับมาสู่บ้านอันแท้จริงของเราอีกครั้ง

หลวงพี่พิทยาได้มาเยือนแม่ฮ่องสอน   ช่วงปลายเดือนเมษายน ที่ผ่านมา  และครั้งนี้ท่านมาที่นี่ในฐานะของพระเถรวาท 

เราเคยพบเจอหลวงพี่ ในชุดสมณะนักบวชฝ่ายเซนมหายานแบบหมู่บ้านพลัม  ไม่เคยพบท่านในชุดจีวรของพระเถรวาทมาก่อน  ทั้งๆที่แต่เดิมเริ่มต้นนั้นท่านก็เป็นพระเถรวาท  และดูเหมือนว่าท่านก็ยังคงเป็นเถรวาทอยู่ในจิตวิญญานก็ว่าได้ 

ในครั้งนี้หลวงพี่กรุณามานำภาวนาให้กับกลุ่มผู้สนใจกลุ่มเล็กๆ และใช้สถานที่ภาวนา ณ วัดป่าถ้ำวัว แทนที่จะจัดกันในโรงพยาบาลเหมือนเคย ทำให้เราทั้งหลายได้มีโอกาสหลุดออกมาจากบรรยากาศของโรงพยาบาล และมีเวลาที่จะผ่อนคลายอย่างเต็มที่ในบรรยากาศที่แวดล้อมไปด้วยธรรมชาติและมีความสงบเงียบ  แถมห่างไกลจากข่าวสารบ้านเมือง ทั้งหลายด้วย

การได้พบหลวงพี่ครั้งนี้แม้จะดูแปลกและแตกต่างออกไปจากครั้งก่อนๆ  แต่สุดท้ายเราทุกคนก็รับรู้ว่า ไม่ว่าท่านจะนุ่งห่มจีวรสีอะไร สายไหน  นิกายอะไร  ท่านก็ยังคงเป็นพระที่ใจดีมีเมตตาอย่างที่เราเคยรู้จัก    หลวงพี่แสดงให้เราได้รับรู้ว่า เครื่องแต่งกาย  เสื้อผ้าอาภรณ์ไม่ใช่สิ่งสำคัญที่สุดในการแสดงภาพลักษณ์หรือตัวตนอะไร  แต่การแสดงทุกสิ่งออกมาจากใจ คือสิ่งที่บอกให้ผู้คนทั้งหลายได้รับรู้มากกว่าเสื้อผ้าอาภรณ์ที่เราสวมใส่

  

ข้าพเจ้ารู้สึกดีที่ได้มีโอกาสเข้าร่วมภาวนาอีกครั้ง และได้อยู่กับการภาวนาอย่างจริงจังและเต็มเวลามากขึ้น  เพราะสองครั้งที่ผ่านมานั้นด้วยความที่เราจัดกันใน รพ.ทำให้ตนเองไม่อาจวางเรื่องของงานการลงได้อย่างแท้จริง  ต้องเดินไปดูคนไข้บ้าง รับปรึกษาบ้างเป็นระยะๆ   ทำให้เกิดความไม่ต่อเนื่องอย่างมาก

หลวงพี่มาในช่วงเวลาที่ข้าพเจ้ากำลังหมดหวังและหมดกำลังใจ กับเรื่องราวรอบข้าง ทั้งในเรื่องของสังฆะ และเรื่องของ ความสัมพันธ์กับกัลยาณมิตร   ผิดหวังจากการถูกตัดสินดูแคลน เป็นช่วงเวลาที่ข้าพเจ้ารู้สึกย่ำแย่และจิตตกเอามากๆ  ในรอบสามปีที่ภาวนามา  ข้าพเจ้าเริ่มหลุดออกไปจากปัจจุบันขณะมากขึ้นเรื่อยๆ  ตามมาด้วยการปรุงแต่งของความคิด เกิดความทุกข์ใจ   เกิดความผิดหวัง   

ร่วมกับการงานที่มีเข้ามามากขึ้น  ทำให้ข้าพเจ้าเริ่มวิ่งไปข้างหน้า    วิ่งไปตามเรื่องราวหลายอย่างที่เข้ามากระทบ  แล้วก็จิตตกเป็นพักๆ  ข้าพเจ้ารู้สึกทุกข์มากทีเดียว และผิดหวัง กับบางสิ่งบางอย่างที่เกิดขึ้น  และเสียความตั้งใจที่จะทำอะไรๆ  ให้องค์กรเอาเลยทีเดียว  

  ในภาวะเช่นนี้ ข้าพเจ้าจึงต้องกลับเข้ามาดูแลตนเอง 

 

ในช่วงเวลาแบบนี้ข้าพเจ้าจำเป็นต้องทบทวนทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้น  และใช้เวลาที่จะอยู่กับตัวเอง  เพื่อไตร่ตรองว่าชีวิตจากนี้ควรจะดำเนินไปอย่างไร    ข้าพเจ้าได้เรียนรู้บทเรียนที่สำคัญว่า  ความปรารถนาดีใดๆ  ของเรานั้น  สามารถสร้างความทุกข์ให้กับคนอื่นได้  มากพอกับความประสงค์ร้ายนั่นแหละ มีคนมากมายในโลกที่หยิ่งทะนง และมีศักดิ์ศรีอย่างมาก  พวกเขาไม่ยอมก้มหัวให้ใคร  และไม่ชอบฟังคำแนะนำของใคร  การให้ความหวังดีหรือการพยายามช่วยเหลือเขา  จะก่อเกิดความทุกข์ให้ทั้งเขาและเราด้วย   และไม่มีประโยชน์อันใดที่จะพยายามช่วยใคร แนะนำใครในขณะที่เราไม่ดีพอ ไม่พร้อมพอ  เพราะการทำเช่นนั้นเขาจะยิ่งดูถูกดูแคลนและสมเพชเรามากขึ้น     แม้จะภาวนาอย่างสม่ำเสมอ  แต่ด้วยคำว่าตัวตนที่ยังมีอยู่มาก  ทำให้ข้าพเจ้ารับความทุกข์นั้นไปเต็มๆ  และรู้สึกสำนึกในใจและเรียนรู้ที่จะอยู่ในวิถีของตน ไม่คิดไปยุ่งเกี่ยวกับวิถีชีวิตของคนอื่นอีก   เพราะความหวังดีของเรา  ไม่สามารถช่วยอะไรใครได้ถ้าใจเขาไม่รับ  ไม่นับถือ   แถมนั่นยิ่งจะเป็นผลเสีย ต่อทั้งเราและเขาด้วย

มันออกจะเป็นเรื่องน่าเศร้าใจอยู่กับเรื่องราวที่เกิดขึ้น แต่ข้าพเจ้าก็ได้บทเรียนที่สำคัญในด้านความสัมพันธ์์กับคนรอบข้าง  ในช่วงเวลานี้ข้าพเจ้าพบว่า การภาวนาเป็นสิ่งเดียวที่สำคัญ ในการที่จะช่วยฟื้นฟูสภาพจิตใจที่ย่ำแย่และ ก็ได้แต่หวังว่าจะกลับมาอยู่ในปัจจุบันขณะได้มากขึ้น  แต่ก็ใช่ว่าจะทำได้ง่ายๆ 

การได้เข้าภาวนาอีกครั้งที่วัดป่าถ้ำวัว  ได้ช่วยสร้างเสริมกำลังใจบางอย่าง  และทำให้ข้าพเจ้ากลับมาสู่บ้านอันแท้จริงคือกายและใจของตนมากขึ้น

ในช่วงธรรมบรรยาย หลวงพี่พิทยากล่าวว่า  เรื่องทุกเรื่องมันเกิดที่ใจเรานี่เอง  และขอให้มันจบลงที่ใจเราเช่นกัน   ไม่มีอะไร  หรือใครที่ไหนทำให้เราทุกข์  นอกจากใจของเราที่ไปยึดความทุกข์ไว้   นั่นคือความจริง  เราทั้งหลายสามารถมีความทุกข์ใจกับคำพูดต่างๆของผู้คน  แล้วยึดถือคำพูดต่างๆนั้นไว้ไม่ยอมปล่อย   เราทุกข์เพราะเรายึด  และแบกมันไว้ แถมไม่ยอมวางมันลงเสียที   เราถึงทุกข์กันอยู่เรื่อยๆ  ซ้ำๆ ซาก  ๆ สิ่งนี้เราทุกคนต่างรู้ดี  แต่เราก็ยังไม่สามารถวางเรื่องที่ทำให้เราทุกข์ได้ และแบกมันต่อไป

 

สุดท้ายแล้วข้าพเจ้าก็พบว่า บนหนทางของการภาวนานั้น เราแต่ละคนต่างมีหนทางของตนเอง  และไม่มีใครช่วยใครได้ แม้แต่ครูบาอาจารย์  แต่อย่างไรก็ดีครูบาอาจารย์คือแรงบันดาลใจ

ข้าพเจ้าพบว่า การภาวนาตามแนวทางหมู่บ้านพลัม การได้พบหลวงปู่ติช ได้พบหลวงพี่จากหมู่บ้านพลัม และการได้พบหลวงพี่พิทยา ทำให้ข้าพเจ้าได้เรียนรู้และเกิดแรงบันดาลใจหลายอย่าง

ประการแรก  ในเรื่องของการรู้จักหยุด และรู้จักชื่นชมสิ่งเล็กๆน้อยๆในชีวิต และรู้จักมีความสุขง่ายๆ  แม้แต่การนั่งนิ่งเงียบตามลมหายใจ  มองดูต้นไม้ใบหญ้า ก็เป็นความสุขได้ และเราไม่ต้องวิ่งไปข้างหน้าเพื่อหาความสุข  ประการต่อมาคือความอ่อนน้อมถ่อมตน และการรู้จักอ่อนโยนกับตนเอง และผู้อื่น  แม้ข้าพเจ้าจะยังมีท่าทีที่แข็งกร้าวในบางคร้งและในหลายๆสถานการณ์ ตามลักษณะงานที่เป็นอยู่  แต่มันก็ไม่ได้เป็นเช่นนั้นตลอดเวลาอีกต่อไป   ข้าพเจ้าเรียนรู้ที่จะไม่กดดันหรือทำร้ายตนเองด้วยความเครียด จากการงาน  และเริ่มผ่อนปรนเริ่มเข้าใจเรื่องราวต่างๆมากขึ้น   ประการต่อมาก็คือการรู้จักเปิดกว้างและเรียนรู้สิ่งต่างๆ  แม้แต่เรื่องเล็กๆน้อยๆ ในชีวิต 

  ด้วยความที่หลวงพี่เป็นคนเปิดกว้างและยินดีที่จะเรียนรู้ในสิ่งต่างๆ   อยู่เสมอ  ทำให้ท่านมีความแตกต่างออกไป    ท่านอาจจะมีเส้นทางของตนเอง  แต่ท่านก็ยินดีที่จะเรียนรู้และทำความเข้าใจกับสายการปฎิบัติอื่นๆ  และน้อมใจที่จะรับฟัง   และก็มีพื้นที่มากมายให้กับทุกคน  ไม่ว่าคนคนนั้นจะเป็นใครและอย่างไร   สิ่งที่เห็นและเป็นอยู่  ทำให้ข้าพเจ้าได้เรียนรู้ว่า  การเปิดใจอย่างแท้จริงนั้นเป็นเช่นไร  และจะเกิดประโยชน์อย่างไร  ในการก้าวเดินไปบนเส้นทางนี้

หลวงพี่สอนให้รู้ว่า ในชีวิตประจำวัน  ในช่วงเวลาต่างๆ  ที่เราใช้ชีวิตไปนั้น การได้พบหรือพูดคุยกับใครก็ตามเราที่ผ่านเข้ามาในชีวิต  เรามักจะได้เรียนรู้สิ่งต่างๆ  จากเขาเหล่านั้นเสมอ  ไม่ว่าเขาเหล่านั้นจะเป็นใครก็ตาม  ไม่ว่าเขาคนนั้นจะเป็นขี้เหล้าเมายาคนหนึ่งที่ล้มเหลวในชีวิต หรือใครสักคนที่มีชีวิตสูงศักดิ์และดูร่ำรวย  ใครสักคนที่ยากจนและไม่มีแม้แต่เสื้อผ้าดีๆจะใส่ หรือใครสักคนที่กำลังเสียสติและเป็นบ้าอยู่  เราได้มองเห็นและเรียนรู้จากเขาเหล่านั้น  หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ พวกเขาคือครูของเราที่มาปรากฏและสอนอะไรบางอย่าง เพียงแต่เราจะน้อมใจฟังหรือไม่เท่านั้น   หลวงพี่เคยกล่าวทำนองว่า ทุกอย่างก็เหมือนกระจกเงา  เมื่อเรามองออกไปยังผู้คนทั้งหลาย และรู้สึกว่าทุกสิ่งไม่สวยงาม ทุกอย่างก็ดูไม่ถูกใจ  แถมอะไรๆก็ไม่น่ารัก  ก็เหมือนเรามองไปยังกระจกเงา  ที่สะท้อนภาพตัวเรา สะท้อนความคิดเห็นของเราที่มีต่อโลกภายนอก   และถ้าเราไม่พอใจสิ่งที่เห็นในกระจกเงาบานนั้น  และต้องการปรับเปลี่ยนและจัดแจงให้มันดีขึ้น   เราต้องจัดที่ตัวเราเอง ไม่ใช่สิ่งที่อยู่ในกระจก  เพราะมันไม่สามารถทำเช่นนั้นได้     สุดท้ายก็กลับมาที่ตัวเรา  เราเท่านั้นที่จะทำให้โลกข้างนอกสวยงามหรือไม่  และดูเลวร้ายแค่ไหน  ขึ้นอยู่กับใจเรานี่เอง

ถ้าจะให้ข้าพเจ้าเปรียบเทียบ ก็ดั่งเช่น ในวันที่ท้องฟ้ามืดครึ้มฝนตกหนัก คนที่ใจเศร้าหมองและเต็มไปด้วยความทุกข์ อาจจะยิ่งทุกข์หนักและหดหู่ใจมากขึ้น   แต่ในคนที่ใจเป็นสุข อาจจะเบิกบานกับการเห็นสายฝนและต้นไม้เขียวๆ    แต่ในใจของใครอีกคนที่กำลังเฉยๆ ไม่สุข ไม่ทุกข์ ฝนตกก็คือฝนตก  ไม่มีความสุข ไม่มีความศร้าอะไร  นั่นคือสายฝนที่ตกลงมา  และเป็นปรากฏการณ์หนึ่งของโลกก็เท่านั้น 

 ดังนั้นความสุขความทุกข์จึงไม่ใช่เรื่องของดินฟ้าอากาศ  ไม่ใช่เรื่องของการอยู่ในสถานที่อันสวยงาม หรือการอยู่อาศัยในประเทศอันมั่งคั่ง   แต่อยู่ที่ใจของเรานี่เอง  สิ่งภายนอกเป็นแค่เครื่องเกื้อหนุนและเป็นกระจกเงาให้กับเราเท่านั้น  ทุกสิ่งจึงเกิดที่ในใจเรานี่เอง   และในการภาวนาที่ผ่านมาหลวงพี่กล่าวว่า เมื่อมันเกิดขึ้นที่ใจก็ให้มันดับลงที่ใจ  เพราะเหตุอยู่ที่นั่น 

ข้าพเจ้าได้พบว่า การเปิดกว้างที่จะเรียนรู้ ไม่ขีดกั้นตนเองจากสิ่งต่างๆ  เราก็จะได้เรียนรู้สิ่งต่างๆมากกว่าปกติ   การไม่ยอมรับนับถือ ไม่ยอมเข้าใจ ไม่ยอมรับฟัง คนที่เราคิดว่าไม่ดีพอ ไม่น่าเชื่อถือพอ  ได้ตัดโอกาสสำคัญในการเรียนรู้สิ่งต่างๆ ของชีวิตไปอย่างไม่ต้องสงสัย

และในการภาวนานั้น  ถ้าเรายิ่งขีดวงไว้โดยรอบมากเท่าไหร่  เราจะหมดโอกาสเรียนรู้ และขาดประสบการณ์ที่สำคัญและจำเป็นไปมากทีเดียว    หลายๆคนอาจจะสะดวกใจกว่าที่จะมีธรรมาจารย์เพียงคนเดียว  เพราะแนวทางของท่านได้ตรงกับจริต ตรงกับแนวทางของเรามากที่สุดแล้ว   จึงไม่จำเป็น ที่เราจะต้องมีอาจารย์เพิ่มอีก   เพราะอาจารย์ที่เราเคารพได้สร้างแรงบันดาลใจในการเดินไปบนหนทางแห่งการภาวนานี้มากมายอยู่แล้ว  แต่สุดท้ายและท้ายที่สุด  เมื่อเราเดินทางไปสักระยะหนึ่ง  เราก็ต้องยอมรับความจริงว่า  แม้แต่อาจารย์  เราก็ไม่อาจยึดไว้ได้เช่นกัน

 ในความคิดเห็นส่วนตน เราอาจจะมีเส้นทางการภาวนาของเราเอง มีอาจารย์ของตนเองที่เคารพนับถือ และเป็นแรงบันดาลใจอยู่   แต่เราก็สามารถเรียนรู้จากอาจารย์หลายๆท่านได้     และควรเป็นไปด้วยความเคารพ     เราไม่ควรตัดสิน หรือดูถูก สายการปฎิบัติอื่นๆ  เพราะแต่ละสายการปฎิบัติ ย่อมมีจุดเด่นและเป็นที่ตรงใจ ตรงกับจริตของคนอีกหลายๆคน  เพราะว่าแม้เสันทางแห่งการภาวนาอาจจะมีหลายเส้นทาง หลายรูปแบบ หลายวิธีการ  แต่จุดหมายปลายทางคือสิ่งเดียวกัน 

จุดหมายปลายทางนั้นก็คือ  การปล่อยวาง และการเลิกยึดมั่นถือมั่นในสิ่งทั้งหลาย   แม้แต่ในเรื่องของครูบาอาจารย์ด้วย  

 สุดท้ายเราต้องปล่อยวางทุกสิ่งทุกอย่างลง  แม้แต่เร ื่องของสายการปฎิบัติ  และต้องเรียนรู้ที่จะก้าวเดินไปด้วยตัวเอง  ดังที่พระพุทธเจ้ากล่าวสอนไว้ว่า  พระองค์เป็นเพียงผู้บอกทางเท่านั้น   แต่เราทั้งหลายนั้นต้องเดินไปเอง   และท้ายที่สุดเแล้วเราต้องพึ่งตนเอง  “ตนนั่นแหละเป็นที่พึ่งแห่งตน”  พระพุทธองค์กล่าวสอนเช่นนั้น

 

ภายหลังการภาวนาครั้งล่าสุดกับหลวงพี่พิทยาเมื่อปลายเดือนเมษายน พอเข้าสู่เดือนพฤษภาคม  บททดสอบก็ปรากฏ

 ตลอดหนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมา  เหตุการณ์บ้านเมืองและความรุนแรงที่เกิดขึ้น  ได้กลายเป็นบททดสอบบทใหญ่และหนักหาสาหัสสำหรับผู้ภาวนาทั้งหลาย  รวมทั้งข้าพเจ้าด้วย มันได้ทดสอบว่าเราจะวางใจอย่างไรที่จะไม่ทุกข์อย่างแสนสาหัส และไม่ถูกลากจูงไปกับอารมณ์โกรธ เกลียด พอใจ และไม่พอใจ   อารมณ์ที่เกิดจากโลภะ  โทสะ โมหะทั้งหลาย  

เราไม่อาจจะปฎิเสธได้ถึงความทุกข์  จากความสูญเสียที่เกิดกับคนไทยด้วยกัน  ความตาย  ความรุนแรง   ใจของเราต่างรับรู้ รับฟัง จากข่าวสาร จากทีวี จากสังคมออนไลน์ทั้งหลายทั้งปวง 

หลายคนจิตตก และโกรธแค้น  ข้าพเจ้าก็เช่นกัน  ข้าพเจ้าเสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น  มันกระทบใจอย่างแรงต่อทุกภาพทุกเหตุการณ์นั้น  แต่น่าแปลกใจที่ข้าพเจ้าไม่ว้าวุ่นใจอย่างแต่ก่อน  มันกระทบแต่ไม่กระเทือนมากและไม่ขยายวงกว้างออกไปมากนัก  มันได้หยุดลงในขอบเขตที่จะหยุดได้ และไม่ทำให้เกิดความร้อนใจ จนต้องแสดงความโกรธความเกลียด ความไม่พอใจ  ออกมาด้วยวิธีการต่างๆ

ข้าพเจ้าได้สำรวจตรวจสอบตนเองว่า ข้าพเจ้าอยู่ฝ่ายไหน และเกลียดชังใครหรือไม่  แน่นอนข้าพเจ้าไม่พอใจรัฐบาลที่ทำร้ายประชาชน (แม้บางส่วนจะมีอาวุธ)  และข้าพเจ้าก็ไม่พอใจผู้ประท้วงที่เผาบ้านเผาเมืองจนเสียหายขนาดนั้น  ข้าพเจ้าอนาถใจในความตายของทหาร  ของชาวบ้านที่บริสุทธิืและโดนลูกหลง และโมโหใครก็ตามที่ใช้ความรุนแรง  แม้แต่ในวัด 

ข้าพเจ้าน่าจะเลือกข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง  แต่ข้าพเจ้าไม่อาจจะเลือกได้  เพราะในแต่ละฝ่ายนั้นต่างมีเหตุและปัจจัย ที่จะมาก่อเกิดและสร้างเงื่อนไขต่อกัน  จนเกิดเป็นความรุนแรงดังกล่าวขึ้น

   ด้วยเหตุแห่งความโกรธ ด้วยความไม่รู้  และไม่รู้จักรับฟังกันอย่างลึกซึ้ง  จึงก่อเกิดความไม่เข้าใจและไม่ยอมให้อภัยแก่กัน อย่างแท้จริง  บวกกับการยึดติดในความคิดแบบทวินิยมอย่างสุดขั้วคือเหตุแห่งเรื่องราวทั้งหมด 

เพราะความไม่รู้ ความยึดติด ความหลุ่มหลง  และการเห็นผิด ทุกสิ่งทุกอย่างจึงพังพินาศ และประเทศชาติก็เสียหาย   ข้าพเจ้ามองเห็นความเจ็บปวดของพลังบริสุทธิ์ที่มาชุมนุมและถูกทำร้าย  และบางส่วนก็ถูกฆ่าตาย มองเห็นความทุกข์ใจของนายกรัฐมนตรีที่ต้องถูกกล่าวหาว่าเป็นทรราช  และถูกหมายหัวและถูกแช่งชักหักกระดูกให้ตายทุกวี่ทุกวันจากผู้ประท้วง  แถมคิดหมายหัวจะฆ่านายกให้ตายด้วยเช่นกัน  สถานการณ์ได้บานปลายไปจนทั้งสองฝ่าย ต่างไม่เห็นคุณค่าในความเป็นมนุษย์ของกันและกันอีกต่อไปแล้ว  การคิดกำจัดอีกฝ่ายหนึ่งออกไปจึงเกิดขึ้น  นี่เป็นความคิดที่รุนแรงและอันตรายมากทีเดียว 

 

ในช่วงเวลาที่เจ็บปวดและสูญเสีย ข้าพเจ้าพบว่าตนเอง หลุดออกมาจากความทุกข์ได้หลายครั้ง  อย่างน้อยข้าพเจ้าก็มีใจที่สงบพอและไม่หวั่นไหว และไม่คิดเติมเชื้อไฟให้ตนเอง  ขอบคุณบทกวีของหลวงปู่ติชที่เคยอ่าน บทกวีที่ชื่อว่า  "โปรดเรียกฉันด้วยนามอันแท้จริง " ได้ช่วยเตือนสติข้าพเจ้า และทำให้ข้าพเจ้าเข้าใจอย่างลึกซึ้งถึงสิ่งที่เกิดขึ้น

ขอบคุณโอกาสและเหตุปัจจัยบางอย่างที่ทำให้้หลวงพี่พิทยามาที่นี่อีกครั้ง มาในช่วงเวลาที่ข้าพเจ้ากำลังจิตตกและหวั่นไหว กับเรื่องราวในชีวิตส่วนตัวและหน้าที่การงาน และการภาวนาเมื่อปลายเดือนเมษายนที่ผ่านมานั้น ได้สร้างความแข็งแกร่งแก่จิตใจในการยอมรับสิ่งที่มากระทบอย่างเข้าใจ

เพราะคำสอนของหลวงพี่ที่กล่าวก่อนขึ้นเครื่องบินกลับไปลงที่เชียงใหม่ก็คือ “ข้างนอกมันไม่ได้ยุ่งอะไร  มีแต่ใจเราเท่านั้นแหละที่ยุ่ง” 

ในช่วงเวลาอันมืดมนของประเทศขณะนี้  ท่ามกลางความทุกข์ความเศร้า ความสูญเสีย  นอกจากการช่วยเหลือเกื้อกูลกันในการฟื้นฟูบูรณะประเทศแล้ว  สุดท้ายที่เราจะทำได้อีกอย่าง  ก็คือขอให้เราทั้งหลายกลับมาที่ตัวเอง มาจบที่ใจเราเอง  ไม่จุดไฟแห่งความทุกข์ความเศร้าเพิ่มขึ้น  และไม่ไปเติมเชื้อไฟให้กับคนอื่น ไม่เพิ่มความทุกข์ใจให้กับคนอื่นๆ รอบข้าง  เพียงแค่นี้ก็ช่วยอะไรๆ  ได้มากทีเดียว   เพราะสันติภาพและความสงบร่มเย็นนั้น เริ่มต้นได้ในตัวเราก่อน  และสามารถทำได้เลยที่นี่และเดี๋ยวนี้ . 

Moment of peace is Here and Now .

 

 

คำสำคัญ (Tags): #peace
หมายเลขบันทึก: 360751เขียนเมื่อ 23 พฤษภาคม 2010 00:03 น. ()แก้ไขเมื่อ 6 กันยายน 2013 22:57 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (1)
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท