หมอเจ๊ คนสวย แซ่เฮ
พ.ญ. ศิริรัตน์ เอกศิลป์ สุวันทโรจน์

นักเรียนรุ่นเสาร์ ๕ (๒๒) : อาถรรพ์แลข ๖


เดี๋ยวนี้(สมัยใหม่) ถ้าไม่มีการไกล่เกลี่ยเหมือนขาดอะไรไปอย่างหนึ่ง ก่อนทะเลาะกันแล้วส่งศาลจะมีการไกล่เกลี่ยก่อน

ไม่น่าเชื่อว่าเรียนผ่านไปเดือนกว่าแล้ว  เมื่อมีเวลาเหลือไว้ทำอะไรที่ชอบไม่มากท่านรู้สึกอย่างฉันมั๊ยค่ะว่าเวลาผ่านไปเร็วจริงๆ

วันนี้ขอมาเล่าเรื่องราวที่ได้เรียนในหลักสูตร สสสส.๒ เมื่อวันที่ ๒๙ เมษายน ๒๕๕๓ ค่ะ

คราวนี้เป็นเรื่องราวที่เปิดโลกให้อีกแล้ว ผู้ที่มาแบ่งปันคือ อาจารย์นพพร โพธิรังสิยากรค่ะ

อาจารย์เป็นนักกฏหมายที่ทำหน้าที่ด้านวิชาการที่มีประสบการณ์เรื่องการไกล่เกลี่ย การอบรมการไกล่เกลี่ย และเป็นหนึ่งในผู้มีประสบการณ์ร่วมทำหลักสูตรของสถาบันพระปกเกล้า

บรรยากาศ 

บรรยากาศของผู้เรียน

เบื้องต้นของการทำความเข้าใจเป็นเรื่องความหมายคำเหมือนคนอื่นๆในชั่วโมงอื่นๆ  คำแรกดูเหมือนแต่เดิมจะเป็นเรื่องของการต่อรอง ถูกแล้วคำที่กำลังจะกล่าวถึงคือคำว่า “เจรจา” ค่ะ

ที่ต้องทำความเข้าใจคำนี้ก็ด้วยความหมายของมันในมุมที่อาจารย์ใช้ คือ การเจรจาไกล่เกลี่ยที่ลงมือทำโดยมีบุคคลที่ ๓ ค่ะ

คู่กรณีไกล่เกลี่ยได้อะไร ในธรรมชาติที่ความเป็นคนจำเป็นต้องมีกระบวนการคิดบางเรื่อง ความคุ้นกับแนวคิดของการเจรจา เหล่านี้คือประเด็นที่อาจารย์มาแบ่งปันเพื่อช่วยให้เกิดความเข้าใจ

ผู้สอน

บรรยากาศของผู้สอน

แล้วอาจารย์ก็ยกตัวอย่างเหตุการณ์ที่สรุป ว่าแม้จะมีปัญหาในมุมกฏหมายอยู่ การเจรจาก็มีได้ เหตุการณ์ที่รุนแรงสงบลงได้ด้วยการเจรจา เช่น เรื่องอาเจะห์ มินดาเนา ไอร์แลนเหนือที่ล้วนเป็นกรณีอาญาก่อนเจรจาต่างจบลงได้ด้วยการเจรจา อาฟริกาใต้ซึ่งมีระดับความรุนแรงกว่าเป็นล้านเท่าก็ยังเจรจาได้  ในประวัติศาสตร์เมื่ออิสราเอลกับอียิปต์ทะเลาะกันมาเป็นเวลากว่า ๓,๐๐๐ ปี (๑,๕๐๐ ปีก่อนค.ศ.) ก็ยังตกลงกันได้

อาจารย์ชวนคุยเรื่องกรณีคนทำผิดขึ้นศาลดีไหม แล้วแบ่งปันว่าถ้าจะทำให้ดูกระแสหลัก และ ADR ( Alternative Dispute Resolution) ก็คือว่าการไปศาลมีกระบวนการที่นำอดีตมาคุยเป็นการทำให้เกิดความโกรธตามมา ด้วยการแก้แค้นแล้วเกิดศัตรู ส่วน ADR เป็นการคุยเรื่องอนาคตเพื่อหาทางแก้ไขจะนำมาซึ่งความเป็นมิตร จะลือกอะไร

แล้วอาจาร์ก็ตั้งคำถามให้ช่วยกันตอบ “กฏหมายเป็นธรรมแค่ไหน” ปรากฎว่ามีคนตอบว่า ๕% บ้าง ๑๐% บ้าง ๓๐% บ้าง และเมื่ออาจารย์เฉลยคำตอบก็ทำให้น่าแปลกใจมากๆ

อาจารย์เล่าให้ฟังว่าข้อมูลทางวิชาการที่ศึกษาในสหรัฐพบว่ากฎหมายเป็นธรรมราวๆ ๖ %  ทั้งกฎหมายทันสมัยและกฎหมายล้าสมัย ที่เป็น common law ที่ใช้มานาน (อาจารย์เล่าว่ากฎหมายที่ใช้เกิน ๑๐ ปีถือว่าล้าสมัยเพราะว่ากฎหมายมีขึ้นเพื่อตอบสนองสังคม)

อาจารย์บอกว่ากฎหมายเป็นการเอาชนะทางการเมือง ฉันรู้สึกแปลกใจ มีเรื่องอย่างนี้ด้วยอ่ะ (เรื่องนี้อาจารย์ใช้คำว่า “filibuster” ค่ะ)

แล้วอาจารย์ก็เล่าต่อว่าการศึกษาในสิงคโปร์ก็พบว่ากฎหมายเป็นธรรม ๖%  ทั้งๆที่สิงคโปร์ถือว่ากฎหมายต้องใช้กับทุกคนโดยไม่เลือกปฏิบัติ ( non-discriminate)

มีประเด็นของการเลือกปฏิบัติ (affirmative action) ที่อาจารย์ยกมาชวนเรียนเพื่อทำความเข้าใจมุมต่างของคนใช้กฏหมายกับคนที่อยากให้ใช้กฏหมาย

คำถามที่ยกมาเรียนคือ “ถ้าคนไม่เท่ากัน ใช้แนวปฏิบัติต่างกันได้ไหม” โดยยกกรณี ปอ.ม.๓๓๕ ลักทรัพย์กลางคืน ลักทรัพย์ราชการ มาให้เรียน ระหว่างการตัดสินโทษจำคุก ๓ ปี รับสารภาพลงโทษ ๑ ปีทั่วๆไปกับกรณีหญิงแม่ลูกอ่อนอุ้มลูกลักขนุนในสถานที่ราชการแล้วต้องโทษจำ คุก ๖ เดือน ซึ่งสังคมวิจารณ์ในเรื่องความเป็นธรรม

มีเรื่องประวัติศาสตร์ของกฏหมายไทยที่อาจารย์เล่าให้ฟัง ฟังแล้วไม่น่าเชื่อแต่อาจารย์ยืนยันว่าเป็นเรื่องจริง หาอ้างอิงได้เพราะมีบันทึกไว้จริง เป็นเรื่องของการชำระกฎหมายไว้ผิดพลาด ก่อนจะเล่าเรื่องนี้ขอเล่าเรื่องของการชำระกฎหมายก่อน

อาจารย์เล่าว่าสมัยก่อนเมื่อกฎหมายตราขึ้นแล้วนอกจากที่ศาลแล้ว จะมีการเก็บไว้ที่หอหลวงและข้างพระที่นั่ง เวลา ชำระกฎหมาย จะใช้อาลักษณ์ ๖ คน นักกฎหมาย ๖ คน 

หลักฐานที่บ่งบอกว่ากฏหมายที่ตราไว้มีการแยกเก็บอย่างไร

ในการชำระกฏหมายพระมหากษัตริย์มีส่วนร่วม ด้วยโดยมีกำหนดพระราชอำนาจในการร่วมวินิจฉัยกรณีที่ผู้พิพากษาเห็นว่ากฎหมาย ไม่เป็นธรรม ซึ่งต่อมาในสมัย ร.๖ กระบวนการนี้ได้ยกเลิกพระราชอำนาจนี้ไปลดเหลือไว้แค่ขอเมตตาธรรม

ชวนกลับมาที่เรื่องเล่าค่ะ ตอนเสียกรุงกฎหมายที่เก็บไว้ถูกเผาเรียบ เมื่อมีการรวบรวมกฎหมายขึ้นมา ก็มีกฎหมายฉบับหนึ่งชำระแล้วบันทึกไว้ผิด แทนที่จะเขียนว่า “หญิงมีชู้ ชายฟ้องหย่าได้” กลับเขียนไว้ว่า “หญิงมีชู้ หญิงฟ้องหย่าได้”  ซึ่งมีความหมายว่า หญิงมีชู้ หญิงไม่ผิด หญิงฟ้องหย่าได้ แล้วก็มีผู้รู้กฎหมายนำไปใช้สร้างฐานะตัวเองให้ร่ำรวยด้วยการเป็นชู้กับเมียเศรษฐีเพื่อฮุบสมบัติ

เรื่องนี้เกิดขึ้นในสมัย ร.๖  ฉันไม่แน่ใจว่าเป็นเรื่องเล่าในหมู่นักกฏหมายเพื่อทำความเข้าใจที่มาของ “กฏหมายตราสามดวง” หรือเปล่า จำชื่อตัวผู้คนในเรื่องราวได้ว่ามี ๓ คน หนึ่งหญิงสองชาย หญิงชื่อ อำแดงป้อม ชายชื่อ นายบุญศรี และหลวงราชาอรรถ แต่ไม่ได้จำว่าทั้ง ๓ คนเขานัวเนียพัวพันกันอย่างไรแล้วค่ะ ขอโทษคนที่เข้ามาอ่านที่ทำให้อยากรู้แล้วดึงเรื่องจากไปเฉยเลยด้วยค่ะใคร อยากรู้ก็ให้ชวนเพื่อนที่เรียนกฏหมายเล่าให้ฟังละกันหรืออ่านเอาเองจาก เรื่องที่ลิงค์ไว้ให้ค่ะ 

เรื่องต่อมาที่อาจารย์แบ่งปันก็เป็นเรื่อง ของคดีสันติค่ะ ปี ๒๔๕๗ คือปีแรกที่เกิดการไกล่เกลี่ยคดีสันติขึ้น มีกฏหมายให้ใช้คือม.๑๐๘  เป็นตัวอย่างที่บอกว่าคดีความมีการเจรจาโดยมีบุคคลที่ ๓ ก่อนขึ้นศาลมีได้ และเกิดขึ้นมาตั้งแต่สมัย ร.๖ โดยมีศาลเป็นแค่ที่พึ่งสุดท้าย

อาจารย์เล่าว่า เดี๋ยวนี้(สมัยใหม่) ถ้าไม่มีการไกล่เกลี่ยเหมือนขาดอะไรไปอย่างหนึ่ง ก่อนทะเลาะกันแล้วส่งศาลจะมีการไกล่เกลี่ยก่อน 

รับรู้กันไว้นะคะ เผื่อว่าใครเกิดปัญหาจะได้เข้าใจการทำงานของศาล สนใจใช้บริการให้เข้าไปศึกษาดูได้ที่นี่ค่ะ

หมายเลขบันทึก: 360722เขียนเมื่อ 22 พฤษภาคม 2010 21:57 น. ()แก้ไขเมื่อ 6 กันยายน 2013 22:57 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท