ความในใจของคนไม่ค่อยพูด แต่ชอบเขียน..ได้เยอะๆ


...ถ้าสื่อสารจากใจถึงใจกันได้ ย่อมเข้าใจกันมากขึ้น..



            ช่วงหน้าร้อน ต้น พ.ค.2548 เมื่อคุณยาย Bio21 มีโอกาสได้มาทำธุระที่ขอนแก่นหลายวัน เลยถือโอกาสแวะไปเยี่ยมเยือน เพื่อน Bio21 ที่ทำงานอยู่ใน มข. แวะไปที่ตึก Bio ไปเยี่ยมคารวะอาจารย์ที่เคยสอน ไปเยี่ยมห้อง Wetlab  พูดคุยทักทายกับพี่ประยุทธิ์, น้องอ้อ จันทิดา รวมถึง อ.เล็ก แล้วคุณยายก็เขียน จม.ส่งมาให้อ่าน เมื่อ 24 พ.ค.2548

            "..... ได้เจอกับเพื่อนๆ นั่งคุยถามถึงสารทุกข์สุขดิบกันต่อหน้า นั่งหัวเราะด้วยกัน รู้สึกเป็นกันเอง  อบอุ่นดี ทุกคนคือเพื่อนกัน ตำแหน่งต่างๆ ถูกทิ้งไว้ที่ทำงาน  พูดคุยแล้ว รู้สึกสบายดี  ตามประสาพวกอายุเลขสามนำหน้า แต่พวกเราหยุดอายุไว้ที่ 25 กันหมดแล้วแหละ..."


            ... สายตาไล่อ่านไปตามตัวอักษร อ่านแล้ว อมยิ้ม นึกถึงเพื่อนๆ และบรรยากาศใน มข.ตามไปด้วยแล้ว แหม...ได้แค่นั่งอ่าน นั่งเขียนผ่านเวบเท่านั้นเอง.... แล้วคุณยายก็เขียนเล่าถึงเรื่องที่เธอคุยกับ อ.นฤมล

            "...... ทำไมทุกคนเห็นหน้าเรามักจะถามถึงบอนว่า เป็นไงบ้าง สบายดีไหม อ.เล็กบอกว่า บอนไม่ค่อยพูด แต่ชอบเขียน เวลาเขียนก็เขียนได้เยอะ....."

                คนที่ไม่ค่อยพูด ทำให้หลายคนไม่ค่อยรู้จัก หรือรู้สึกใกล้ชิดมากนัก เพราะเห็นนิ่งๆเงียบๆ ก็เลยไม่รู้ว่าคิดยังไง หรือไม่พอใจ, รังเกียจอะไรรึเปล่า แต่กับเพื่อนที่รู้สึกถูกชะตา มองหน้าแล้วเข้าใจกัน เข้ามาเป็นเพื่อนกัน เพราะมีอะไรหลายอย่างที่ไปด้วยกันได้ เช่น ความคิด วิถีชีวิตที่ใกล้เคียงกัน นิสัยแนวเดียวกัน

            เมื่อต้องอยู่ในหมู่คน บางคนไม่ค่อยพูด ไม่พูดอะไรเลย แต่เมื่ออยู่กับเพื่อนบางคน กลับพูดมากไม่ต่างกับคนทั่วไป หรืออาจจะพูดมากกว่าคนทั่วไปซะอีก

            บางที เมื่อเอ่ยปากพูดออกมาเล่าให้ใครสักคนฟัง เมื่อมีคนรู้แล้วกลับเป็นผลเสียต่อตัวเอง ดูท่ามันจะยุ่งยากมากขึ้น ..บางเรื่อง คนฟังๆแล้ว รู้สึกว่า เครียดตามไปด้วย คิดว่าเป็นเรื่องหนักหนาสาหัส เรื่องใหญ่ ทั้งๆที่เจ้าของเรื่อง ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร เพราะเจอปัญหาเหล่านั้น จนเคยชิน และแก้ปัญหาได้แทบทุกครั้ง   ถ้าเป็นแบบนี้แล้ว ไม่พูดเลยจะดีกว่า  บางเรื่อง ถ้าพูดออกมาแล้ว ยิ่งไม่สบายใจ บางเรื่องพูดออกมาแล้ว เมื่อเรื่องแพร่กระจายออกไป พูดกันแบบปากต่อปาก บางที เมื่อพูดด้วยอารมณฺที่หงุดหงิด ฉุนเฉียว พูดออกไปแล้ว คนฟังตีความหมายไปอีกอย่างหนึ่ง เรื่องเลยดูยุ่งๆกว่าเดิม

            ในขณะที่เป็นวัยรุ่นวัยแรง ความรอบคอบ เหตุผล ความยับยั้งชั่งใจ ยังมีน้อย และยิ่งมีทั้งคนรักคนชัง การเลือกที่จะไม่พูด ดูจะเกิดปัญหาน้อยกว่าการพูดออกมา  แต่ในบางครั้งก้อยากจะบอกอะไรออกไปให้คนอื่นรับรู้บ้าง ในเวลาที่อยากจะบอก เวลาที่คิดอะไรออก ก็มักเป็นช่วงเวลาที่กำลังอยู่คนเดียว หรือ อยู่กับเพื่อนคนอื่น  ไม่ใช่คนที่อยากจะบอก  ...พออยู่กับคนที่อยากจะพูดอะไรด้วย ก็กลับนึกไม่ออก กลับไปคุยเรื่องอื่น ที่พึ่งพบเจอในตอนนั้น

            ....จึงต้องเขียนไว้กันลืม  เมื่อเขียนออกมาแล้ว ถ้าจะพูด ก็พูดในเรื่องที่เขียนออกมา เมื่อไม่ได้เจอกัน ไม่มีโอกาสพูดซักที  ก็เอาสิ่งที่เขียนไว้ส่งให้อ่านซะเลย

            หากใครเป็นคนที่พูดเก่ง สมองไว ก็จะพูดออกมาได้ทันทีที่เจอหน้าคนที่อยากจะพูดด้วย  แต่คนเราแตกต่างกัน บางคนมีโอกาสได้พูดในสิ่งที่อยากจะพูด ซึ่งต่างกับอีกหลายคน ที่ตั้งใจจะพูดอะไรบางอย่าง แต่มีเพื่อนหรือ คนอื่นที่ไม่เกี่ยวข้องอยู่ใกล้ๆ เลยไม่สะดวกที่จะพูด  บางเวลามีงานยุ่งๆ ก็อดพูดอีก  บางครั้งก็มัวแต่รอเวลา ให้อีกฝ่าย ว่าง ก็ไม่ว่างตรงกันอีก ไม่ได้พูดออกมาอีก

            บางที อยากจะพูดออกมา แต่เวลาผ่านไปสักระยะ พอได้คิด แล้วเกิดความเกรงใจขึ้นมา พูดได้ไม่เต็มที่อีกล่ะ

            สิ่งสำคัญคือ การได้บอกสิ่งที่อยากบอก อยากให้ได้รู้ หลายครั้งที่เสียงพูดที่อีกฝ่ายได้ยิน ทำให้คนฟังเครียด คิดว่า น้ำเสียงที่ใส่อารมณ์พูดออกมานั้น คนพูดกำลังโกรธ ไม่พอใจ ทั้งๆที่ความจริง เป็นรูปแบบการพูดเร็วของคนๆนั้น ในเวลาที่สมองกำลังแล่น คิดอะไรได้เรื่อยๆ เลยพูดออกมาเร็วๆ จนดูเหมือนกำลังโกรธ

            ....มีเหตุผลข้ออ้างได้ร้อยแปด แต่การได้บอกสิ่งที่อยากจะบอกน่ะ สำคัญที่สุด...

            .... ถ้าอยู่ในอิริยาบทสบายๆ ในสถานที่ท่องเที่ยว พักผ่อน หรือ สถานที่ที่คุ้นเคย กับคนคุ้นเคย บางที คนไม่พูด ก็กลายเป็นคนพูดเก่งได้เหมือนกัน

            แต่สำหรับเพื่อนบางคน ที่พูดน้อยพอๆกัน แต่กลับเข้าใจกัน พอๆกับคนที่พูดมาก คุยเก่งๆ  เพราะนอกจากคำพูดที่เอ่ยจากปากไม่กี่คำแล้ว ภาษากายที่แสดงออกมา ทั้งสีหน้า แววตา ท่าทาง เป็นสิ่งที่แสดงความหมาย อารมณ์ ความรู้สึกได้เช่นกัน                

            หลายคน สื่อสารทางภาษากายได้เก่งกว่าคำพูด  จึงได้เห็นหลายคนที่พูดคุยกันไม่กี่คำ แต่กลับเข้าใจกันเหมือนคุยกันเป็นชั่วโมง

            ...แม้แต่คนพิการ คนหูหนวก คนใบ้ ก็ยังส่งภาษา ท่าทาง สื่อสารกันได้ โดยไม่ได้ใช้ภาษาพูด

            ...ถ้าสื่อสารจากใจถึงใจกันได้ ย่อมเข้าใจกันมากขึ้น...

คำสำคัญ (Tags): #biokku#การสื่อสาร
หมายเลขบันทึก: 357360เขียนเมื่อ 10 พฤษภาคม 2010 12:11 น. ()แก้ไขเมื่อ 26 พฤษภาคม 2012 13:00 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท