จากพุทธพจน์ดังกล่าว แสดงว่าอริยมรรคมีองค์ ๘ มี ๒ ระดับ คือในระดับต้น อันเป็นเหตุให้ยังเวียนว่ายในวัฏจักรอยู่ เช่น และระดับที่ มีการนำออกซึ่ง ราคะ โทสะ โมหะ อันเป็นเหตุให้พ้นจากวัฏฏะ เช่น การสัมมาทิฏฐิ ( ความรู้ในทุกข์ ในเหตุให้เกิดทุกข์ ความรู้ในความดับของทุกข์ ความรู้ในทางดำเนินให้ถึงความดับของทุกข์ -- มหา.ที.๑๐/๓๔๘/๒๙๙) มีสัมมาทิฏฐิระดับต้น และสัมมาทิฏฐิในระดับที่สูงขึ้น พุทธพจน์นี้ แยกระดับของสัมมาทิฏฐิให้เราเห็นได้อย่างชัดเจนเลยค่ะ
ภิกษุ ท. ! สัมมาทิฏฐิ เป็นอย่างไรเล่า ? ภิกษุ ท.! เรากล่าวแม้สัมมาทิฏฐิว่ามีอยู่โดยสองส่วน คือ สัมมาทิฏฐิ ที่ยังเป็นไปด้วยกับอาสวะ (สาสว) เป็นส่วนแห่งบุญ (ปุญฺญภาคิย) มีอุปธิเป็นวิบาก (อุปธิเวปกฺก) ก็มีอยุ่, สัมมาทิฏฐิ อันเป็นอริยะ (อริย) ไม่มีอาสวะ (อนาสวะ) เป็นโลกุตตระ (โลกุตฺตร) เป็นองค์แห่งมรรค (มคฺคงฺค) ก็มีอยู่.
ภิกษุ ท. ! สัมมาทิฏฐิ ที่ยังเป็นไปกับด้วยอาสวะ เป็นส่วนแห่งบุญ มีอุปธิเป็นวิบาก นั้นเป็นอย่างไรเล่า? คือสัมมาทิฏฐิที่ว่า ทานที่ให้แล้ว มี(ผล), ยัญที่บุชาแล้ว มี (ผล), การบูชาที่บุชาแล้ว มี (ผล), ผลวิบากแห่งกรรมที่สัตว์ทำดีทำชั่ว มี, โลกนี้ มี, โลกอื่น มี, มารดา มี, บิดา มี, โอปปปติกะสัตว์ มี, สมณพราหมณ์ที่ปฏิบัติแล้วโดยชอบ ถึงกับกระทำให้แจ้งโลกนี้และโลกอื่น ด้วยปัญญาโดยชอบเอง และประกาศให้ผู้อื่นรู้ ก็มีอยู่ ดังนี้ ภิกษุ ท.! นี้คือ สัมมาทิฏฐิ ที่ยังเป็นไปกับด้วยอาสวะ เป็นส่วนแห่งบุญ มีอุปธิเป็นวิบาก.
ภิกษุ ท. ! สัมมาทิฏฐิ อันเป็นอริยะ ไม่มีอาสวะ เป็นโลกุตตระ เป็นองค์แห่งมรรค นั้นเป็นอย่างไรเล่า? คือสัมมาทิฏฐิที่ได้แก่ ปัญญา ปัญญินทรีย์ ปัญญาพละ ธัมมวิจยสัมโพชฌงค์ และสัมมาทิฏฐิที่เป็นองค์แห่งมรรค ของผู้มีอริยจิต ของผู้มีอนาสวจิต ของผู้เป็นอริยมัคคสมังคี ผู้เจริญอยู่ซึ่งอริยมรรค. ภิกษุ ท. ! นี้คือสัมมาทิฏฐิ อันเป็นอริยะ ไม่มีอาสวะ เป็นโลกุตรระ เป็นองค์แห่งมรรค.
อุปริ ม. ๑๔/๑๘//๒๕๖ - ๒๕๗
(พุทธทาสภิกขุ อริยสัจจากพระโอษฐ์ หน้า ๘๗๓ ๘๗๔)
แสดงว่าการทำบุญโดยหวังผลตอบแทน ก็เป็นสัมมาทิฏฐิ แต่เป็นสัมมาทิฏฐิที่ทำให้ยังต้องเวียนว่ายไปรับผลแห่งบุญนั้น ส่วนการทำบุญโดยไม่หวังผลตอบแทน ทำเพื่อฝึกการละ เป็นสัมมาทิฏฐิที่เป็นไปเพื่อการละวางตัวตน นำไปสู่การหลุดพ้น แม้ชื่อจะเป็นสัมมาทิฏฐิเหมือนกัน แต่ระดับของสัมมาทิฏฐินั้นกลับต่างกันไปเลยค่ะ (โลกิยะ และโลกุตตระ)
ไม่มีความเห็น