วันที่ ๑๙ มี.ค. ๕๓ ผมเข้าร่วมประชุมสามัญประจำปี ของ ๒ มูลนิธิ คือ มสช. และ มสส. โดยผมบอกตัวเองว่า ทั้ง ๒ มูลนิธิทำงานต่างจาก “มูลนิธิ” ในความหมายที่คนทั่วไปเข้าใจ ว่าทำงานสังคมสงเคราะห์ หรือทำงานช่วยเหลือผู้ยากไร้
ทั้ง ๒ มูลนิธิทำงานที่ยากกว่านั้น และสำคัญกว่านั้น คืองานช่วยเหลือสังคมไทย หรือรับใช้สังคม ให้เป็นสังคมอุดมปัญญา ด้วยการทำงานเชิงสร้างปัญญาให้แก่สังคมไทย โดยไม่ได้เน้นทำงานด้วยเงินบริจาค (donation) แต่เน้นทำงานด้วยเงินทุนวิจัย (grants) เป็นการทำงานโดยรายได้ที่ได้มาจากการทำงาน ไม่ใช่รายได้จากการบริจาค ไม่ไปขอเงินใคร แต่เอาฝีมือความสามารถในการทำงานไปเสนอโครงการรับทุนสนับสนุน ถ้าผลงานดี ต่อไปก็ได้ทุนอีกหรือได้ทุนเพิ่มขึ้น
ทั้ง ๒ มูลนิธิมีบุญคุณต่อผมมาก ทำให้ผมได้ความรู้เรื่องวิธีทำงานให้แก่สังคมอย่างอิสระ โดยใช้ฝีมือหรือความสามารถในการผลิตผลงานในการหารายได้มาทำงาน ซึ่งต่างจากการทำงานราชการที่ไม่อิสระ เพราะมีกฎระเบียบมาก และมีการเมืองเรื่องการแก่งแย่งผลประโยชน์ส่วนตัว ส่วนหน่วยงาน มาก การทำงานของมูลนิธิทั้ง ๒ จึงเป็นการทำงานเพื่อสังคมโดยการหารายได้มาทำงาน ลักษณะของหน่วยงานแบบนี้เรียกว่า SE – Social Enterprise ซึ่งหมายถึงการทำงานหารายได้โดยมีเป้าหมายหลักที่ประโยชน์ต่อสังคม หรือเพื่อเปลี่ยนแปลงสังคมไปในทางที่ดีขึ้น เป็นหน่วยงานสาธารณะที่ไม่ใช่หน่วยราชการ ที่ทำงานโดยมีคุณค่าหรือธงนำคือจิตสาธารณะ หรือความมุ่งหมายที่จะทำประโยชน์สาธารณะ
จากประสบการณ์นี้ เราจึงตั้งมูลนิธิสถาบันส่งเสริมการจัดการความรู้เพื่อสังคมขึ้นทำงาน SE ในอีกบริบทหนึ่ง คือเพื่อเผยแพร่เครื่องมือเพื่อการเป็นสังคมอุดมปัญญา หรือสังคมเรียนรู้
และผมมีโอกาสไปรับใช้มูลนิธิสยามกัมมาจล ทำงานส่งเสริมการพัฒนาเยาวชน
ในการประชุม มีการพูดกันเรื่องการสื่อสารสาธารณะ ว่าควรมีการพัฒนาสื่อมวลชนให้มีความรู้เรื่องเนื้อหาสาระ (content) ที่สื่อควรเรียนรู้เพื่อการทำหน้าที่สื่อที่ดี แต่จะมีปัญหาที่นักข่าวทั้งหลายจะมีจริตการทำงานแบบไม่ต้องการลงลึก แต่ต้องการความรวดเร็ว “ไม่ตกข่าว” มากกว่า
มีการพูดกันเรื่อง การมีนโยบายด้านอุดมศึกษาของชาติ ให้มหาวิทยาลัยทำงานร่วมกับสังคมในพื้นที่จังหวัด เพื่อพัฒนาและขับเคลื่อนนโยบายสาธารณะของจังหวัด เป็นการเปิดศักราชใหม่ของการที่มหาวิทยาลัยทำหน้าที่ชี้นำสังคม
ปี ๒๕๕๓ มสส. จะมีงานหลัก ๓ ด้านคือ (๑) งานพัฒนาจิตวิญญาณ (๒) งานพัฒนาเด็กปฐมวัย (๓) งานพัฒนาครูเพื่อศิษย์
งานพัฒนาจิตวิญญาณในการทำงานหรือใช้การทำงานนั้นเองเป็นเครื่องมือพัฒนาจิตวิญญาณ
• มีการสร้างองค์ความรู้ให้แก่สังคมไทย ว่า “Soft KM” หรือ KM with spiritual reflection ทำให้เกิดการพัฒนาจิต
• เกิดเครือข่ายโรงพยาบาล จากที่เริ่มต้น ๕๐ แห่ง มีกิจกรรม ลปรร. งานประจำ อย่างสม่ำเสมอ เกิดการพัฒนาจิตใจ และเกิดการขยายตัวของการทำกิจกรรมนี้ บางแห่งมีผลเปลี่ยนรูปแบบการประชุม รพ. มหาราชนครเชียงใหม่ มีเจ้าหน้าถึง ๑,๐๐๐ คนที่ทำกิจกรรมนี้เป็นประจำ
• มีเครือข่ายครูที่เริ่มไว้ แต่ไม่ขยายตัวเอง
• กิจกรรมต่อไป (๑) ศึกษานิเทศก์ (๒) HRD course : KM with spiritual reflection (๓) เครือข่ายวิทยากร (๔) ประเมินผลกระทบที่เกิดขึ้นจากการจัดวงพัฒนาจิตจากงานประจำอย่างสม่ำเสมอ เพื่อเป็น reinforcement
งานพัฒนาเด็กปฐมวัย
• เริ่มด้วยงานวิชาการและนโยบาย โดยทำงานร่วมกับกรมอนามัย มี ศ. นพ. ประเวศ วะสี เป็นประธาน ต่อไปจะมีงานสร้างเครือข่าย
• กิจกรรม ๖ ด้าน ได้แก่ (๑) การสร้างความผูกพันในครอบครัว (attachment) จะมีการทำหนังสือเล่มแรก (Bookstart) ให้พ่อแม่อ่านหนังสือให้ลูกฟังแต่แรกเกิด เพื่อให้เกิด attachment ความผูกพันนี้จะเกิดได้ในช่วง ๓ ปีแรกของชีวิตเท่านั้น (๒) ไอโอดีน ต้องให้เพียงพอตั้งแต่แรกปฏิสนธิ (๓) ดนตรี เพื่อสร้าง creativity ต้องทำในช่วง ๖ ปีแรก (๔) การเล่น (๕) ศูนย์เด็กปฐมวัย (๖) –
งานพัฒนาครูเพื่อศิษย์
• ทำร่วมกับ สคส.
• ปีแรกใช้เงิน สสส. ทำ ๕ จังหวัด ใช้กลไก CA สร้าง CA 20 คนในแต่ละจังหวัด ให้จัดวง ลปรร. เองได้
• แนะนำให้ให้ reward โดยจัดอบรม content ที่ครูต้องการ เพื่อให้มีทักษะในการจัดการเรียนรู้ที่สนุกสนานและได้สาระที่ถูกต้องลึกซึ้งตามวัย รวมทั้งทักษะในการ inspire เด็ก
วิจารณ์ พานิช
๑๙ มี.ค. ๕๓
มุมหนึ่งของห้องประชุม
อีกมุมหนึ่ง
ทีมงานของมสส.
ไม่มีความเห็น