การไปอินเดียของอาตมาในครั้งนี้ถือเป็นเรื่อง Amazing เป็นเรื่องของกึ่งอายุพระพุทธศาสนา และมีเรื่องน่าตื่นเต้นหลายเรื่อง หากใช้สำนวนโวหารแบบโลก เพื่อความเข้าใจแบบง่ายๆ ซึ่งอาจสรุปได้ว่าการที่อาตมาเคยเดินทางไปประเทศอินเดีย เพื่อประกอบศาสนกิจจากหลายๆ ครั้งที่ผ่านมานับสืบเนื่องมาตั้งแต่ในอดีตนั้นได้มาแสดงผลรวมกันในครั้งนี้ก็ว่าได้ จึงได้ปรากฏผลดังกิจนิมนต์จากมหาโพธิสมาคมในอินเดีย ซึ่งได้ให้มีการจัดอบรมกรรมฐานอย่างเป็นรูปแบบ มีกลุ่มเป้าหมาย วัตถุประสงค์ที่ชัดเจน ที่จัดให้มีขึ้นที่ใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์นั้น (สังเวชนียสถานที่ตรัสรู้ของพระผู้มีพระภาคเจ้า) ซึ่งยังไม่เคยมีการจัดอย่างนี้มาก่อน ครั้งนี้จึงเป็นการจัดงานใหญ่ครั้งแรกของมหาโพธิสมาคมของอินเดีย (Maha Bodhi Society of India) มีพระในท้องถิ่นมาร่วมมากมาย ซึ่งในรัฐพิหารอินเดีย คาดว่า มีพระเหล่านี้อยู่หลายร้อยคน ฉพาะที่พุทธคยาคงจะมีไม่น้อยกว่า ๒๐๐ – ๓๐๐ คน พระเหล่านี้ทุกท่าน อาตมาเชื่อว่า ท่านคงอยากเป็นพระสงฆ์ที่ดี แม้ยังปฏิบัติไม่ค่อยถูกต้องตามพระธรรมวินัย แต่มีความปรารถนาเป็นพระสงฆ์ในพระพุทธศาสนา ซึ่งในเมื่อเขาอยากเป็นพระ อาตมาจึงมีคำถามที่ไม่ต้องการคำตอบว่า
“ทำไมเราไม่ช่วยให้เขาเป็นพระที่ดี ถูกต้อง ตามพระธรรมวินัยเล่า...”
เมื่อท่านเหล่านี้ไม่เข้าใจถึงคุณสมบัติฐานะของความเป็นพระสงฆ์ในพระพุทธศาสนา จึงไม่แปลกที่เราจะเห็นพระเหล่านี้ยืนหรือเดินถือขันหรือบาตร เพื่อขอปัจจัยไทยทานตามรายทางสู่พระศรีมหาโพธิ์ เพื่อรอรับทานจากชาวพุทธที่จาริกปพุทธคยา ซึ่งไม่ต่างไปจากในกาลสมัยของพระเจ้าอโสกมหาราชที่ต้องทำหน้าที่แยกพวกพราหมร์ที่แผลกปลอมเข้ามาบวชออกไปจากพระพุทธศาสนาในสมัยพุทธศตวรรษที่ ๓ สมัยนี้ก็ไม่ต่างไปจากสมัยนั้นที่มีคนเข้ามาบวช เพื่อหวังลาภสักการะจากพุทธศาสนาหรือจากอานิสงฆ์ของพระศรีมหาโพธิ์กันมาก โดยไม่ได้เข้าใจถึงสัจธรรมของการอุปสมบทในพระพุทธศาสนาหรือจุดมุ่งหมายของการบวชในพระพุทธศาสนาที่แท้จริง จากสภาพการณ์ที่มีผู้คนจากทุกสารทิศหลั่งไหลเข้าไปสู่สังเวชนียสถานฯ ด้วยความเคารพศรัทธาต่อพระพุทธศาสนา จึงทำให้เกิดลาภสักการะมากมาย อันเป็นปรากฏการณ์ทางวัตถุนิยมในกระแสความเชื่อเรื่องบุญคุณความดีในพระพุทธศาสนา จำทำให้ตำบลเล็กๆ อย่างพุทธคยาได้เปลี่ยนแปลงเติบโตเป็นศุนย์เศรษฐกิจจนรัฐบาลของรัฐพิหาร ได้ให้ความสนใจมากขึ้นกับเศรษฐกิจสำคัญดังกล่าว เพราะก่อให้เกิดรายได้จากนักท่องเที่ยวเข้าสู่ประเทศอินเดียจำนวนมากโดยเฉพาะในรัฐพิหาร จนเดี๋ยวนี้มีโรงแรมมากมาย ทั้งๆที่สมัยหนึ่งเป็นท้องทุ่งนาริมแม่น้ำเนรัญชราเป็นถิ่นที่อยู่ของพวก Dravidians ที่เป็นชนพื้เมืองผิวดำในวรรณะต่ำและมีฐานะยากจนอยู่อาศัยทำนาปลุกผักตามฤดูกาล ดังนั้น จึงไม่แปลกที่จะมีคนท้องถิ่นหันมานิยมห่มผ้ากาสาวพักตร์คล้ายๆกับนักบวชหรือพระสงฆ์ในพระศาสนา หรือจึงไม่แปลกที่คนในท้องถิ่นมีความนิยมอยากจะเป็นพระ หรือจึงไม่แปลกที่มีชาวอินเดีย คนท้องถิ่นจะสนใจที่จะเข้ามาศรัทธาในพระพุทธศาสนามากขึ้น จึงพบว่า พระที่อาตมากล่าวถึงข้างต้นนั้น จึงมีทั้งเข้ามาบวชอย่างถูกต้องและไม่ถูกต้อง พวกที่บวชถูกต้องกับมหาโพธิสมาคมหรือจากวัดนานาชาติก็คงมีอยู่บ้าง แต่ไม่มากนัก ส่วนพวกที่บวชอย่างไม่ถูกต้อง แล้วมาเดินขอทานอย่างที่เห็นก็มีกันอยู่ทั่วไป ซึ่งมักถูกพวกเรามองด้วยสายตาที่ดูถูกตำหนิว่าเป็นพระปลอมบ้างหรือมาขอทานบ้าง อาตมามองเรื่องนี้แล้วคิดว่า
ทำไมเราไม่ทำให้เกิดการเคลื่อนไหวให้เป็นไปในทางบวกต่อการฟื้นฟูพระพุทธศาสนาของเราโดยเฉพาะในเขตชมพูทวีป?
การเดินทางไปครั้งนี้ตามกิจนิมนต์ที่ได้รับอาราธนา เพื่อไปให้ธรรมปฏิบัติสั้งสอนหลักธรรมในพระพุทธศาสนาต่อพระท้องถิ่นและจากนานาชาติตลอดจนถึงประชาชนโดยทั่วไป จึงเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่ง อันจะเป็นการเปิดประตูให้พระท้องถิ่นให้ได้มาเป็นพระสงฆ์ที่ปฏิบัติถูกต้องตามพระธรรมวินัย จึงถือว่าเป็นเรื่องที่สำคัญสำหรับพระพุทธศาสนาที่จะเดินทางต่อไปเบื้องหน้า ตามที่ชาวพุทธปรารถนาอันเป็นไปตามพุทธพยากรณ์ นอกจากเรื่องดังกล่าวนั้น การเดินทางไปอินเดียของอาตมาครั้งนี้ จึงถือเป็นเรื่องสำคัญอีกประการหนึ่ง คือ เพื่อรองรับงานมาฆบูชาที่จะจัดให้มีขึ้นเป็นครั้งแรกในกึ่งพุทธกาล ณ วัดเวฬุวันมหาวิหาร ในวันที่ ๒๖-๒๘ กุมภาพันธ์นี้
หากลองมองย้อนกลับไปดูประวัติศาสตร์ในสมัยพระเจ้าอโศกมหาราชแห่งแคว้นมคธในอดีต พระองค์ทรงอุปถัมภ์พระศาสนาอย่างยิ่งใหญ่ ผู้คนในชมพูทวีปส่วนมากมีฐานะยากจน จึงมีศาสนาเป็นที่พักพิงทั้งทางกายและทางจิตมาทุกสมัย สมัยใดที่ศาสนารุ่งเรืองมีพระราชาคอยอุปถัมภ์ ศาสนาก็จะเป็นที่ต้องใจของชาวเมือง พระพุทธศาสนาจึงมีคำสั่งสอนให้พระสงฆ์สันโดษ พระสงฆ์นั้นห้ามร่ำรวยวัตถุแบบชาวโลก เพื่อป้องกันจุดๆนี้ เมื่อวัดร่ำรวยเมื่อใด ก็จะมีคนเข้าวัดมากหลากหลายรูปแบบเจตนาซึ่งจะมีอยู่จำพวกหนึ่ง คือไปกินอยู่กับวัด หรืออาศัยวัดเป็นที่พึ่งพิงทางด้านวัตถุ ไม่มีอุดมการณ์ทางธรรม ซึ่งสวนกระแสกับพระพุทธศาสนาที่แท้จริงที่มุ่งเน้นการพักพิงทางจิต ละวางออกจากความเกี่ยวเนื่องในวัตถุกามทางโลก แม้แต่พระราชายังสละราชสมบัติออกบวช ไม่มีการก่อกอดวัตถุกามติดตัวให้หนักจิตหนักใจต่อไป ดังนั้น พระพุทธเจ้าของเราทั้งหลาย จึงประกาศหลักกหารให้เปลื้องวัตถุกามทิ้ง ห้ามไม่ให้พระแตะต้องมุ่งหมาย เกี่ยวเนื่อง แสวงหาลาภสักการะเกินความพอเหมาะ ขาดความพอดี ไม่รู้จักพอเพียง มักน้อย ซึ่งเป็นเรื่องที่ทำได้ยากในสังคมปัจจุบัน เพราะฉะนั้นพอวัดรวย คนยากจนไร้ศาสนาก็เข้ามาแอบแฝงปลอมเป็นพระดังในสมัยพระเจ้าอโศกที่มีปลอมเข้ามาบวช จนต้องคัดทิ้งออกไปถึง ๖๐,๐๐๐ คน ตามหลักฐานที่ปรากฏในการสังคายนา
ปมปัญหาดังกล่าวที่เกิดขึ้นอยู่ในปัจจุบันก็เช่นเดียวกับที่ปรากฏในอดีต เพียงแต่เป็นปัญหารกร้างที่ถูกทอดทิ้ง ไม่ได้รับการแก้ไขเยียวยามายาวนาน แม้ในทุกวันนี้เรามีพระไทย พระนานาชาติมากมายเดินทางเข้าไปในอินเดีย แต่ด้วยความขาดการจัดความสัมพันธ์ในองค์กรของสงฆ์เพื่อความเป็นหนึ่งเดียวกันด้วยความมากนิกาย มากสมาคม และมากหมู่คณะ หลากหลายอาจารยวาท จึงทำให้เราไม่รู้ว่าจะควบคุมหรือแก้ไขปัญหานี้ได้อย่างไร และจากการที่เราขาดความเป็นหนึ่งแห่งสงฆ์ในรูปของสภาสงฆ์ ไม่ว่าจะเป็นมหายานหรือเถรวาทนั้น จึงเป็นปัญหาทางสังคมในพระพุทธศาสนาที่มีความหลากหลายในแนวความคิดและวิธีการปฏิบัติในความมีพระพุทธเจ้าพระองค์เดียวกัน เราจะเห็นความจริงว่า พระพุทธองค์มุ่งเน้นให้ความสำคัญกับองค์กรสงฆ์หรือคณะสงฆ์มากที่สุด ทั้งนี้เพื่อสืบทอดอายุพระพุทธศาสนาหรือเพื่อรักษาพระธรรมวินัยให้สืบเนื่องต่อไปอย่างมั่นคง ไม่เปลี่ยนแปลง สูญหายไปไหน จึงได้มีสภาสงฆ์เกิดขึ้นเพื่อปกครองตนเองด้วยเสียงข้างมากของสงฆ์อันเป็นรูปแบบสำคัญของพระพุทธศาสนา จริงๆแล้วในพระพุทธศาสนาของเรานั้นเป็นสังฆาธิปไตยโดยมีพระธรรมวินัยเป็นธรรมนูญแม่บทในการปกครอง ดังนั้น เมื่อขาดองค์กรสงฆ์ที่มีความเป็นหนึ่งเดียวด้วยพระธรรมวินัยเดียวกัน จึงส่งผลต่อพระพุทธศาสนาให้อ่อนแอลง เพราะมีผู้ที่ปฏิบัติไม่ถูกต้องและบุคคลเหล่านี้จึงเปรียบเสมือนกาฝากในพระพุทธศาสนา อันทำให้ผู้คนในชมพูทวีปเข้าใจพระพุทธศาสนาและภาพลักษณ์ของพระสงฆ์ผิดเพี้ยนไป คิดว่าพวกภันเต (พระสงฆ์) ทั้งหลายร่ำรวยเงินทอง เพราะมีภันเตบางรูปเล่นทำมาหากินเหมือนกับคนกับคณะทัวร์ที่หลั่งไหลเข้าไปในเขตพุทธภูมิ จึงเป็นตัวอย่างที่ทำให้พวกคนจนๆ อยากเข้ามาเป็นพระในฤดูกาลท่องเที่ยง อย่างไรก็ตาม ก็ต้องขอขอบคุณมหาโพธิสมาคมของอินเดียที่พยายามเชื่อมสัมพันธ์โยงใยกับพวก Local monks และครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ผู้ที่เข้ามาถือความเป็นพระเหล่านี้ได้มาปฏิบัติกรรมฐานร่วมกับพระสงฆ์ อุบาสก-อุบาสิกาจากนานาชาติ
พระอาจารย์อารยะวังโส
มีต่อตอนต่อไปค่ะ
อ่านงานธรรมจักรบูชา อินเดีย ตอนที่ ๒ ได้ที่นี่ค่ะ
http://gotoknow.org/blog/arayawangso/344805
อ่านงานธรรมจักรบูชา อินเดีย ตอนที่ ๓ ได้ที่นี่ค่ะ
http://gotoknow.org/blog/arayawangso/354313
อ่านงานธรรมจักรบูชา อินเดีย ตอนที่ ๔ ได้ที่นี่ค่ะ
http://gotoknow.org/blog/arayawangso/354365
อ่านลิขิตธรรมของหลวงพ่ออารยะวังโส ได้ที่นี่ค่ะ
http://gotoknow.org/blog/arayawangso/344511
กราบนมัสการพระอาจารย์ด้วยความเคารพอย่างสูงครับ
เข้ามาอนุโมทนาสาธุครับ
ขอบคุณน้องโยคีแพรภัทรที่นำเรื่องดีๆ มาเล่าสู่กันฟังเสมอๆ
พระอาจารย์ได้นำศาสนาพุทธกลับสู่ชมพูทวีปแล้ว
ท่านมีความมุ่งมั่นเต็มที่ครับ เชื่อว่าวันข้างหน้าพุทธศาสนาจะต้องเจริญอีกครั้งหนึ่งแน่นอน
ขอบคุณค่ะ พี่โยคี
ด้วยความเชื่อมั่นเช่นกันค่ะ ว่าพระอาจารย์จะนำพระพุทธศาสนาให้เจริญอีกครั้งหนึ่งแน่นอนค่ะ