คนไทยเป็นผู้ที่รักความสนุกสนาน มีอาชีพเกษตรกรรมเป็นหลัก เมื่อมีเวลาว่างก็จะรวมกลุ่ม หรือจับกลุ่มกันเพื่อทำกิจกรรมร่วมกัน แม้ขณะที่ทำงานก็มีการร้องรำทำเพลง เพื่อให้เกิดความสนุกสนานคลายความเหน็ดเหนื่อย ทำให้เกิดความรักความสามัคคี เห็นอกเห็นใจซึ่งกัน และกันช่วยเหลือเกื้อกุลกัน อีกทั้งคิดสร้างสรรค์บทเพลงใหม่ๆ ขึ้น
เมื่อมีบุตรหลานเวลาที่ร้องไห้ ก็จะมีการร้องเพลงปลอบให้หยุดร้อง ต่อมาจะร้องเมื่อต้องการกล่อมเด็กให้หลับเพราะสังคมในขณะนั้นพ่อแม่ต้องทำงานจึงมีความต้องการให้เด็กหลับ และในอดีตนั้นไม่มีเครื่องใช้ไฟฟ้าไม่มีเครื่องเสียงอำนวยความสะดวกเหมือนในปัจจุบัน ซึ่งคนสมัยก่อนต้องมีการร้องปลอบเองจึงทำให้เกิดความรักความผูกพันระหว่างแม่กับลูกมากขึ้น กอปรกับธรรมชาติของคนหรือสัตว์ต้องมีเพื่อนและมีคนรอบข้างซึ่งไม่สามารถที่จะอยู่ได้ตามลำพัง การร้องเพลงให้เด็กฟังจึงเป็นการทำให้เด็กรู้สึกอบอุ่นและรู้สึกว่าตนนั้นไม่ได้อยู่เพียงลำพังแต่มีคนที่รักและห่วงใยอยู่ข้างๆคอยทนุถนอมซึ่งทำให้เด็กนอนหลับไปพร้อมกับความสุข
เพลงกล่อมลูก หรือเพลงกล่อมเด็ก มีผลต่อจิตใจและสังคมเป็นอย่างมากเพราะนอกจากจะสร้างความเพลิดเพลินแก่เด็กแล้วยังสามารถอบรมสั่งสอน และปลูกฝังจิตสำนึกที่ดีให้เด็กด้วย เพราะเพลงกล่อมเด็กแฝงด้วยเนื้อหาที่ดี ช่วยให้เด็กมีจิตสำนึกที่ดี มีอารมณ์ที่แจ่มใสและเมื่อได้ฟังเพลงกล่อมตั้งแต่เด็กจนถึงจำความได้เด็กก็สามารถมีจิตสำนึกที่ดี เกิดความกตัญญูขึ้นเพราะเพลงกล่อมเด็ก ได้สอดแทรกข้อคิดที่ดีและทำให้แม่กับลูกเกิดวามรู้สึกผูกพันกัน ต่างจากปัจจุบันที่พ่อแม่ไม่มีเวลาดูแลเอาใจใส่ลูกน้อยลง เพราะต้องทำงานหนักเพื่อแลกกับเงินจึงไม่มีเวลาสั่งสอนบุตรหลาน ด้วยการร้องเพลงกล่อมเด็ก
เพลงกล่อมเด็กแตกต่างกันไปตามแต่ละภูมิภาค เช่น ภาคเหนือ เรียกว่า เพลงอือจาจา ภาคกลางเรียกว่าเพลงกล่อมเด็ก หรือเพลงกล่อมลูก ส่วนภาคใต้ เรียกว่า เพลงชาน้องเพลงเปลเพลงน้องนอนหรือเพลงร้องเรือ ส่วนภาคอีสาน เรียกว่า เพลงนอนสาหล่า(เพลงกล่อมลูก) โดยเพลงกล่อมเด็กเป็นภูมิปัญญาชาวบ้านประเภทใช้ภาษาเป็นสื่อถ่ายทอดจากปากต่อปาก จัดเป็นวรรณกรรม “มุขปาฐะ” เป็นวัฒนธรรมพื้นบ้านซึ่งมีบทบาทและหน้าที่แสดงเอกลักษณ์ของแต่ละชุมชน
ในสมัยก่อนเรามักได้ยินเพลงกล่อมเด็กอยู่เสมอ ตามที่ต่างๆ หรือตามชุมชนแต่ปัจจุบัน กลับเต็มไปด้วยเพลงที่มีเนื้อหาชิงรักหักสวาท แอบซุกแอบซ่อนรัก (...หลงรักคนมีแฟนแล้วมันผิดตรงไหน...ผิดตรงไหนยังไม่รู้อีก?....) จังหวะรุนแรงเร่งเร้า เขย่าประสาทเด็ก เครื่องเสียงถูกนำมาแทนที่การกล่อมจากพ่อและแม่ ซึ่งเป็นสาเหตุเหตุให้เพลงกล่อมเด็กค่อยเลือนหายไป ปัจจุบันเด็กบางคนไม่เคยฟังเพลงกล่อมเด็กเลย
ดังนั้น การประยุกต์เชื่อมโยง เนื้อหา และท่วงทำนองเพลงกล่อมเด็กให้เข้ากับยุคสมัยและรณรงค์เผยแพร่เพลงกล่อมเด็กให้เยาวชนได้มีส่วนร่วมจึงน่าจะเป็นการสืบทอดและฟื้นฟูการ “กล่อมลูก” ให้กลับมาเป็นเครื่องมือที่ช่วยอบรมขัดเกลาจิตใจของเด็กให้รู้จัก รักผูกพัน และเอื้ออาทรผู้คนรอบข้างอย่างยั่งยืนคู่สังคมไทยสืบไป
คนนี้ที่ ๑ ของภาคอีสานค่ะ
นส.ปิยวรรณ จันทร์เสนา
http://gotoknow.org/file/cruroj/Gom1.wma
(ฟังเสียง...ออมๆค่ะ)
ปัจจุบันหาฟังได้ยากมากเลยค่ะ แต่ละท้องถิ่นแทบจะสูญหายไปหมดแล้วตามกาลเวลา
ดีใจค่ะที่มีโครงการดีๆ แบบนี้ ^-^
ขอบคุณค่ะคุณ Baby ใช่ค่ะแทบจะไม่ได้ยินพ่อแม่กล่อมลูกแล้ว
มีสุขสุขภาพแข็งแรงนะคะ
ขอบคุณมากนะคะท่านอาจารย์ ขจิต ฝอยทอง
หวังว่าคงจะไม่เลื่อนอีกนะคะ...อดไปตะลอนเดี่ยวรอบโลกนะเนี่ย!!!.....