ข้อความใน มาตรา ๔ วรรคสี่ ของ พรบ. การศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๔๒ ช่วยไขความแตกต่างระหว่าง “การศึกษา” กับ “การเรียนรู้” ดังนี้ “สถานศึกษา” หมายความว่า สถานพัฒนาเด็กปฐมวัย โรงเรียน ศูนย์การเรียน วิทยาลัย สถาบัน มหาวิทยาลัย หน่วยงานการศึกษาหรือหน่วยงานอื่นของรัฐหรือของเอกชน ที่มีอำนาจหน้าที่หรือมีวัตถุประสงค์ในการจัดการศึกษา”
เนื่องจาก พรบ. เป็นกฎหมาย มีหน้าที่กำหนดหรือบังคับ พรบ. จึงทำได้เพียงกำหนดสิ่งที่รัฐเข้าไปเกี่ยวข้องด้วยได้อย่างเป็นทางการ คือการศึกษา แต่การเรียนรู้เป็นเรื่องของวิถีชีวิตผู้คน กฎหมายจึงไม่ควรเข้าไปกำหนด จนพลเมืองขาดความเป็นอิสระ
สังคมปัจจุบันและอนาคตควรเน้นให้อิสระ หรือเสรีภาพ แก่พลเมือง ภายใต้หลักการว่าต้องไม่ใช้เสรีภาพนั้นในการทำความเดือดร้อนแก่ผู้อื่นหรือแก่สังคม
การศึกษาเป็นส่วนหนึ่งของอำนาจรัฐ แต่การเรียนรู้เป็นอำนาจอิสระเสรีของบุคคล และองค์กร
ผลสัมฤทธิ์ของการศึกษาในปัจจุบัน วัดที่ “การมีความรู้” ในขณะที่สิ่งที่สำคัญกว่าการมีความรู้คือ “การมีฉันทะและทักษะ” ต่อการเรียนรู้ คนที่มีความรู้แต่ขาดฉันทะและทักษะต่อการเรียนรู้ จะไม่มีความสำเร็จในชีวิต เพราะความรู้ที่มีจะเก่าและผิดในเวลาอันรวดเร็ว กลายเป็นความรู้ที่ใช้ประโยชน์ไม่ได้ หรือก่อโทษเสียด้วยซ้ำ
คุณประโยชน์ของการศึกษาคือการวางรากฐานของการเป็น “บุคคลเรียนรู้” (Learning Person) คือการมีฉันทะและทักษะต่อการเรียนรู้ สำหรับนำไปใช้ประโยชน์ต่อการเรียนรู้ในงานประจำและในการดำรงชีวิตประจำวัน หรือที่เรียกว่าการเรียนรู้ตลอดชีวิตนั่นเอง
การเรียนรู้ส่วนใหญ่ในชีวิตของผู้คน จึงอยู่นอกระบบการศึกษา ซึ่งภาษาทางการศึกษาเรียกว่า “การศึกษาตามอัธยาศัย” ซึ่งแม้ผมจะเชื่อว่าอยู่นอกระบบการศึกษา แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าระบบการศึกษาไม่มีความสำคัญต่อการเรียนรู้นอกระบบฯ นี้ เพราะการศึกษาในระบบควรได้ทำหน้าที่วางรากฐานของการเป็นบุคคลเรียนรู้
แต่ที่เป็นอยู่ ระบบการศึกษาไทยไม่ได้เน้นเรื่องนี้
วิจารณ์ พานิช
๒๒ ก.พ. ๕๓
ไม่มีความเห็น