สถาบันนาโรปะ สหรัฐอเมริกา ซึ่งก่อตั้งโดยมหาคุรุชาวธิเบต ท่านเซอเกียม ตรุงปะ รินโปเชมีอิทธิพลมากต่อปัญญาชนในสังคมไทย แต่ที่ผมอยากนำเสนอต่อพวกเขาคือทัศนะที่ปฏิเสธเถรวาท และมองพวกเถรวาทเป็นพวกที่ตื้นในพุทธปรัชญาอันสุขุมลึกซึ้งแบบวัชรยาน
หากเรามองตามประวัติศาสตร์พุทธศาสนาในอินเดีย แบ่งออกเป็น 3 ยุค คือ
1. 500 ปีแรก เป็นยุคคำสอนดั้งเดิมซึ่งเป็นต้นแบบของเถรวาท
2. พ.ศ. 500-1,000 เป็นยุคของพุทธศาสนาแบบมหายาน
3. พ.ศ. 1,000-1,700 เป็นยุคของพุทธศาสนาแบบวัชรยานและพุทธตันตระ
นักปราชญ์พุทธมองว่ามันเป็นลักษณะวิวัฒนาการของพุทธศาสนาตามการเจริญและขยายตัวในเชิงปริมาณของพุทธศาสนาในแง่ของสังคมเท่านั้น ไม่ใช่เป็นวิวัฒนาการทางแนวคิดหรือปรัชญาแต่อย่างใด เพราะคำสอนที่บริสุทธิ์และบริบูรณ์ได้ถูกแสดงและอธิบายอย่างชัดเจนโดยพระพุทธองค์ตลอด 45 พรรษาอยู่แล้ว เพราะฉนั้นจึงไม่มีอะไรที่ต้องวิวัฒนาการต่อไปอีกในแง่พุทธปรัชญา
แต่ที่มีการเปลี่ยนแปลงปรัชญาจากยุคเถรวาทดั้งเดิมสู่มหายานก็เพื่อรองรับการเติบโตและขยายตัวของชาวพุทธ จึงต้องยกหลักโพธิสัตว์ที่เน้นกรุณาขึ้นมาแทนหลักอรหันต์ที่เน้นปัญญาและความบริสุทธิ์ส่วนตน ความสำเร็จของมหายานทำให้พุทธศาสนาขยายตัวครอบคลุมอินเดียทั้งประเทศ แต่เถรวาทก็ยังยึดที่มั่นอยู่ในบางพื้นที่เพื่อรักษาคำสอนที่บริสุทธิ์ ความสำเร็จของมหายานทำให้พุทธศาสนาต้องปะทะกับศาสนาพราหมณ์ที่ยังมีผู้นับถืออยู่มากและมีปรัชญาที่ลึกซึ้งเพราะมีวิวัฒนาการมามากกว่า 5,000 ปี
เพื่อต่อสู้กับศาสนาพราหมณ์ที่พัฒนามาเป็นฮินดูที่แข็งแกร่ง นักปราชญ์ชาวพุทธจึงปรับกระบวนทัศน์ครั้งสำคัญโดยการคัดสรรปรัชญาที่ดีที่สุดของเถรวาทและมหายาน มาเป็นพุทธศาสนาที่เรียกว่า วัชรยาน วัชระ คือ เพชรที่ตัดสิ่งที่มิใช่แก่นออกไป ทำให้พุทธศาสนายืนหยัดต่อสู้กับฮินดูมาได้อีก 500 ปี ซึ่งในช่วงนี้คำสอนดั้งเดิมของพระพุทธเจ้าได้ถูกทำให้เป็นทฤษฎีชั้นสูงสำหรับนักวิชาการในมหาวิทยาลัย เช่น มหาวิทยาลัยนาลันทา เท่านั้น ทำให้หลักปฏิบัติหรือวินัยถูกทอดทิ้ง เมื่อไม่มีหลักปฏิบัติมารองรับ พุทธศาสนาวัชรยานจึงดึงหลักปฏิบัติของฮินดูเข้ามาเป็นฐานนั่นคือ โยคะและตันตระ
ดังนั้นใน พ.ศ. 1,500 จึงเกิดลัทธิพุทธตันตระ ซึ่งเป็นลัทธิที่ตรงกันข้ามกับคำสอนดั้งเดิมทุกอย่าง เพราะเป็นการผสมกันระหว่างพุทธกับพราหมณ์ที่มีปรัชญาตรงข้ามกันโดยสิ้นเชิง แต่มันเกิดขึ้นจากนักวิชาการที่ไม่สนใจหลักวินัย แต่ปราดเปรื่องในวิชาการ มันจึงเป็นการผสมมั่ว จับแพะชนแกะ ต่อมาพุทธตันตระยอมรับหลัก ม.5 (เมถุน เมรัย มังสะ มัสยา มุทรา) จึงเป็นตัวทำลายพุทธศาสนาให้กลายเป็นศาสนาชั้นต่ำและถูกทำลายให้สิ้นซากไปโดยมุสลิมในเวลาต่อมา
หรือจะดูประวัติพุทธศาสนาในธิเบตเอง วัชรยานที่เข้าไปตอนแรกนำโดยท่านคุรุปัทมสัมภวะ ซึ่งเป็นนักวิชาการจากมหาวิทยาลัยนาลันทา และเป็นต้นสายนิกายฌิงมะ แต่เพราะไม่มีรูปแบบการปฏิบัติที่ชัดเจน(วินัย) จึงทำให้ในช่วงหลังเกิดความเสื่อมโทรม ทำให้พระมหาเถระกติษะเข้าไปฟื้นฟูโดยยึดวินัยเป็นหลักและท่านก็เป็นต้นสายเคลุกปะ ที่ครอบครองตำแหน่งดาไลลามะ ทำให้วัชรยานยืนหยัดมาได้จนถึงปัจจุบัน
สถาบันนาโรปะที่ก่อตั้งโดยท่านมหาคุรุ เซอเกียม ตรุงปะ รินโปเช เป็นสายฌิงมะปะที่เน้นทฤษฎี ทราบว่าท่านมีภรรยาถึง 9 คน ผมเคยอ่านหนังสือที่เขียนโดยภรรยาคนที่ 9 ของท่านซึ่งเป็นชาวอเมริกัน
ทีนี้มาดูแนวคิดในการจัดการเรียนรู้ของสถาบันนาโรปะบ้าง ผมก็เห็นว่าเป็นแนวคิดที่ดีเยี่ยม แต่ผมก็ยังมองเห็นว่ามันไม่ได้แตกต่างจากหลักการของเถรวาทเลย เพียงแต่ใช้ศัพท์สำนวนที่แตกต่างกันเท่านั้นเอง นั่นคือ
1.การเรียนรู้แบบบูรณาการและผสานสรรพศาสตร์ (Integrative & Transdisciplinory Learning)
2.การเรียนรู้ผ่านประสบการณ์ตรง (Experiental Learning)
3.การเรียนรู้ที่นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงภายใน (Tranformative Learning)
ข้อที่ 1 ก็คือ อธิปัญญาสิกขา หรือ การเรียนรู้ในปัญญาอันยิ่ง ปัญญาอันยิ่งในที่นี้คือการบูรณาการความรู้ (knowledge) เพื่อการรู้แจ้ง (wisdom) ทั้งในระดับปัจเจกบุคคลและสังคม
ข้อที่ 2 ก็คือ อธิสีลสิกขา หรือ การเรียนรู้ในศีลหรือข้อปฏิบัติอันยิ่ง ศีลหรือวินัยก็คือหลักปฏิบัติทางกายเพื่อพัฒนาบุคลิกภาพภายนอกของปัจเจกบุคคล และ ระเบียบของสังคม
ข้อ 3 ก็คือ อธิจิตตสิกขา หรือ การเรียนรู้ในจิตอันยิ่ง ได้แก่การเจริญสมถะและวิปัสสนาภาวนา เพื่อพัฒนาคุณภาพของจิตอันนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงภายในคือความสงบสันตินั่นเอง
ที่ผมนำเสนอมิได้ต้องการให้มายึดติดแบบเถรวาทเท่านั้น แต่อยากเห็นปัญญาชนไทยบางคนอย่ามองพุทธศาสนาเถรวาทอย่างคับแคบ โดยติดอยู่แค่เปลือกกะพี้ของเถรวาท อย่าลืมว่าตลอดเวลา 2,500 ปี พุทธศาสนาเถรวาทได้พัฒนาปรัชญาแนวคิดมาอย่างต่อเนื่อง คัมภีร์อภิธรรมคือหลักฐาน แต่ผมก็ยอมรับครับว่ามีคนไม่มากที่แตกฉานในอภิธรรม เพราะมาติดที่กำแพงใหญ่คือภาษาบาลีชั้นสูง
จริง ๆ แล้วเถรวาทในเมืองไทยก้มีการแปรเปลี่ยนตามสังคมอยู่แล้วครับ สังคมเกษตรกรรมซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศก็เป็นเถรวาทแบบดั้งเดิมผสมไสยศาสตร์ สังคมอุตสาหกรรมหรือชนชั้นกลางในเมืองก็จะเป็นเถรวาทที่ผสมกับมหายานของจีน ส่วนสังคมเทคโนโลยีสารสนเทศหรือนักวิชาการ ก็เป็นเถรวาทที่ผสมกับวัชรยานคือเน้นที่ทฤษฎี หรือจะดูพระพุทธรูปของเถรวาทที่ผสมวัชรยานก็ให้ดูพระปางทรงเครื่อง พระพุทธชินราช พระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร และพระพุทธรูปประจำองค์พระพุทธยอดฟ้าฯ พระพุทธเลิศหล้าฯ เป็นต้น
ทั้งหมดนี้เป็นการนำเสนอความคิด เพื่อการสร้างสรรค์ของผม เพราะต้องการเห็นความเจริญก้าวหน้าและการสร้างสรรค์ประโยชน์ต่อสังคมไทยของพุทธศาสนาทุกนิกาย
นาย บรรพต (แคไธสง) บุญนิธิ