ช่วงนี้คนไทยถ้วนหน้าไม่ว่ามีอุดมการณ์แบบไหน ต่างเป็น โรคที่คุณหมอประเวศ วะสี เรียกว่าโรคซึมเศร้าทางการเมืองหรือ พี.เอส.ซินโครม ( Political Stress Syndrome ) ตอนนี้คนไทยแบ่งออกเป็น 3 กลุ่มใหญ่ๆ คือ กลุ่มผู้ชุมนุมต่อต้านรัฐบาลอยู่ในทำเนียบ กับกลุ่มสนับสนุนรัฐบาลที่สนามหลวง และกลุ่มพลังเงียบที่ไม่ต้องการความรุนแรง ทั้ง 3 กลุ่มนี้มีสิทธิเป็นโรคซึมเศร้าทางการเมืองซึ่งอาจนำไปสู่ภาวะหัวใจวาย เฉียบพลันได้
เฉพาะกลุ่มผู้ ชุมนุมตากแดด ตากฝนที่ทำเนียบรัฐบาลก็ดีหรือที่สนามหลวงก็ดี นอกจากจะเป็นเหยื่อของโรคหัวใจวายแล้วก็อาจจะเกิดโรคลม วิงเวียนศีรษะ หน้ามืดตาลายเพราะไอแดดไอฝน หรือ เกิดลมจุกเสียดแน่นท้อง ปวดเมื่อย เหน็บชา เป็นตะคริวแถมยังท้องผูกอีกต่างหาก เนื่องจากนั่งหลังขดหลังแข็งอยู่ในที่คับแคบนานๆ
วิกฤต สุขภาพยามวิกฤตการเมืองทั้งหมดนี้ สามารถบรรเทาได้ด้วย “ ยาหอมไทย ” ซึ่งเป็นยาแก้โรคหัวใจของไทยแท้แต่โบราณนั่นเอง แต่เดี๋ยวนี้ยาหอมไทยเริ่มก้าวไกลสู่โลกาภิวัฒน์แล้ว เพราะได้มีการศึกษาพัฒนายาหอมกันอย่างจริงจัง ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2545 สถาบันการแพทย์แผนไทยกระทรวงสาธารณสุขได้หยิบเอายาหอม 4 ตำรับ ที่ประกาศเป็นยาสามัญประจำบ้าน ได้แก่ ยาหอมเทพวิจิตร ยาหอมทิพโอสถ ยาหอมอินทรจักร และยาหอมนวโกฐ นำมาศึกษาวิจัยสรรพคุณใหม่ รวมทั้งทบทวนงานวิจัยเดิมทั้งหมดเกี่ยวกับยาหอมซึ่งเคยศึกษากันมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2515
การพัฒนายาหอมใน ขั้นต้นนี้ เป็นการศึกษาสรรพคุณตามวิธีการทางการแพทย์เภสัชแผนใหม่ โดยความร่วมมือของสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ นักวิชาการด้านการแพทย์เภสัชจากมหาวิทยาลัยต่างๆ รวมทั้งผู้ทรงคุณวุฒิด้านการแพทย์แผนไทยและสมาคมผู้ผลิตยาแผนไทย
ผลสรุปจากงานวิจัยสมัยใหม่ที่ยืนยันความ มหัศจรรย์ของภูมิปัญยาไทยด้านสมุนไพรในตำรับยาหอมก็คือ
ประการแรกมีมาตราฐานความปลอดภัย 100 เปอร์เซ็นต์ สมุนไพรจำนวน 50-60 ชนิดที่เป็นวัตถุส่วนประกอบของยาหอมสามัญประจำบ้าน 4 ตำรับก็ดี หรือยาหอมตำรับอื่นๆอีกมากกว่า 100 ตำรับก็ดีที่ขึ้นทะเบียนกับสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา นั้นได้รับการพิสูจน์ทดลองอย่างดีแล้วว่าไม่มีความเป็นพิษเลย
ใน การศึกษาทดสอบความเป็นพิษฉับพลันของยาหอมทั้งหมด 4 ตำรับ ไม่พบการตายและความผิดปกติใดๆ เกิดขึ้นกับหนูขาว เมื่อให้ยาหอมทางปากขนาดสูงถึง 10 กรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม นั่นหมายความว่าถ้าคนน้ำหนักตัว 50 กิโลกรัม กินยาหอม 500 กรัม หรือครึ่งกิโลกรัมต่อครั้งก็ยังไม่มีความเป็นพิษใดๆ เกิดขึ้น (ยกเว้นอาจจะจุกเพราะกินมากเกินไป....ฮา) ซึ่งตามปกติแล้วคนเรากินยาหอมกันครั้งละไม่เกิน 1-2 กรัม เท่านั่นจึงห่างไกลจากความเป็นพิษชนิดหายห่วงไปได้เลย
ข้อ สรุปจากการวิจัยพบว่า ยาหอมมีฤทธิ์เพิ่มแรงหดตัวของหลอดเลือดแดงใหญ่ของหัวใจ ( Cardio-Aorta ) ซึ่งหมายความว่าช่วยเพิ่มแรงบีบตัวของหัวใจอย่างช้าๆเห็นผลภายใน 5 นาที และออกฤทธิ์นานถึง 20 นาที ในขณะเดียวกันจะช่วยเพิ่มความดันโลหิตภายใน 15-30 นาที โดยจะออกฤทธิ์อยู่นานถึง 60-90 นาที
สรรพคุณ เพิ่มแรงบีบของหัวใจและเพิ่มความดันโลหิตนี้เอง จะมีผลในการเพิ่มการไหลเวียนโลหิตของหลอดเลือดขนาดเล็กที่ไปเลี้ยงสมองและ อวัยวะส่วนปลายของทั้งภายในร่างกาย เช่น ปอด ตับ ไต กระเพาะอาหาร เป็นต้น และอวัยวะภายนอกร่างกาย เช่น เส้นเลือดที่ไปเลี้ยงปลายมือ ปลายเท้า แม้กระทั่งอวัยวะสืบพันธุ์เป็นต้น ดังนั้นคุณผู้ชายที่เสื่อมสมรรถภาพทางเพศก็ไม่จำเป็นต้องพึ่งยาไวอากร้า ซึ่งราคาแพงและอาจเกิดอันตรายถึงชีวิต
ฤทธิ์ ของยาหอมต่อระบบไหลเวียนโลหิตของหัวใจ สมอง และทั่วร่างกาย ซึ่งค้นพบจากงานวิจัยสมัยใหม่นี้เอง เป็นหลักฐานยืนยันถึงสรรพคุณของยาหอมซึ่งค้นพบมาตั้งแต่ครั้งโบราณแล้วว่า ช่วยแก้อาการใจสั่น เป็นลม หน้ามืด ตาลาย วิงเวียนศีรษะ เหน็บชา รวมทั้งอาการเนื่องจากมีความดันโลหิตต่ำ และเลือดไปเลี้ยงสมองไม่พอ
จา การศึกษาวิจัยยาหอมมีผลต่อการหลั่งสารต่างๆ ในกระเพาะอาหาร กล่าวคือ ยาหอมมีฤทธิ์ยับยั้งการหลั่งกรด การหลั่งเอนไซน์เปปซิน ในขณะเดียวกันช่วยเพิ่มการหลั่งเมือกที่เคลือบเยื่อบุกระเพาะอาหาร ซึ่งฤทธิ์ดังกล่าวนี้เองเป็นสรรพคุณส่วนหนึ่งของยาหอมที่ช่วยแก้อาการจุก เสียด ปวดท้อง
จึงไม่ต้อง สงสัยเลยว่า ทำไมคนไทยสมัยก่อนจึงใช้ยาหอมเป็นยาครอบจักรวาล แก้อาการเจ็บไข้ได้ป่วยในชีวิตประจำวันกันอย่างแพร่หลาย โดยเฉพาะในภาวะหน้าสิ่วหน้าขวาน ที่มีการเผชิญหน้าทางการเมืองจนก่อให้เกิดวิกฤตสุขภาพในขณะนี้ “ ยาหอม ” อาจจะเป็นทางเลือกสำคัญในการแก้วิกฤตสุขภาพ เช่นเดียวกับ “ ยาหอม ” ของผู้นำรัฐบาลที่อาจจะช่วยแก้วิกฤตทางการเมืองได้เช่นกัน
ผู้ ที่สนใจยาหอม สามารถเลือกหาได้ทุกตำรับจากยาร้านยาไทย โรงพยาบาลชุมชนที่ผลิตยาสมุนไพร ก็ได้ค่ะ
ดิฉันเชื่อว่า ยาหอมไทย จะช่วยเเก้ปัญหาสุขภาพทางจิตใจ สุขภาพทางกาย ให้ท่านได้ค่ะ เพราะว่า ยาหอมไทยมีสรรพคุณ บำรุงหัวใจ จะช่วยบำรุงหัวใจคนไทยให้เเข็งเเรงยิ่งขึ้นได้
เอกสารอ้างอิง:
1. มูลนิธิสุขภาพไทย.http://www.thaihof.org/content2
ขอสนับสนุนแนวคิดนี้อย่างมากนะคะ
และขอชื่นชมคุณหนอนน้อย ที่จัดทำบล๊อกที่เป็นประโยชน์ต่อวงการแพทย์แผนไทยค่ะ
ชื่นใจจริงๆค่ะ
ยาหอมหมอหวาน