"ร่วมคิด ร่วมเรียนรู้ สู้วิกฤตครอบครัวไทย" เป็นหัวข้อที่ได้รับมาจากหนังสือเชิญเข้าร่วมประชุม....เห็นเรื่องก็สนใจแล้ว พอดูมาถึงรายละเอียดกิจกรรม และศึกษาเจตนาอันมุ่งมั่นของทีมผู้จัด ..มูลนิธิเครือข่ายครอบครัว ที่จัดขึ้นเป็นครั้งที่ 2 เมื่อก.พ.ที่ผ่านมา วันที่ไปร่วมงานก็เดินทางเช้าจากนครสวรรค์ ไปถึงสถานทีจัดงาน..มสธ.นนทบุรี งานเริ่มตรงเวลาดี รูปแบบเรียบง่าย และมีเอกสารแจกฟรีเยอะมากๆ กิจกรรมแต่ละห้องย่อยมีการแลกเปลี่ยนแบบเป็นกันเอง ทั้งๆที่เป็นเวทีนำเสนอผลงานวิจัยเชิงคุณภาพของนักศึกษาสถาบันต่างๆ และช่วงบ่ายเป็นเวทีแลกเปลี่ยนในเรื่องครอบครัวแต่ละประเด็นให้เลือกเข้าฟังตามที่สนใจ เลยนำมาฝากได้บางประเด็นที่ได้เข้าไปรับฟังมา
สถานการณ์การแต่งงานที่เปลี่ยนแปลง
1.ชะลอเวลาในการเริ่มสร้างครอบครัว
2.โสดมากขึ้น
3.รูปแบบการแต่งงานเริ่มท้าทาย (อยู่ก่อนแต่ง)
4.การหย่าร้างเพิ่มขึ้น : ครอบครัวเลี้ยงเดี่ยว
จากข้อมูลนี้อนาคต..จะเกิดปัญหาอะไร ? เด็กรุ่นลูกเราๆก็แบกรับผู้สูงอายุที่อายุยืนยาวขึ้น และไม่มีลูกหลานมาดูแลตัวเอง เพราะโสดมากขึ้น
อ.ศิวพร ปกป้อง พูดถึง ครอบครัวสุขภาวะ
ที่ควรหยุด 4 เรื่องหลัก คือ อบายมุข หนี้สิน ความรุนแรง และการนอกใจ
และสร้าง 4 เรื่องหลัก คือ สื่อสารดี มีเวลาร่วมกัน แบ่งปันใส่ใจ และห่วงใยสุขภาพ
ความรัก และความเข้าใจ ในครอบครัว = ความสุขในครอบครัว
ความเข้าใจ = การสื่อสาร ร่วมพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันและกัน
นพ.สุริยเดว ทรีปาตี บรรยายถึง "ต้นทุนชีวิต" หมายถึง ปัจจัยสร้างหรือคุณลักษณะที่ดีที่ประกอบด้วยด้านจิตใจ สังคม วัฒนธรรมที่ส่งผลต่อกระบวนการคิด การตัดสินใจ และแสดงออกในรูปแบบพฤติกรรมต่างๆ ซึ่งเป็นผลมาจากการได้รับการเสริมสร้างให้เกิดขึ้นตั้งแต่แรกเกิดจนเติบโตเป็นผู้ใหญ่ ซึ่งการเสริมสร้างต้นทุนชีวิตเด็กและเยาวชนนี้ย่อมมาจากการได้รับอิทธิพลจากปัจจัยในตัวเด็กเอง และจากปัจจัยภายนอก อันได้แก่ ครอบครัว โรงเรียน เพื่อนและชุมชน ซึ่งหากสามารถควบคุมปัจจัยและเสริมสร้างปัจจัยให้เหมาะสมจะส่งผลต่อต้นทุนชีวิตที่ดีให้กับเด็ก
อาจารย์มีแบบประเมินแนบมาให้ เพื่อให้ประเมินต้นทุนชีวิต ในแต่ละด้าน
•พลังตัวตน
•พลังครอบครัว
•พลังสร้างปัญญา
•พลังชุมชน
•พลังเพื่อนและกิจกรรม
เมื่อทดสอบรู้จุดแข็ง จุดอ่อนก็นำมาวางแผนร่วมกันกำหนดกิจกรรมสร้างสรรค์ต่างๆ ที่ควรเป็นกิจกรรมเชิงบวก เพราะทุกคน ทุกวัย มีพลังและศักยภาพในตนเอง
จุดเปลี่ยนในวงจรชีวิตเด็ก 3 ช่วงสำคัญ
•แรกเกิด-6 ปี : สถาบันครอบครัว เป็นหัวใจสำคัญ
• 6-12 ปี : สถาบันครอบครัวและสถาบันการศึกษา เป็นหัวใจสำคัญ
•12-25 ปี : เพื่อน และชุมชน เป็นหัวใจสำคัญ
.................................................
เด็กวัย 3 ขวบปีแรก พ่อแม่รู้ทุกอย่าง
5 ปี พ่อแม่รู้เกือบทุกอย่าง
8 ปี พ่อแม่รู้เป็นส่วนใหญ่
12 ปี พ่อแม่ก็รู้บ้างเหมือนกัน
15 ปี พ่อแม่ไม่รู้อะไรเลย
20 ปี พ่อแม่ไม่ค่อยฉลาดนัก เราต้องสอนพ่อแม่
สรุปก็คือ จะสอนลูกก็ควรรีบสอนซะตั้งแต่ยังเล็ก โดยเฉพาะวัย 12 ปีแรกของชีวิต เพราะลูกยังเกี่ยวพันกับครอบครัว และศรัทธาในพ่อแม่ตนเอง
ตัวเรา : ก็ถูกเลี้ยงมาจากยายแบบครอบครัวเลี้ยงเดี่ยวเลย เพราะพ่อกับแม่เลิกกันตั้งแต่เรายังเป็นเด็กน้อย ติดยายไม่ติดแม่เลย มาสนิทกับแม่มากขึ้นก็สมัยทำงานแล้ว มีครอบครัวเป็นของตัวเองนี่ล่ะ มุมดีๆที่ได้จากยายก็มีมาก มุมดีๆที่ได้จากเป็นเด็กบ้านนอกก็ดีที่ได้ประสบการณ์ตรงของชีวิต ลงมือทำเอง ไม่ติดเกม ไม่ติดทีวี ไม่ติดเพื่อน เพราะบ้านนอกจะสงบ ชีวิตจะเรียบง่าย สบายๆ ไม่กดดัน แต่นี่คือบ้านนอกในอดีตเนาะ
พี่คนที่ 1 : ก็พูดถึงวิธีการเลี้ยงลูกของตนเองที่ค่อนข้างกำหนด เข้มงวด แล้วเจอว่าลูกต่อต้านด้วยการเฉย นิ่งเงียบ พี่เค้าก็เริ่มได้จุดประกายจากประเด็นการสื่อสารอย่างเข้าใจ ที่จะต้องกลับไปลองใช้ดู
น้องคนที่ 2 : อีกท่านก็เล่าถึงชีวิตตัวเองวัยเด็กที่ถูกเลี้ยงมาอย่างเข้มงวด โตขึ้นก็เลยติดมาเป็นบุคลิกปัจจุบัน แล้วยังเผลอไปเข้มงวดกับหลานอีกด้วย ปัญหาคือเมื่อเข้มงวดมาก เมื่อมีปัญหาก็จะไม่กลับไปเล่าให้ผู้ใหญ่ฟัง
ตัวเรา : นึกถึงสมัยเป็นเด็กเราจะถูกสอนให้เป็นเด็กดี ทำดี และเมื่อทำดีผู้ใหญ่ก็ชม แต่เมื่อทำไม่เหมาะเมื่อไหร่ผู้ใหญ่ก็จะเสียใจ และตำหนิเรา แต่สมัยเราเด็กๆ โดยเฉพาะสมัยมัธยมก็อดไม่ได้ที่อยากทำอะไรผิดระเบียบบ้าง เพราะมันรู้สึกว่าเท่ห์ดี แต่เรื่องแบบนี้เราก็จะไม่เล่าให้พ่อแม่ฟัง เพราะไม่อยากให้พ่อแม่เสียใจ สรุปเราก็จะไปเล่าสู่กันฟังกับเพื่อนในกลุ่ม เมื่อย้อนกลับมาดูรุ่นลูกหลานเราถ้าเมื่อไหร่ที่ลูกทำตัวออกนอกลู่ทางนิดหน่อย เราก็ควรรับฟังมุมดื้อ มุมนอกกรอบของลูกเรา เพื่อที่ให้ลูกกล้าพอที่จะเล่าให้เราฟังในทุกเรื่องทั้งมุมดี และไม่ดี