พระคัมภีร์กุรอ่านจะมีความเเตกต่างกับบรรดาคัมภีร์อื่นๆดังนี้ :
1-กุรอ่าน คือ คัมภีร์ล่าสุดเป็นสักขีพยานให้กับคัมภีร์อื่นจากฟากฟ้าก่อนกุรอ่าน ไม่มีการดัดแปลงแก้ไขแต่ประการใดในเรื่องการให้ความเอกภาพและการแสดงความภักดีต่อพระองค์อัลลอฮฺ อัลลอฮฺตรัสในคัมภีร์อัลกุรอาน ความว่า :
“และเราได้ให้คัมภีร์ ลงมาแก่เจ้าด้วยความจริงในฐานะเป็นที่ยืนยันคัมภีร์ที่อยู่เบื้อง หน้ามันและเป็นที่ควบคุมคัมภีร์(เบื้องหน้า) นั้น”( อัลมาอิดะฮฺ 48 )
2-อัลกุรอ่านได้ยกเลิกคำสั่งสอนที่ได้ถูกกล่าวมาในคัมภีร์ก่อนๆ อันเนื่องจากว่า กุรอ่านได้ครอบคลุมทุกหลักสั่งสอนของพระเจ้าและบทบัญญัติของพระองค์ ซึ่งถือว่าเป็นคัมภีร์เล่มล่าสุดที่คงอยู่ชั่วนิรันดร์และเหมาะสมกับทุกกาลเวลาและทุกสถานที่ อัลลอฮฺตรัสในคัมภีร์อัลกุรอาน ความว่า :
“วันนี้ข้าได้ให้ สมบูรณ์แก่พวกเจ้าแล้ว ซึ่งศาสนาของพวกเจ้าและข้าได้ให้ครบถ้วนแก่พวกเจ้าแล้ว ซึ่งความกรุณาเมตตาของข้า และข้าได้เลือกอิสลามให้เป็นศาสนาแก่พวกเจ้าแล้ว”( อัลมาอิดะฮฺ 3 )
3-กุรอ่านได้ถูกประทานลงมาเพื่อมนุษย์ทุกคนไม่เว้นใคร ไม่ใช่เฉพาะชนกลุ่มหนึ่งเท่านั้น อัลลอฮฺตรัสในคัมภีร์อัลกุรอาน ความว่า :
“อะลีฟ ลาม รอ คัมภีร์ที่เราได้ประทานลงมาแก่เจ้า เพื่อให้เจ้านำมนุษย์ออกจากความมืดมนทั้งหลาย สู่ความสว่าง ด้วยอนุมัติของพระเจ้าของพวกเขา.
( อิบรอฮีม 1 )
ส่วนคัมภีร์อื่นๆนอกจากกุรอ่านหากมีอะไรที่เหมือนกันในด้านรากฐานแท้ของศาสนา ก็เป็นเพียงคำสั่งสอนที่กล่าวเฉพาะคนที่เป็นกลุ่มเป้าหมายเท่านั้น ฉะนั้นจะเห็นได้ว่า คำสั่งสอนดังกล่าวก็แค่สำหรับชนเหล่านั้นเอง ในสมัยของพวกเขาโดยไม่สามารถทำการเผยแผ่ให้กับคนอื่นได้ ท่านมูซา ( โมเสส ) (ขอความสันติจงประสบแด่ท่าน) ได้กล่าวใน ไบเบิ้ล มาตตา 15/24 ความว่า :
“ฉันไม่ถูกส่งมานอกจากสำหรับคนโง่เง่าหลงใหลจากพวกอิสราเอลเท่านั้น”
4-กุรอ่านเป็นคัมภีร์ที่ต้องแสดงการภักดีด้วยการอ่านและท่องมัน ท่านศาสนทูตมุฮัมมัดกล่าว ความว่า : “คนใดที่อ่านแค่อักษรเดียวในคัมภีร์กุรอ่านเขาย่อมได้หนึ่งการตอบแทน และหนึ่งการตอบแทนที่ว่านี้เท่ากับสิบเท่าของมัน ฉันไม่ได้หมายความว่า : อะลีฟ ลาม มีม คือหนึ่งตัวอักษร แต่ฉันหมายความว่า : อะลีฟคือหนึ่ง ลามคือสอง และมีม คือ สาม ( ทั้งหมดสามตัวอักษร )”
5-อัลกุรอ่านจะครอบคลุมทุกบทบัญญัติที่สังคมอันทรงเกียรติต้องการ รีสต์เลอร์ ( J. S. Restler ) – หนึ่งในบรรดานักวิจัยฝรั่งเศส เป็นอาจารย์ในศูนย์การศึกษาแห่งหนึ่งในกรุงปารีส พวกเขาได้กล่าวยกย่องอิสลาม (อ้างจากหนังสือที่ชื่อ กอลู อะนิล อิสลาม ของ อิมาดุดดีน คอลีล หน้า 66) - เขากล่าวว่า แท้จริงแล้วอิสลามได้เสนอทุกแนวทางในการแก้ปัญหาของทุกเรื่อง เป็นตัวเชื่อมต่อกันระหว่างกฎหมายศาสนาและกฎหมายมารยาท สร้างสรรค์ระเบียบและความเป็นหนึ่งเดียวกันในสังคม ช่วยบรรเทาความเคราะห์ร้าย ความโหดเหี้ยม และความเหลวไหลทั้งปวง หมั่นเอาใจใส่คนอ่อนแอมาตลอด สั่งเสียให้ทำความดี สนับสนุนความเมตตา ฯลฯ ในแง่วิชาหลักศาสนาอิสลามได้ตั้งหลักการการทำงานร่วมกันอย่างละเอียดอ่อนมาก อีกทั้งอิสลามได้จัดระบบการทำสัญญาการค้าขายและจัดสรรมรดกอย่างครบถ้วนสมบูรณ์ ส่วนในด้านชีวิตครอบครัว อิสลามได้ตั้งพื้นฐานการปฏิบัติของแต่ละบุคคลต่อคนอื่นอื่น อาทิ ต่อทารกและเด็ก รวมทั้งการปฏิบัติต่อสัตว์และสิ่งมีชีวิตรอบตัว ตลอดจนเรื่องการเอาใจใส่เรื่องสุขภาพและการแต่งกายรายวัน เป็นต้น ฯลฯ
6-กุรอ่านคือคัมภีร์ที่เปรียบเสมือนหลักฐานทางประวัติศาสตร์บ่งบอกถึงขั้นตอนความเป็นมาของศาสนาถึงมือบรรดาศาสนทูตทั้งหลาย และแสดงถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นระหว่างพวกเขากับกลุ่มชนของพวกเขานับตั้งแต่สมัยศาสนทูตอาดัมจนถึงสมัยศาสนทูตคนสุดท้ายมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอลัยฮิวสัลลัม
7-อัลลอฮฺทรงรักษาคัมภีร์กุรอ่านให้รอดพ้นจากการกระทำที่สร้างความเสื่อมเสีย อาทิ การแก้ไขเพิ่มเติมหรือลดทอนให้น้อยลง การเปลี่ยนแปลงและดัดแปลง ทั้งนี้ก็เพราะต้องการให้กุรอ่านนั้นคงอยู่เคียงคู่มนุษย์ตลอดกาลในเเผ่นดิน ซึ่งเป็นมรดกจากอัลลอฮฺยังบ่าวพระองค์ อัลลอฮฺตรัสในคัมภีร์อัลกุรอาน ความว่า :
“แท้จริงเราได้ให้ข้อตักเตือน(อัลกุรอ่าน)ลงมา และแท้จริงเราเป็นผู้รักษามันอย่างแน่นอน” ( อัลฮิจรฺ 9 )
ส่วนบรรดาคัมภีร์อื่นนอกเหนือจากกุรอ่าน อัลลอฮฺไม่ทรงรับประกันการรักษาไว้ เพราะคัมภีร์เหล่านั้นถูกประทานลงมายังกลุ่มชนบางกลุ่มในระยะเวลาบางช่วงเท่านั้น ซึ่งบรรดาคัมภีร์เหล่านั้นได้ถูกบิดเบือนและดัดแปลง อัลลอฮฺ ได้กล่าวถึงการบิดเบือนของคัมภีร์เตารอตฺด้วยนํ้ามือพวกยิว ซึ่งความว่า :
“พวกเจ้ายังโลภที่จะให้พวกเขาศรัทธาต่อพวกเจ้าอีกกระนั้นหรือ ? ทั้ง ๆ ที่กลุ่มหนึ่งในพวกเขาเคยสดับฟังดำรัสอัลลอฮฺแล้วพวกเขาก็บิดเบือนมันเสีย หลังจากที่พวกเขาเข้าใจแล้ว ทั้ง ๆ ที่พวกเขาก็ตระหนักดีอยู่”( อัลบะเกาะเราะฮฺ 75 )
และอัลลอฮฺได้ตรัสถึงเรื่องราวการบิดเบือนของคัมภีร์ไบเบิ้ลด้วยนํ้ามือชาวคริสต์ ซึ่งความว่า :
“และ จากบรรดาผู้ที่กล่าวว่า พวกเราเป็นคริสต์นั้น เราได้เอาสัญญาจากพวกเขา แต่แล้วพวกเขาก็ลืมส่วนหนึ่งจากสิ่งที่พวกเขาถูกเตือนไว้ เราจึงได้ให้เกิดขึ้นระหว่างพวกเขาซึ่งการเป็นศัตรูและการเกลียดชังกันจนกระ ทั่งวันกิยามะฮ์ และอัลลอฮฺจะทรงบอกเขาเหล่านั้นถึงสิ่งที่เขาเหล่านั้นได้กระทำมาก่อน” บรรดาผู้ได้รับคัมภีร์ทั้งหลาย ! แท้จริงศาสนทูตอัลลอฮฺของเราได้มายังพวกเจ้าแล้ว โดยที่เขาจะแจกแจงแก่พวกเจ้า ซึ่งมากมายจากสิ่งที่พวกเจ้าปกปิดไว้จากคัมภีร์ และเขาจะระงับไว้มากมาย แท้จริงแสงสว่างจากอัลลอฮ์ และคัมภีร์อันชัดแจ้งนั้นได้มายังพวกเจ้าแล้ว
บรรดาผู้ได้รับคัมภีร์ทั้งหลาย ! แท้จริงศาสนทูตอัลลอฮฺของเราได้มายังพวกเจ้าแล้ว โดยที่เขาจะแจกแจงแก่พวกเจ้า ซึ่งมากมายจากสิ่งที่พวกเจ้าปกปิดไว้จากคัมภีร์ และเขาจะระงับไว้มากมาย แท้จริงแสงสว่างจากอัลลอฮฺ และคัมภีร์อันชัดแจ้งนั้นได้มายังพวกเจ้าแล้ว( อัลมาอิดะฮฺ 14-15 )
ตัวอย่างการบิดเบือนของชาวยิวและชาวคริสต์ที่มีต่อศาสนาของพวกเขา คือ การที่ชาวยิวอ้างว่า คนที่ชื่ออุซัยร์ เป็นบุตรชายของพระเจ้า และชาวคริสต์กล่าวอ้างว่า อีซา ( พระเยซูคริสต์ ) เป็นบุตรชายของพระเจ้า อัลลอฮฺตรัสในคัมภีร์อัลกุรอาน ความว่า :
“และ ชาวยิวได้กล่าวว่า อุซัยร์เป็นบุตรของอัลลอฮฺ และชาวคริสต์ได้กล่าวว่า อัล-มะซีห์เป็นบุตรของอัลลอฮฺ( หมายถึงท่านศาสนทูตอัลลอฮฺอีซา ) นั่นคือถ้อยคำที่พวกเขากล่าวขึ้นด้วยปากของพวกเขาเอง ซึ่งคล้ายกับถ้อยคำของบรรดาผู้ที่ได้ปฏิเสธการศรัทธามาก่อน ขออัลลอฮฺทรงละอฺนัตพวกเขาด้วยเถิด พวกเขาถูกหันเหไปได้อย่างไร?”( อัตเตาบะฮฺ 30 )
พระคัมภีร์กุรอ่านได้ตอบโต้และแก้ไขความเชื่อที่หลงผิดของพวกเขาในโองการของอัลลอฮฺ ซึ่งความว่า :
“จงกล่าวเถิด มุฮัมมัด พระองค์คืออัลลอฮฺผู้ทรงเอกะ อัลลอฮฺนั้นทรงเป็นที่พึ่ง พระองค์ไม่ประสูติ และไม่ทรงถูกประสูติ และไม่มีผู้ใดเสมอเหมือนพระองค์”( อัลอิคลาส 1-4 )
ด้วยหลักฐานข้างต้นนี้ บ่งบอกให้รู้ว่า คัมภีร์ไบเบิ้ลฉบับที่มีปัจจุบันมิใช่เป็นคำกล่าวของอัลลอฮฺ มิใช่เป็นคำกล่าวของพระเยซูคริสต์ ทว่ามันเป็นคำพูดของบรรดาผู้ตามและบรรดาลูกศิษย์ที่ได้ทำการจารึกประวัติของพระเยซูและคำสั่งเสียของท่าน โดยพวกเขาเหล่านั้นได้บิดเบือนและดัดแปลงเพื่อให้เข้ากับสถานการณ์บางอย่าง บาทหลวงคนหนึ่งที่ชื่อ ตี จี ตาเกร์ ( ดูหนังสือ อัลอิสลาม วัล มะซีเฮียะ /อิสลามและคริสต์ แต่งโดย อาซีซ อัศเศาะมัด ) เขากล่าวว่า
" ดังนั้น พระคัมภีร์ไบเบิ้ลได้ถูกนำเสนอสู่สายตาสังคมอย่างชัดเเจ้งเพื่อตอบสนองความต้องการในภาคปฏิบัติของคนในสังคมตามความประสงค์ที่สังคมใฝ่หา คัมภีร์ที่ว่านี้จะประกอบด้วยวัตถุทางวิชาการที่หนักแน่น แต่ทั้งนี้ในแก่นแท้ของมันได้รับการดัดแปลงและถูกบิดเบือนอย่างไม่ต้องสงสัย พร้อมทั้งได้ผ่านขั้นตอนการเติมใส่หรือลบออกในส่วนที่ไม่เหมาะกับเป้าหมายของผู้แต่ง มัน "
บทเรียนที่ได้จากการศรัทธาต่อบรรดาคัมภีร์ใีดังนี้
ไม่มีความเห็น