ปัจจุบันสังคมโลกได้เปลี่ยนจากยุคอุตสาหกรรมที่มีปัจจัยสำคัญในการแข่งขันคือ ทุน เข้าสู่ยุคที่ปัจจัยสำคัญของการแข่งขันคือ ความรู้ (Knowledge) ที่องค์การและผู้คนจำเป็นจะต้องรู้เท่าทันการเปลี่ยนแปลง สามารถที่จะนำประสบการณ์ ความรู้ ที่มีอยู่หลากหลายทั้งในตัวตน ในองค์การ หรือในตำรานำมาประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดโดยใช้เครื่องมือการจัดการความรู้ KM: Knowledge Management ผู้เขียนมีโอกาสดีที่ได้เกี่ยวข้อง สัมผัส พูดคุย แลกเปลี่ยนเรียนรู้ และนำเครื่องมือการจัดการความรู้ เข้ามาใช้ในการบริหารจัดการโรงเรียนและสอดแทรกไปในกระบวนการจัดการความรู้ของโรงเรียนจิระศาสตร์วิทยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา มาตั้งแต่ปี 2545 โดยท่านศาสตราจารย์นายแพทย์วิจารณ์ พานิช ผู้อำนวยการสถาบันส่งเสริมการจัดการความรู้เพื่อสังคม (สคส.) และคณะได้ถ่ายทอดศิลปวิทยาการ “การจัดการความรู้” ให้กับบรรดาผู้บริหารต้นแบบ การปฏิรูปการเรียนรู้ ของสำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา ซึ่งผู้เขียนได้มีโอกาสติดตามอาจารย์ ดร.จิระพันธุ์ พิมพ์พันธุ์ ผู้อำนวยการโรงเรียนจิระศาสตร์วิทยา ในฐานะผู้บริหารต้นแบบ เข้าร่วมประชุมสัมมนาด้วย เมื่อกลับมาถึงโรงเรียนมีโจทย์ใหญ่ข้อหนึ่งที่ผู้บริหารต้นแบบจะต้องแก้โจทย์ให้ได้คือ... สถานศึกษาจะมีกลยุทธ์อย่างไรที่จะทำให้การปฏิรูป การเรียนรู้บรรลุผลสู่ความสำเร็จ คำถามนี้ดูเหมือนง่ายแต่ท้าทายยิ่งนัก
ต่อมาโรงเรียนได้นำประสบการณ์ความรู้ ด้านการจัดการความรู้มาประยุกต์ใช้ในโรงเรียนจิระศาสตร์วิทยาอย่างจริงจัง เริ่มตั้งแต่ “การสร้างความเข้าใจ ให้ความสำคัญ และผลักดันคุณภาพ” แรกๆบุคลากรบางส่วนจะมีความรู้สึกว่าผู้บริหารเพิ่มงานใหม่ให้อีกแล้ว ต่อมาเมื่อทุกฝ่ายได้ลงมือปฏิบัติจริงก็ถึงบางอ้อว่า ที่แท้การจัดการความรู้ก็อยู่ในวิถีปฏิบัติงานประจำวันนั่นเอง กว่าจะถึงวันนี้ได้ก็ใช้เวลาพอสมควร อย่างไรก็ตามทางฝ่ายบริหารได้มองการณ์ไกล จึงได้ออกแบบแนวทางการจัดการความรู้สอดแทรกผสมผสาน ไปกับการปฏิบัติงานปกติของโรงเรียน ซึ่งคณะกรรมการทุกๆฝ่ายได้มีบทบาทในการจัดการความรู้อยู่เป็นประจำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ในการประชุมคณะกรรมการแต่ละคณะ เช่น
- ทุกวันจันทร์ เวลา 9.00-10.30 น. มีการประชุมคณะกรรมการสภาครู
- ทุกวันจันทร์ เวลา 16.30-17.30 น. มีการประชุมคณะครูระดับ ม.1-3
- ทุกวันอังคาร เวลา 16.30-17.30 น. มีการประชุมคณะครูระดับ อนุบาล 1-3
- ทุกวันพุธ เวลา 16.30-17.30 น. มีการประชุมคณะครูระดับ ป.1-3
- ทุกวันพฤหัสบดี เวลา 16.30-17.30 น. มีการประชุมคณะครูระดับ ป.4-6
- ทุกวันศุกร์ เวลา 9.00-10.30 น. มีการประชุมคณะกรรมการสายชั้น
การนำกิจกรรมการจัดการความรู้มาประยุกต์ใช้ในการประชุมของคณะกรรมการ ทุกคณะ ส่วนใหญ่คณะครูและบุคลากรซึ่งเป็น “คุณกิจ” ตัวจริงจะทำหน้าที่จัดกิจกรรมการการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ การนำเสนอผลงาน การสะท้อนปัญหาอุปสรรค แนวทางปรับปรุงแก้ไขการดำเนินงานของคณะกรรมการ/ฝ่ายต่างๆ โดยมีหัวหน้าระดับ/หัวหน้าสายชั้น ทำหน้าที่เป็น “คุณอำนวย” รวมทั้งมีเพื่อนครูทำหน้าที่เป็น “คุณลิขิต” ทำให้ได้รับความร่วมมือจากบุคลากรทุกฝ่ายภายในสถานศึกษาเป็นอย่างดี ต่อจากนั้นได้มีแนวความคิดว่าน่าจะมีการขยายประสบการณ์ความรู้ไปสู่สถานศึกษาเครือข่ายทั้งในระดับเขตพื้นที่การศึกษาในจังหวัดและต่างจังหวัด จึงมีการจัดกิจกรรม “ตลาดนัดความรู้” เกิดขึ้นที่โรงเรียน จิระศาสตร์วิทยา 2 ครั้ง ครั้งแรก จัดขึ้นเมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม 2549 และครั้งที่ 2 จัดขึ้นเมื่อวันที่ 4 กันยายน 2549 ทั้งสองครั้งได้รับความร่วมมือจากหน่วยงาน สถานศึกษา ส่งผู้แทนเข้าร่วมกิจกรรม ไม่น้อยกว่า 150 คน ผลที่ได้ท่านผู้อ่านสามารถสืบค้นข้อมูลได้จาก www.jirasart.com หรือwww.gotoknow.jirasart.or.th การดำเนินการจัดการความรู้ได้ขยายวงไปไกลถึงเครือข่ายความร่วมมือกับต่างประเทศ โดยเฉพาะประเทศญี่ปุ่นและนิวซีแลนด์โดยโรงเรียนได้จัดการศึกษาทางไกลระบบ TV.Conference ร่วมกับโรงเรียนนาฮาโตะ (Nahato School) ประเทศญี่ปุ่น 4 ครั้ง ครั้งที่ 3 เมื่อวันที่ 15-17 สิงหาคม 2549 มหาวิทยาลัยเกียวโตการศึกษา (Kyoto University of Education) และ มหาวิทยาลัยโอซาก้าการศึกษา (Osaka University of Education) ได้ส่งนักศึกษาปริญญาโท 6 คน และปริญญาตรี 3 คน รวมทั้งสิ้นจำนวน 9 คนมาฝึกประสบการณ์วิชาชีพครู โดยเข้าทำการสอนร่วมกับครูไทยพร้อมทั้งแลกเปลี่ยนศิลปวัฒนธรรมกับคณะครูนักเรียนในโรงเรียนจิระศาสตร์วิทยา ปรากฏว่าได้รับความร่วมมืออย่างดียิ่งนับเป็นมิติใหม่ในการจัดการศึกษาสู่สากล และ เมื่อวันที่ 17-18 มกราคม 2551 ได้มีการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์ระดับประถมศึกษา โดย Miss.Miyamoto Natsue ครูวิทยาศาสตร์ดีเด่นของโรงเรียน Sugaharashigasi ได้เดินทางมาสอนวิทยาศาสตร์ที่โรงเรียนของเราร่วมกับ Mr.Sazaki ซึ่งได้ถ่ายทอดเทคนิคการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์แนวใหม่ได้เป็นอย่างดี ส่วนความร่วมมือทางการศึกษากับประเทศอื่นๆ เช่น นิวซีแลนด์ อังกฤษ ฝรั่งเศส อิตาลี และสวิสเซอร์แลนด์นั้น ผู้เขียนได้เดินทางไปศึกษาดูงานด้านการศึกษาและองค์กรวิชาชีพครู เมื่อเร็วๆนี้ได้มีโอกาสพูดคุยแนวทางในการแลกเปลี่ยนเทคนิคแนวทางในการส่งเสริมการจัดการศึกษาของทั้งสองประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการจัดการอบรมหลักสูตรระยะสั้นสำหรับครูและผู้บริหาร รวมทั้งการฝึกอบรมรมหลักสูตร Promoting and Exercising a Culture of Peace and Respect for Multicultural Diversity ระหว่างวันที่ 29 กรกฎาคม ถึง 11 สิงหาคม 2552 ณ ศูนย์ฝึกอบรมซีมีโออินโนเทค ประเทศฟิลิปปินส์ ซึ่งผู้เขียนได้มีโอกาสแลกเปลี่ยนเรียนรู้หลักการ แนวคิด ที่เป็นประโยชน์อย่างหลากหลายร่วมกับบรรดาสมาชิกกลุ่มประเทศอาเซียน นับเป็นสถานศึกษาเครือข่ายระดับอาเซียนในการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ซึ่งจะมีบทบาทสำคัญยิ่งในการขับเคลื่อนกลุ่มประเทศอาเซียนให้เป็นหนึ่งเดียวใน ปี 2015 ที่จะมาถึงเร็ววันนี้
สำหรับการแลกเปลี่ยนเรียนรู้แนวทางการจัดการความรู้ที่ได้นำมาเล่าสู่กันฟังใน ครั้งนี้ถือว่าเป็นกรณีตัวอย่าง ผู้เขียนยังไม่กล้าพูดว่าเป็น Best Practices แต่ขอยืนยันว่าหน่วยงานสถานศึกษาสามารถนำไปประยุกต์ใช้ให้เหมาะสมกับสภาพและบริบทของตนเอง ในที่นี้ขอนำเสนอ 9 เทคนิคการจัดการความรู้ สู่...ความสำเร็จในการบริหารสถานศึกษา ดังนี้
1.การจัดการศึกษาทั้งในระบบ นอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย
- นอกจากการจัดการศึกษาในระบบแล้ว โรงเรียนยังได้ส่งเสริมให้นักเรียนได้รับการนอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย โดยจัดให้มีโครงการ "ห้องเรียน ในโลกกว้าง" โดยอำนวยความสะดวกแก่ครูและนักเรียนในการสืบค้นข้อมูล ความรู้จาก Internet จัดห้องสมุดเคลื่อนที่ และเชิญปราชญ์ภูมิปัญญาท้องถิ่นมาบรรยายให้ความรู้ และ สาธิตต่างๆ เช่น การสานพัด สานปลาตะเพียน ประดิษฐ์ดอกไม้จากโสน ทำหัวโขน เป็นต้นให้เป็นคณะครูและนักเรียนบุคคลแห่งการเรียนรู้และส่งผลถึงการเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ LO : Learning Organization ในที่สุด
2. การบริหารแบบมีส่วนร่วมและการกระจายอำนาจ
- ให้บุคลากรในโรงเรียนมีส่วนร่วมและมีการกระจายอำนาจการบริหาร
โดยการเลือกตั้งคณะกรรมการสภาครู คณะกรรมการสายชั้น คณะกรรมการฝ่าย 6 ฝ่าย เช่นฝ่ายวิชาการ, กิจการนักเรียน, บุคลากร, อาคาร-สถานที่, ธุรการ-การเงิน, และฝ่ายความสัมพันธ์กับชุมชน
- จัดระบบการบริหารงานตามวงจรเดมมิ่ง เพื่อให้การประสานงาน
ติดตาม ตรวจสอบ ปรับปรุงแก้ไขเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและเกิด ประสิทธิผล
- จัดประชุม สัมมนา ฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการ นำไปศึกษาดูงาน นิเทศ
ภายในให้คำปรึกษาและส่งเสริมการพัฒนาศักยภาพของครูอย่างต่อเนื่อง
- สร้างเครือข่ายผู้ปกครอง ระดมความคิดเห็น คำแนะนำข้อเสนอแนะ
แนวทางที่เป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาผู้เรียน และโรงเรียนโดยส่วนรวม
- ส่งเสริมให้คณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐานซึ่งประกอบด้วยผู้แทน
ครู ผู้แทนผู้ปกครอง ผู้แทนศิษย์เก่า และผู้ทรงคุณวุฒิ ได้มีบทบาท มีส่วนร่วมในการบริหารงานโรงเรียน
- คณะครูได้มีการจัดตั้งกลุ่ม STAR (Small Team Activity Relationship)
ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีสมาชิกประมาณ 4-5 คน มีวัตถุประสงค์เพื่อร่วมมือกันแก้ไขปัญหาและพัฒนาผู้เรียนที่อยู่ในความรับผิดชอบในสายชั้นของตนเอง เช่น การแก้ปัญหานักเรียนที่อ่านไม่คล่องเขียนไม่คล่อง การฝึกระเบียบวินัยและมารยาทการไหว้ เป็นต้น
- โรงเรียนจัดให้มีการพัฒนาบุคลากรอย่างต่อเนื่องโดยการจัดประชุม
อบรม สัมมนา ศึกษา-ดูงานด้านการเรียนการสอนทั้งในประเทศและต่างประเทศ
- จัดให้มีโครงการแลกเปลี่ยนครูและผู้บริหารกับสมาคมทางการศึกษา
ของประเทศสหรัฐอเมริกา "Hopkins Education Association" เป็นประจำทุกปี โดยมีครูและผู้บริหารโรงเรียนจิระศาสตร์วิทยา เดินทางไปศึกษาดูงานด้านการศึกษา ณ ประเทศสหรัฐอเมริกา ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ ปีละครั้ง
- จัดให้มีการประชุมคณะกรรมการสถานศึกษา เพื่อเสริมสร้างความรู้
ความเข้าใจในด้านการปฏิรูปการศึกษา และขอความร่วมมือจากคณะกรรมการสถานศึกษาในการเป็นวิทยากรภูมิปัญญาชาวบ้านให้การอบรมความรู้แก่นักเรียน เช่น ด้านพิพิธภัณฑ์เรือไทย โดย อาจารย์ไพฑูรย์ ขาวมาลา ด้านการสานพัด โดย อาจารย์ประสาน เสถียรพันธุ์ เป็นต้น
4. การส่งเสริมให้ครูจัดการเรียนรู้ตามแนวปฎิรูปการศึกษา
ในยุคที่กระทรวงศึกษาธิการได้มีการปฏิรูปการศึกษา คงปฏิเสธไม่ได้ว่าเงื่อนไข
ความสำเร็จหรือความล้มเหลวของการปฏิรูปการเรียนรู้อยู่ที่ “ผู้บริหาร ครูอาจารย์และบุคลากรที่มีส่วนเกี่ยวข้อง” เป็นสำคัญ ฉะนั้นโรงเรียนจึงกำหนดกลยุทธ์ให้มี “การปรับวิธีเรียนเปลี่ยนวิธีสอน”
- จากเดิมที่ครูทำหน้าที่เป็นผู้สอน ปรับเปลี่ยนเป็น ผู้อำนวยการจัดการ
ความรู้
- จากเดิมที่สอนในห้องเรียน ปรับเปลี่ยนเป็น จัดกิจกรรมการเรียนรู้
ในแหล่งเรียนรู้ทั้งในและนอกโรงเรียน
- จากเดิมที่สอนเป็นรายวิชา ปรับเปลี่ยนเป็น การบูรณาการหลากหลายกลุ่มสาระการเรียนรู้
- จากเดิมที่เคยวัดผลประเมินผลจากการสอบ ปรับเปลี่ยนเป็น การวัดผล
ประเมินผลตามสภาพจริงและหลากหลายวิธีเพื่อค้นหาและพัฒนาศักยภาพผู้เรียน
จะเห็นแล้วว่ากว่าจะปรับเปลี่ยนวัฒนธรรมองค์กรให้เป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ได้ ผู้บริหารจะต้องอดทดและใช้เวลาพอสมควร ทั้งนี้โดยอาศัยวิธีการ “สร้างความเข้าใจ ให้ความสำคัญ และผลักดันคุณภาพ” อย่างต่อเนื่อง จึงจะบังเกิดผลตามที่ต้องการ
สำหรับผลการดำเนินงานจัดกิจกรรมการเรียนการสอนที่ได้ดำเนินการมาโรงเรียนได้จัดให้มีการนำเสนอผลงานในเวทีศักยภาพนักเรียน (Child Show) และเวทีศักยภาพครู (Teachers Show) เพื่อเปิดโอกาสให้ทุกคนได้แสดงศักยภาพ รวมทั้งแลกเปลี่ยนเรียนรู้ซึ่งกันและกัน ซึ่งจัดขึ้นในช่วงปลายภาคเรียนที่ 1 ของทุกปี
5. การพัฒนานวัตกรรมการจัดการเรียนรู้โดยใช้โมเดลจิระศาสตร์ (JIRASART Teaching’s Model)
ส่งเสริมให้ครูร่วมกันระดมความคิดร่วมพัฒนานวัตกรรมการสอนโดยใช้โมเดลของโรงเรียน หรือ JIRASART Teaching's Model ซึ่งได้นำพยัญชนะต้นชื่อโรงเรียนภาษาอังกฤษ กำหนด ดังนี้
J มาจากคำว่า Joyfull to learning หมายถึง การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่ช่วยให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ มีโอกาสสร้างความรู้ด้วยตนเอง ทำให้ผู้เรียนมีความรู้ความเข้าใจและเกิดการเรียนรู้ที่มีความหมายต่อตนเอง และมีความสุขในการเรียน
I มาจากคำว่า Integrating knowledge หมายถึง การนำความรู้จากการศึกษาค้นคว้าข้อมูลจากแหล่งความรู้ที่หลากหลายมาบูรณาการสร้างเป็นองค์ความรู้ใหม่
R มาจากคำว่า Reflecting observation หมายถึง การสะท้อนความรู้สึก นึกคิดจากการสังเกต ออกมาเป็นคำพูด หรือการเขียนเพื่อสื่อสารให้ผู้อื่นรับรู้ เข้าใจ
A มาจากคำว่า Acting experimentation หมายถึง การลงมือปฏิบัติ/ ทดลองตามกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ เพื่อให้ได้มาซึ่งความรู้
S มาจากคำว่า Satisfaction หมายถึง ความภาคภูมิใจในผลงาน และการยอมรับความรู้ ความสามารถของตนเองและผู้อื่น
A มาจากคำว่า Achievement หมายถึง การมุ่งมั่นทำงานโดยใช้ความรู้ ความสามารถของตนเองและร่วมมือกับผู้อื่นดำเนินการจนสำเร็จ
R มาจากคำว่า Research & Development หมายถึง การค้นหาปัญหา ข้อบกพร่องของผลงานหรือการทำงานและหาทางปรับปรุงแก้ไขให้ดีขึ้น
T มาจากคำว่า Teamwork หมายถึง การรู้จักทำงานเป็นทีมร่วมกับบุคคลอื่น
ครูสามารถดำเนินการสอนตามโมเดลการสอนของโรงเรียนจิระศาสตร์ได้ดังนี้
1. ขั้นการให้ผู้เรียนเรียนรู้อย่างมีความสุข (Joyfull to Learning)
ขั้นนี้เป็นการใช้เกม เพลง หรือกิจกรรมประกอบบทเรียน ให้นักเรียนมีความกระตือรือร้นอยากเรียนและได้มีส่วนร่วมในการเรียนรู้จากประสบการณ์ตรง
2. ขั้นการบูรณาการความรู้ (Integrating Knowledge)
ขั้นนี้เป็นการทบทวนความรู้เดิมและการให้ความรู้ใหม่แก่นักเรียนโดยผู้เรียนจะต้องศึกษาและทำความเข้าใจกับข้อมูลความรู้ที่หามาได้
3. ขั้นการสะท้อนความรู้สึกนึกคิด (Reflecting Observation)
ขั้นนี้เป็นการสะท้อนความรู้สึกนึกคิดของผู้เรียน จากการสังเกตออกมาเป็นคำพูด หรือการเขียนเพื่อสื่อสารให้ผู้อื่นรับรู้ เข้าใจ
4. ขั้นการลงมือปฏิบัติ/ ทดลอง (Acting Experimentation)
ขั้นนี้เป็นขั้นที่ผู้เรียนจะได้เรียนรู้จากแหล่งเรียนรู้ ภูมิปัญญาท้องถิ่นและจะต้องได้ลงมือปฏิบัติจริง
5. ขั้นการสร้างความภาคภูมิใจในผลงาน (Satisfaction)
ขั้นนี้เป็นขั้นที่ผู้เรียนจะมีโอกาสพูดคุยแลกเปลี่ยนความรู้ที่ตนไปศึกษาค้นคว้ามา และอาจนำเสนอผลงานในรูปแบบการรายงาน หรือการจัดแสดงนิทรรศการ
6. ขั้นการดำเนินงานสู่ความสำเร็จ (Achievement)
ขั้นนี้เป็นการสรุปความรู้ที่ได้รับทั้งหมดทั้งความรู้เดิม และความรู้ใหม่และจัดสิ่งที่เรียนรู้ให้เป็นระบบระเบียบ เพื่อให้ผู้เรียนจดจำสิ่งที่เรียนรู้ได้ง่าย
7. ขั้นการวิจัยและพัฒนา (Research & Development)
ขั้นนี้เป็นการทบทวนผลงาน ผลการศึกษาค้นคว้าว่ามีปัญหา ข้อควรแก้ไขอะไรบ้างและหาแนวทางปรับปรุงพัฒนาให้ดีขึ้น
8. ขั้นการทำงานเป็นทีม (Teamwork)
ขั้นนี้เป็นการฝึกให้ผู้เรียนรู้จักการร่วมมือช่วยเหลือเกื้อกูลกันในด้านการเรียนและการทำงานร่วมกับผู้อื่น
- ส่งเสริมให้มีการประเมินครูแกนนำเพื่อเป็นครูต้นแบบการปฏิรูปการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนสำคัญที่สุด
- สนับสนุนให้มีการนิเทศภายในอย่างเป็นระบบและต่อเนื่อง โดยจัดให้มีการนิเทศโดยเพื่อนครู ผู้บริหาร และผู้ทรงคุณวุฒิ
6. การใช้ ICTส่งเสริมการบริหารและการจัดการเรียนรู้ในสถานศึกษา
ในยุคปัจจุบันเชื่อมั่นว่าหน่วยงานสถานศึกษาหลายแห่งได้นำสื่อเทคโนโลยีและ นวัตกรรมใหม่ๆเข้ามาใช้ในการบริหารจัดการและนำมาประยุคใช้ในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้มากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งโรงเรียนจิระศาสตร์วิทยา ได้จัดให้มีกิจกรรมการเรียนรู้ สู่โลกกว้างผ่านระบบ TV.Conference ร่วมกับสถานศึกษาในประเทศญี่ปุ่น การใช้เว็บจัดการความรู้ของสถาบันส่งเสริมการจัดการความรู้เพื่อสังคมหรือที่รู้จักกันดีในนามเว็บGotoknow นับได้ว่าเป็นคลังความรู้อันทรงพลังที่ผู้บริหาร ครูอาจารย์ นักการศึกษาและผู้เกี่ยวข้องสามารถจะเข้าถึงข้อมูล ข่าวสาร ผลงานและได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้ประสบการณ์ ความรู้อย่างกว้างขวาง
7. หลากหลายเทคนิควิธีดึงชุมชนสู่สถานศึกษา
การจัดการสมัยใหม่ได้ให้ความสำคัญกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย (Stakeholder) และลูกค้า (Customer) เป็นสำคัญ ในที่นี้หมายถึงชุมชนคือกลุ่มเป้าหมายสำคัญที่จะผลักดันสนับสนุนส่งเสริมช่วยเหลือให้การดำเนินงานของโรงเรียนประสบความสำเร็จ ฉะนั้นแนวดำเนินการในการดึงศักยภาพของชุมชนเข้ามาสู่สถานศึกษา จึงสามารถดำเนินการได้ดังนี้
ประการแรก โรงเรียนมีการสื่อสารถึงผู้ปกครองอย่างสม่ำเสมอผ่านทางจดหมายข่าว วารสาร “จิระศาสตร์สัมพันธ์” ของโรงเรียน เว็บไซต์ www.jirasart.com การจัดประชุมผู้ปกครอง การออกพบปะเยี่ยมนักเรียน เป็นต้น
ประการที่สอง โรงเรียนได้เปิดโอกาสให้ผู้ปกครองและชุมชนเข้ามาใช้บริเวณอาคารสถานที่ของโรงเรียนในการจัดกิจกรรมพบปะสังสรรค์ ประชุม อบรม สัมมนา หรือสาธิต กิจกรรม OTOP โดยสถานศึกษาคิดค่าใช้จ่ายในราคาถูกหรือเป็นการให้เปล่า ซึ่งจะทำให้ผู้ปกครองและชุมชนได้รับความสะดวกและเกิดความพึงพอใจในการให้บริการของสถานศึกษาและพร้อมที่จะให้การสนับสนุนโรงเรียนในโอกาสอันควร นอกจากนั้นยังเปิดโอกาสให้หน่วยงานสถานศึกษาทั้งภาครัฐและเอกชนทั้งในประเทศและต่างประเทศเข้าเยี่ยมชม ศึกษา-ดูงาน แลกเปลี่ยนเรียนรู้กับคณะผู้บริหารครู อาจารย์ บุคลากรและนักเรียนโรงเรียนจิระศาสตร์วิทยา เป็นประจำทุกปีๆละไม่น้อยกว่า 100 คณะ (จำนวนกว่า 1,000 คน)
ประการสุดท้าย การเข้าร่วมกิจกรรมต่างๆในวันสำคัญเกี่ยวกับชาติ ศาสนาพระมหากษัตริย์ที่หน่วยราชการหรือหน่วยงานเอกชนจัดขึ้น โรงเรียนต้องให้ความสำคัญโดยการนำคณะครู บุคลากรและนักเรียนเข้าร่วมงานอย่างสม่ำเสมอจนกลายเป็น สัญลักษณ์วัฒนธรรมองค์กรดังคำกล่าวที่ว่า... “พร้อมเพรียง เกรียงไกร ไฉไลต้องจิระศาสตร์” นอกจากจะเป็นความร่วมมือกับชุมชนแล้วยังเป็นการประชาสัมพันธ์โรงเรียนทางอ้อมที่ไม่ต้องลงทุนโฆษณาประชาสัมพันธ์มากมายนัก
8. การส่งเสริมการใช้แหล่งเรียนรู้ภายในและภายนอกสถานศึกษา
ด้วยข้อจำกัดของการจัดประสบการณ์การเรียนรู้จากประสบการณ์ตรง คงไม่มีสถานศึกษาใดที่สามารถนำทุกสิ่งทุกอย่างมาไว้ที่โรงเรียนเพื่อให้นักเรียนได้ศึกษา เรียนรู้ ฉะนั้นสิ่งที่ครูและผู้บริหารได้วางแผนร่วมกันคือ การสำรวจแหล่งเรียนรู้ ภูมิปัญญาท้องถิ่น และจัดพิมพ์เป็นทำเนียบแหล่งเรียนรู้ เพื่อให้ง่ายต่อการสืบค้นหรือประสานงานในการสนับสนุนส่งเสริมการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ในลักษณะบูรณาการ ซึ่งในแต่ละท้องถิ่นจะมีแหล่งเรียนรู้และภูมิปัญญาท้องถิ่นที่หลากหลาย โดยเฉพาะจังหวัดพระนครศรีอยุธยานับว่าโชคดีที่มีสินทรัพย์ทางปัญญา และมรดกอันล้ำค่าที่องค์การยูเนสโกประกาศยกย่องให้เป็น “มรดกโลกทางด้านวัฒนธรรม” ดังนั้นการจะจัดกิจกรรมแลกเปลี่ยนเรียนรู้ หรือการนำนักเรียน ไปสัมผัส ศึกษา เรียนรู้จากประสบการณ์ตรงจึงเป็นการเติมเต็มประสบการณ์ความรู้ให้กับผู้เรียนโดยตรง
กรณีตัวอย่างแหล่งเรียนรู้/ ภูมิปัญญาท้องถิ่น ในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ที่คณะครูโรงเรียนจิระศาสตร์วิทยาเคยนำนักเรียนไปศึกษาเรียนรู้ อยู่เป็นประจำ เช่น
- ศูนย์ศึกษาประวัติศาสตร์อยุธยา
- พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติเจ้าสามพระยา
- พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติจันทรเกษม
- พิพิธภัณฑ์เรือไทย (อาจารย์ไพฑูรย์ ขาวมาลา)
- อุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา
- ศูนย์การเรียนรู้ธรรมชาติ สนองแนวพระราชดำริ “เศรษฐกิจพอเพียง” เป็นต้น
แนวทางการดำเนินงานที่ครูหรือผู้เกี่ยวข้องควรทราบ มีดังนี้
1) ควรมีการประสานงานและวางแผนร่วมกันระหว่างสถานศึกษากับแหล่งเรียนรู้/ ภูมิปัญญาท้องถิ่นเป็นการล่วงหน้า
2) ควรให้นักเรียนได้มีส่วนร่วมในการออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้ในลักษณะบูรณาการร่วมกับครูผู้สอน
3) ในระหว่างจัดกิจกรรมการเรียนรู้ควรเปิดโอกาสให้นักเรียนได้ฝึกทักษะกระบวนการกลุ่ม ช่วยกันสืบค้นข้อมูล ความรู้ โดยมีครูและภูมิปัญญาท้องถิ่นทำหน้าที่ให้คำปรึกษา
4) หลังจากเสร็จกิจกรรมควรมีการนำเสนอผลงานกลุ่มของนักเรียน และให้นักเรียนมีการประเมินผลงานของตนเอง ประเมินโดยครู และประเมินโดยผู้เกี่ยวข้อง เช่นภูมิปัญญาท้องถิ่น เป็นต้น
5) ข้อควรปฏิบัติในการจัดกิจกรรมแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ควรเปิดโอกาสให้นักเรียนได้แสดงบทบาทของคุณกิจ คุณลิขิต และมีครูหรือผู้บริหารทำหน้าที่เป็นคุณเอื้อ คุณอำนวยอย่างแท้จริง
9. การดำเนินงานระบบช่วยเหลือดูแลนักเรียน
ครูหรือผู้บริหารย่อมทราบดีอยู่แล้วว่า จิตวิทยาการจัดการเรียนรู้ต้องคำนึงถึง
ความแตกต่างระหว่างบุคคล และต้องเชื่อว่าผู้เรียนทุกคนสามารถพัฒนาได้ ดังนั้นในการจัดระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนจึงมีความจำเป็นและควรให้ความสำคัญไม่แพ้การดำเนินงานด้านการเรียนการสอนและอื่นๆ ระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนที่โรงเรียนนำมาใช้ มีดังนี้
1) ระบบครูคู่มิตร เป็นการจัดครูประจำชั้นหรือครูประจำวิชาที่มีห้องใกล้กันช่วยกันสอดส่องดูแลพฤติกรรมการเรียน การเข้าร่วมกิจกรรมที่ไม่พึงประสงค์ของนักเรียน เพื่อเป็นการป้องปราม หรือป้องกันปัญหาไว้เป็นการล่วงหน้า
การจัดกิจกรรมลักษณะนี้จะมีการเตือน มีการออกใบเตือนนักเรียนโดยให้ ใบเหลือง, ใบแดง ตามควรแก่กรณี เช่น กรณีความผิดเล็กน้อยอาจมีการตักเตือนแล้วให้ใบเหลือง ส่วนการให้ใบแดงมักจะไม่พบ ทั้งนี้เพราะนักเรียนที่เคยได้ใบเหลืองจะระมัดระวัง หรือนักเรียนจะเกรงกลัวความผิดและไม่อยากถูกลงโทษโดยการให้ใบแดง นั่นหมายถึงตัวเองและผู้ปกครองจะเดือดร้อนด้วย
2) ระบบเพื่อนช่วยเพื่อนและพี่ช่วยน้อง เป็นการปลูกฝังจิตสำนึกให้นักเรียนดูแลช่วยเหลือกันเอง ภายใต้การดำเนินงานของคณะกรรมการสภานักเรียน และสโมสรอินเตอร์แรคท์โรงเรียนจิระศาสตร์วิทยา ซึ่งจะทำหน้าที่แนะนำช่วยเหลือ สอดส่องดูแล รายงานพฤติกรรมนักเรียนที่ไม่พึงประสงค์ให้ครูทราบ
3) ระบบผู้ปกครองเครือข่าย เป็นการขอความร่วมมือจากตัวแทนผู้ปกครองนักเรียนแต่ละระดับ แต่ละช่วงชั้น ซึ่งมีจำนวน 234 คน ทำหน้าที่สอดส่องดูแลพฤติกรรมนักเรียนนอกโรงเรียน และรายงานให้ครูหรือผู้บริหารทราบ พร้อมทั้งในคำแนะนำ ปรึกษา ในการสนับสนุนส่งเสริมการจัดกิจกรรมพัฒนาผู้เรียนด้วย
4) ระบบเยี่ยมยามถามข่าว เป็นการจัดครูประจำชั้น หรือครูที่ปรึกษาร่วมกับผู้บริหารและกรรมการฝ่ายสัมพันธ์กับชุมชนออกพบปะ เยี่ยมเยียน ผู้ปกครองและนักเรียนในชุมชน หมู่บ้านที่นักเรียนอาศัยอยู่ ซึ่งกระจัดกระจายอยู่ตามตำบลอำเภอต่างๆในจังหวัดพระนครศรีอยุธยาและจังหวัดใกล้เคียง ทำให้ได้รับทราบข้อมูล ข่าวสาร สภาพปัญหา ความต้องการของผู้ปกครองและนักเรียนอย่างแท้จริง และนำไปสู่ความร่วมมือในการแก้ปัญหาและพัฒนานักเรียนอย่างต่อเนื่อง
การจัดการความรู้ร่วมกันของผู้บริหาร ครูอาจารย์ นักเรียน และบุคลากรทางการศึกษา จากวันนั้นถึงวันนี้แม้จะมีความสำเร็จไม่สมบูรณ์ร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่สภาพที่เห็นเด่นชัดหลังจากที่มีการจัดกิจกรรมแลกเปลี่ยนเรียนรู้ พบว่า สิ่งที่อยู่ในความทรงจำของทุกคนคงจะไม่พ้นความรู้สึกดีดีในไมตรีจิตมิตรภาพ การรู้จักยอมรับความคิดเห็น รู้จักให้เกียรติซึ่งกันและกัน รวมถึงการทำงานร่วมกันเป็นทีม
วันเวลาแห่งการจัดการความรู้ได้ดำเนินการควบคู่กับกิจวัตรประจำวันของสถานศึกษา จนกลายเป็นวัฒนธรรมองค์กรแห่งการเรียนรู้ ซึ่งยังคงดำเนินการอยู่และจะต้องปรับปรุงพัฒนาให้เจริญก้าวหน้าต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง ภายใต้พลังขับเลื่อนของภาคี เครือข่ายการจัดการความรู้ที่กระจายอยู่ทุกภาคส่วนทั้งในประเทศและต่างประเทศ
ความสำเร็จและความก้าวหน้าทั้งหลายจะเกิดขึ้นไม่ได้หากไม่ได้รับความอนุเคราะห์สนับสนุน ส่งเสริมเป็นกำลังใจและให้ความช่วยเหลือด้วยดีมาโดยตลอดจาก สคส. (สถาบันส่งเสริมการจัดการความรู้เพื่อสังคม) ซึ่งจะดำรงคงอยู่คู่วงการจัดการความรู้ของไทยตลอดไป และผมมีความเชื่อมั่นว่า “การจัดการความรู้ จะไม่มีวันประสบความสำเร็จได้เลย หากหน่วยงาน สถานศึกษายังไม่ได้ลงมือปฏิบัติจัดการความรู้อย่างจริงจัง”
ถึงเวลาแล้วหรือยังครับที่เราจะมาร่วมกันขับเคลื่อนการจัดการศึกษาของประเทศไทยไปสู่เป้าหมายความสำเร็จในการปฏิรูปการศึกษารอบที่สอง ท่ามกลางระบบเศรษฐกิจสังคมฐานความรู้ โดยใช้ KM เป็นเครื่องมืออันทรงพลานุภาพ ®
เอกสารอ้างอิง
ปฐมพงศ์ ศุภเลิศ. (2545) รายงานการวิจัย “กลยุทธ์การพัฒนาสถานศึกษาเอกชน
เพื่อส่งเสริมการปฏิรูปการเรียนรู้” (เอกสารอัดสำเนา)
ปฐมพงศ์ ศุภเลิศ. (2548) จิระศาสตร์วิทยา สถานศึกษาแห่งการเรียนรู้. สถาบัน
ส่งเสริมการจัดการความรู้เพื่อสังคม (สคส.)
ปฐมพงศ์ ศุภเลิศ. (2548) การจัดการความรู้สู่ความเป็นเลิศในสถานศึกษา. วิทยา
จารย์ ปีที่ 104ฉบับที่ 2 มีนาคม 2548 บรัทโอเอส พริ้นติ้งเฮาส์ จำกัด
ปฐมพงศ์ ศุภเลิศ. (2549) “การจัดการความรู้ 9 เทคนิควิธีสู่ความสำเร็จในการบริหาร
สถานศึกษา”วารสารจิระศาสตร์สัมพันธ์ ฉบับที่ 5 ปีการศึกษา 2549
โรงพิมพ์เอดิสัน เพรสโพรดักส์
ปฐมพงศ์ ศุภเลิศ. (2550). การจัดการความรู้ Knowledge Management.
พระนครศรีอยุธยา : โรงพิมพ์เทียนวัฒนา
วิวัฒน์ คติธรรมนิตย์ (2549) “วิถีสู่ดวงดาวของชาวจิระศาสตร์” วารสารจิระศาสตร์
สัมพันธ์ ฉบับที่ 3 ปีการศึกษา 2548 โรงพิมพ์เอดิสัน เพรส โพรดักส์
สถาบันส่งเสริมการจัดการความรู้เพื่อสังคม. (2548) “การจัดการความรู้ บนพื้นฐานการ
จัดการศึกษานอกกรอบกะลา” วารสารจิระศาสตร์สัมพันธ์ ฉบับที่ 4 ปีการ
ศึกษา 2548 โรงพิมพ์เอดิสัน เพรสโพรดักส์
ไม่มีความเห็น