หมวด
5
การบริหารและการจัดการศึกษา
ที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์มากว่าเป็นการปฏิรูปที่โครงสร้างมากกว่าปฏิรูปที่สถานศึกษา(ปฏิรูปการเรียนรู้)
และการปรับโครงสร้างการศึกษาครั้งนี้ทำให้เกิดการเรียกร้องสิทธิประโยชน์ของกลุ่มบุคลากรต่างๆตามมามากมาย
เช่น การขอแยกเขตพื้นที่ประถม มัธยม เป็นต้น จนต้องมีการแก้ไข
พรบ.กันใหม่ ตอนนี้ร่าง พรบ.3 ฉบับใหม่ ได้ผ่าน
ครม.เพื่อเข้าสู่สภาในสมัยประชุมนี้แล้ว คือ 1.ร่างพรบ.การศึกษาแห่งชาติ
พ.ศ.....ซึ่งปรับแก้ให้มีเขตพื้นที่การศึกษาประถม และมัธยม แยกจากกัน
2.ร่างพรบ.ระเบียบกระทรวงศึกษาธิการ พ.ศ... ปรับโครงสร้าง
ศธ.ให้เป็นไปตามร่าง พรบ.ข้อที่ 1 และ
3.ร่างพรบ.ระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา
พ.ศ....ปรับเรื่อง ผู้แทนใน อ.ก.ค.ศ.เขตพื้นที่ให้มีฝ่ายประถมและมัธยม
ตามร่าง พรบ.ข้อ 1 นี่คือความคืบหน้าในการปรับแก้
พรบ.เท่าที่ผมได้ทราบความก้าวหน้า
มาดูสาระสำคัญของหมวดที่ 5 ใน 3
ส่วนกันว่ามีอะไรบ้าง
ส่วนที่ 1
การบริหารและการจัดการศึกษาของรัฐ แบ่งเป็นสามระดับ
คือ ระดับชาติ(ส่วนกลาง) ระดับเขตพื้นที่การศึกษาและระดับสถานศึกษา
เพื่อเป็นการกระจายอำนาจ ลงไปสู่ท้องถิ่น
และสถานศึกษาให้มากที่สุด
กระทรวง มีองค์กรหลักที่เป็นคณะ
บุคคลในรูปสภาหรือคณะกรรมการสี่องค์กร คือ สภาการศึกษา คณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน
คณะกรรมการอาชีวศึกษา และคณะกรรมการการอุดมศึกษา
ให้สำนักงานของทั้งสี่องค์กรเป็นนิติบุคคล มีคณะกรรมการแต่ละองค์กร
ประกอบด้วยกรรมการ โดยตำแหน่งจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
ผู้แทนองค์กรเอกชน ผู้แทนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
ผู้แทนองค์กรวิชาชีพ
และผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งมีจำนวนไม่น้อยกว่าจำนวนกรรมการประเภทอื่นรวมกัน
มีเลขาธิการของแต่ละสำนักงาน เป็นกรรมการและเลขานุการ
ตัวอย่างเช่น คณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน
มีหน้าที่พิจารณาเสนอนโยบาย แผน พัฒนา
มาตรฐานและหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานที่สอดคล้องกับแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
และแผนการศึกษาแห่งชาติ การสนับสนุนทรัพยากร การติดตาม ตรวจสอบ
และประเมินผลการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐาน
การบริหารและการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานและการอุดมศึกษาระดับต่ำ
กว่าปริญญา ระดับเขตพื้นที่การศึกษา
ให้ยึดเขตพื้นที่การศึกษาโดยคำนึงถึงปริมาณสถานศึกษา และจำนวนประชากร
วัฒนธรรม และความเหมาะสมด้านอื่นๆด้วย
เว้นแต่การจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานว่าด้วยการอาชีวศึกษา
ปัจจุบันมีสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาทั่วประเทศ 185 เขตพื้นที่
ในแต่ละเขตพื้นที่การศึกษาให้มีคณะกรรมการและสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา
ทำหน้าที่ในการกำกับดูแล จัดตั้ง ยุบ รวม
หรือเลิกสถานศึกษาขั้นพื้นฐานในเขตพื้นที่
ประสานและส่งเสริมการศึกษาเอกชน
องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นให้สามารถจัดการศึกษาสอดคล้องกับนโยบายและมาตรฐานการศึกษา
ส่งเสริมและสนับสนุนการจัดการศึกษาของบุคคล ครอบครัว องค์กรชุมชน
องค์กรเอกชน องค์กรวิชาชีพ สถาบันศาสนา สถานประกอบการ
และสถาบันสังคมอื่นที่จัดการศึกษาในรูปแบบที่หลากหลาย
คณะกรรมการเขตพื้นที่การศึกษา
ประกอบด้วยผู้แทนองค์กรชุมชน ผู้แทนองค์กรเอกชน
ผู้แทนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ผู้แทนสมาคมผู้ประกอบวิชาชีพครู
และผู้ประกอบวิชาชีพบริหารการศึกษา ผู้แทนสมาคมผู้ปกครองและครู
ผู้นำทางศาสนาและผู้ทรงคุณวุฒิด้านการศึกษา ศาสนา ศิลปวัฒนธรรม
โดยให้ผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาเป็นกรรมการและเลขานุการของคณะกรรมการ
ระดับสถานศึกษา
ให้แต่ละสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน และสถานศึกษาอุดมศึกษาระดับ
ต่ำกว่าปริญญา มีคณะกรรมการสถานศึกษา
เพื่อทำหน้าที่กำกับและส่งเสริมสนับสนุนกิจการของสถานศึกษา
คณะกรรมการสถานศึกษาประกอบด้วย ผู้แทน ผู้ปกครอง ผู้แทนครู
ผู้แทนองค์กรชุมชน ผู้แทนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
ผู้แทนศิษย์เก่าของสถานศึกษา
ผู้แทนพระภิกษุสงฆ์และหรือผู้แทนองค์กรศาสนาอื่นในพื้นที่
และผู้ทรงคุณวุฒิ และให้ผู้บริหารสถานศึกษาเป็น
กรรมการและเลขานุการของคณะกรรมการ
ให้กระทรวงกระจายอำนาจการบริหารและการจัดการศึกษา ทั้งด้านวิชาการ
งบประมาณ การบริหารงานบุคคล
และการบริหารทั่วไปไปยังคณะกรรมการและสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาและสถานศึกษาในเขตพื้นที่การศึกษาโดยตรง
ส่วนที่ 2
การบริหารและการจัดการศึกษาขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
ให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจัดการศึกษาได้ทุกระดับและทุกประเภทตามความพร้อม
ความเหมาะสมและความต้องการภายในท้องถิ่น
เพื่อเป็นการรองรับสิทธิและการมีส่วนร่วมในการจัดการศึกษาขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
ตามที่กำหนดในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
โดยกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการประเมินความพร้อม
รวมทั้งประสานและส่งเสริมให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นสามารถจัดการศึกษาได้
ขณะเดียวกันกระทรวงมหาดไทยก็ออก พระราชบัญญัติกำหนดแผนและขั้นตอนการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
พ.ศ.2542 ซึ่งออกปีเดียวกันกับ พรบ.การศึกษาแห่งชาติ
และเขามีแผนและขั้นตอนการกระจายอำนาจที่ชัดเจนกว่าเขาจึงเร่งรัด
ศธ.ให้ออกกฎหมายในระดับปฏิบัติให้เป็นไปตาม พรบ.อีกหลายฉบับคือ
1)กฏกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการกระจายอำนาจการบริหารและการจัดการศึกษา
พ.ศ.2550
2)
กฏกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการประเมินความพร้อมในการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น(ฉบับที่
2) พ.ศ.2549
3)
ประกาศกระทรวงศึกษาธิการ เรื่องหลักเกณฑ์ วิธีการ เงื่อนไข ตัวชี้วัด
และระดับคุณภาพ
ในการประเมินความ
พร้อมในการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
พ.ศ.2547
4)
ประกาศกระทรวงศึกษาธิการ เรื่อง แก้ไขบัญชีรายละเอียด 3
แนบท้ายประกาศกระทรวงศึกษาธิการ เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการ เงื่อนไข
ตัวชี้วัด
และระดับคุณภาพในการประเมินความพร้อมในการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐาน
ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ.2547
5)
ประกาศกระทรวงศึกษาธิการ
เรื่องวิธีการและเงื่อนไขการแสดงถึงความสมัครใจให้โอนสถานศึกษาขั้นพื้นฐานไปสังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
พ.ศ.2549
ส่วนที่ 3
การบริหารและการจัดการศึกษาของเอกชน
สถานศึกษาเอกชนเป็นนิติบุคคลจัดการศึกษาได้ทุกระดับและทุกประเภท
มีคณะกรรมการบริหาร ประกอบด้วยผู้บริหารสถานศึกษาเอกชน ผู้รับใบอนุญาต
ผู้แทนผู้ปกครอง ผู้แทนองค์กรชุมชน ผู้แทนครู
ผู้แทนศิษย์เก่าและผู้ทรงคุณวุฒิ
การบริหารและการจัดการศึกษาของเอกชนให้มีความเป็นอิสระ โดยมีการกำกับ
ติดตาม ประเมินคุณภาพและมาตรฐานการศึกษาจากรัฐ
และต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์การประเมินคุณภาพและมาตรฐานการศึกษาเช่นเดียวกับสถานศึกษาของรัฐ
รวมทั้งรัฐต้องให้การสนับสนุนด้านวิชาการและด้านเงินอุดหนุน
การลดหย่อนหรือยกเว้นภาษี รวมทั้งสิทธิประโยชน์อื่นตามความเหมาะสม
ทั้งนี้
การกำหนดนโยบายและแผนการจัดการศึกษาของรัฐของเขตพื้นที่การศึกษา
หรือขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นให้คำนึงถึงผลกระทบต่อการจัดการศึกษาของเอกชน
โดยให้รับฟังความคิดเห็นของเอกชน และประชาชนประกอบการพิจารณาด้วย
ส่วนสถานศึกษาของเอกชนระดับปริญญา
ให้ดำเนินกิจการโดยอิสระภายใต้การกำกับดูแลของสภาสถานศึกษาตามกฎหมายว่าด้วยสถาบันอุดมศึกษาเอกชน
พ.ศ.2550
จึงสามารถออกพระราชบัญญัติโรงเรียนเอกชน
พ.ศ.2550 ได้
จึงทำให้การบริหารและการจัดการศึกษาเอกชนมีความชัดเจนขึ้นมาอีกระดับหนึ่ง
ตามมาเรียนรู้ครับ
ครูสนใจแต่เรื่อง พรบ.การศึกษาว่าเปลี่ยนแปลฃอย่างไร ลืมการเรียนการสอน