ซาบซึ้งกับคำว่าตายดีแล้ว


“ถ้าย่าเป็นอะไรไม่ต้องพาย่าไปโรงพยาบาล ย่าอยากอยู่บ้านกับลูกหลาน”

          ว่างเว้นไปจากการเขียนบันทึกเสียนาน  เนื่องจากต้องเตรียมการสอนนักเรียนแพทย์  ในขณะที่วุ่นๆอยู่กับเรื่องสอนนักเรียนแพทย์  ก็ต้องสูญเสียคนรักยิ่งไป  แต่การจากไปของย่าทำให้เราได้ซาบซึ้งกับคำที่เราได้ฟังและได้สอนคนอื่นไว้มากมายว่าตายดีเป็นอย่างไร  แต่วันนี้ได้ประสบกับตนเองแล้ว  ก็อยากมาร่วมแชร์ประสบการณ์ให้คนอื่นฟังด้วย  

         ย่าเลี้ยงเรามาตั้งแต่เล็กๆ แต่พอโตขึ้นเรียนหนังสือไกลบ้านก็ต้องห่างย่าไปบ้าง  แต่ทุกครั้งที่กลับบ้านก็จะต้องแวะไปเยี่ยมเสมอ  ย่าเป็นคนอารมณ์ดี  มักจะมีนิทานหรือเรื่องราวมาเล่าให้ลูกๆ หลานๆ ฟังเสมอ  ย่าเป็นคนมีสุขภาพแข็งแรงมาก  ไม่เคยมีโรคประจำตัวอะไรเลย  ยาประจำตัวมีเพียงแต่ วิตามิน  B complex  และวิตามิน  B complex ที่ไหนก็จะไม่ดีเท่าที่หมอหลานสาวนำมาให้เลย  ถ้าคนอื่นซื้อมาให้ย่าจะบอกว่ายาไม่ดีต้องให้เราเอามาให้  ทั้งๆที่เราก็ซื้อมาจากที่เดียวกันนั่นแหละ  มีคนหลายคนสงสัยในความแข็งแรงของคุณย่า  เพราะด้วยวัย 96 ปีกว่า  แต่ย่าก็ยังแข็งแรง  ก็เดากันว่าน่าจะเป็นเพราะย่าชอบกินผักไม่ชอบกินเนื้อสัตว์  ย่าจะกินเฉพาะปลาเท่านั้นสัตว์อื่นจะไม่กินเลย  เมื่อมีคนถามย่าก็จะบอกว่า “มันไม่อร่อย กินเนื้อแล้วทำให้ปวดเมื่อยเนื้อตัว”  คำสอนของย่าที่จำได้จนถึงทุกวันนี้ก็เช่น  ถ้ากินมด 1 ตัวจะโง่ไป 7 วัน เพราะฉะนั้นตอนเด็กถ้ามีมดขึ้นข้าวหรือกับข้าวย่าจะเพียรพยายามเก็บจนหมด  เนื่องด้วยกลัวหลานจะโง่   ถึงแม้ย่าจะแข็งแรงขนาดไหนแต่ก็ไม่สามารถแข็งแรงตลอดไปได้  อย่างที่พระท่านบอกว่าสังขารส่วนเป็นสิ่งไม่เที่ยงแท้  ย่าเดินไม่ได้มาเป็นเวลา 1 ปี  เนื่องจากโรคชรา  และระยะประมาณ 6 เดือนก่อนนี้ย่าไม่สามารถช่วยเหลือเองได้ต้องป้อนข้าวป้อนน้ำ   มีเจ็บป่วยบ้างก็เป็นปวดแขนปวดขา เราก็ดูแลกันไปตามประสา  จนกระทั่งวันที่  11 มกราคม  ย่ามีอาการกินได้น้อยลง  และซึมลงเรื่อยๆ เมื่อเรามาดูย่าก็รู้อยู่ในใจว่าอาจจะถึงเวลาที่ย่าใกล้จะจากเราไปแล้ว  ญาติพี่น้องหลายคนถามว่าพาย่าไปโรงพยาบาลดีไหม  แต่ย่าเคยสั่งไว้ว่า ถ้าย่าเป็นอะไรไม่ต้องพาย่าไปโรงพยาบาล  ย่าอยากอยู่บ้านกับลูกหลานเราก็เล่าให้บรรดาญาติพี่น้องฟัง  ก็เห็นพร้องกันว่าจะไม่พาย่าไปโรงพยาบาล  และถึงพาย่าไปโรงพยาบาลเทคโนโลยีทางการแพทย์ก็คงไม่สามารถช่วยให้ย่าอยู่ได้โดยไม่ทุกข์ทรมานได้แล้ว  เราก็ไม่ได้พาย่าไปโรงพยาบาล  แต่จัดเวรกันเฝ้าย่า  เริ่มตามลูกหลานที่อยู่ไกลให้กลับมาหาย่า  ย่าซึมลงเรื่อยๆ  บางครั้งมีเสียงเสมหะครืดคราดในลำคอ  เราก็จับย่านอนตะแคง บางครั้งก็ใช้ลูกยางแดงดูดเสมหะบ้าง  ย่าหายใจช้าสลับเร็วและหยุดหายใจเป็นพักๆ  ระหว่างนี้เราก็พูดคุยกับย่าถึงสิ่งดีๆที่ย่าเคยให้พวกเรา  ขอบคุณที่เลี้ยงดูอบรมสั่งสอน  บอกให้ย่าทำใจให้สงบ ให้ย่าคิดถึงพระ ได้นิมนต์พระมาได้ทำบุญเพราะย่ามักสวดมนต์และไปทำบุญอยู่เป็นนิจในช่วงที่ท่านยังแข็งแรง  จนก็ทั่งลูกหลานกลับมาเกือบครบ ย่าจากเราไปด้วยความสงบท่ามกลางความรักความอบอุ่นของลูกหลาน  ด้วยความจริงเราก็ใจหายที่ต่อไปนี้เราจะไม่มีย่าอีกต่อไปแล้ว  แต่ทุกคนไม่มีใครร้องให้เพราะกลัวว่าย่าจะเป็นห่วงและไม่สงบ    แต่ในทางกลับกันถ้าพาย่าไปโรงพยาบาลย่าก็คงจะได้ทำอะไรเยอะแยะมากมายซึ่งย่าอาจจะไม่ต้องการแล้ว  ย่าอาจจะอยู่ในสถานที่ที่ไม่คุ้นเคยลูกหลานเข้าเยี่ยมไม่สะดวกเพราะลูกหลานและเหลนของย่าเยอะมาก  และก็คงนิมนต์พระมาทำบุญไม่สะดวกเท่าที่บ้าน  เมื่อมานั่งนึกย้อนกลับไปก็ดีใจว่าเราได้ทำสิ่งที่ดีที่สุดให้กับคนที่เรารักแล้ว  ข้าวของอุปกรณ์ต่างๆของย่าที่ยังเป็นประโยชน์กับผู้อื่นอยู่ เช่น  ที่นอนลม  เตียงผู้ป่วย  รถเข็น  ก็บริจาคให้กับหน่วยดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้ายของโรงพยาบาล  เพื่อย่าจะได้บุญกุศลและสิ่งดีงามที่ย่าได้ทำไว้ได้นำทางให้ย่าไปสู่ความสุขสงบตามแนวทางของพุทธศาสนา

หมายเลขบันทึก: 333317เขียนเมื่อ 2 กุมภาพันธ์ 2010 15:26 น. ()แก้ไขเมื่อ 15 เมษายน 2012 02:52 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (3)

คงต้องแสดงความ..ยินดี.. ในสิ่งที่หลานย่าพึงกระทำ

ส่วนความเสียใจเพราะจากคนที่รักคงมีเป็นธรรมดา หวังว่าน้องหมอจะสามารถผ่านพ้นช่วงเวลานี้ได้นะครับ

เป็นกำลังใจให้ครับ

น้องจิเล่าเรื่องได้สวยงามมากจ้ะ คุณย่าโชคดีมากจ้ะที่มีจิและครอบครัวช่วยดูแลเป็นอย่างดี

ขอบคุณค่ะพี่เป้ที่ให้กำลังใจ ไว้เจอกันเมื่อชาติต้องการนะค่ะ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท