ผมได้รับบทความเรื่อง Money and the Changing Culture of Medicine ซึ่งตีพิมพ์ใน New England Journal of Medicine อันทรงเกียรติ จาก ศ. นพ. ธาดา ยิบอินซอย ทำให้คิดได้ว่า วิธีหนึ่งที่จะช่วยให้สังคมแพทย์ไม่ตกเป็นทาสเงิน หรือเครื่องมือของเงินมากเกินไป วิธีหนึ่งคือใช้การวิจัยมาช่วยให้สติแก่วงการแพทย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง แก่แพทยสภา
ในทำนองเดียวกันกับที่ผมคิดว่าการวิจัยระบบอุดมศึกษา จะช่วยให้สติแก่สังคมในเรื่องอุดมศึกษา
เพราะเราจำเป็นต้องเอาวิธีการทางธุรกิจมาใช้ในการจัดการบริการทางการแพทย์ วัฒนธรรมธุรกิจจึงติดมา มาเปลี่ยนวัฒนธรรมของวงการแพทย์ แพทย์และผู้ให้บริการต้องเปลี่ยนวิธีคิดมาติดราคา (price tag) ต่อกิจกรรมทุกอย่าง ความสัมพันธ์ระหว่างคนไข้กับแพทย์และทีมผู้ให้บริการจึงเปลี่ยนจากสัมพันธ์ผ่านความนับถือไว้วางใจ มาเป็นผ่านเงิน
ผลประกอบการของสถานบริการสุขภาพ ไม่ได้มองที่การลดความเจ็บป่วย บำบัดโรคให้หายขาด ป้องกันโรค และส่งเสริมสุขภาพ เป็นหลัก อีกต่อไป กลายเป็นมองที่กำไร-ขาดทุน เป็นหลัก
บทความนี้ระบุว่า “Results from studies in behavioral economics and psychology suggest that there may be. Assigning a monetary value to every aspect of a physician’s time and effort may actually reduce productivity,
impair the quality of performance, and thereby even increase costs.” ทำให้ผมคิดโจทย์วิจัยได้มากมายในด้านสังคมศาสตร์ด้านบริการสุขภาพ สำหรับเอามาตรวจสอบว่าพฤติกรรมการให้บริการหลายๆ อย่างที่เราถือปฏิบัติอยู่นั้น มันส่งเสริม productivity หรือมัน counter productive กันแน่ หากคิดลึกๆ ในเรื่อง productivity ด้านบริการสุขภาพ
โจทย์วิจัยแบบนี้ สปสช. และกองทุนสุขภาพอื่นๆ น่าจะให้ทุนสนับสนุน เพราะผลการวิจัยจะช่วยเพิ่ม productivity ของระบบบริการ หรือช่วยลดค่าใช้จ่ายนั่นเอง
ที่จริงในยุคที่สังคมมีการเปลี่ยนแปลงรวดเร็วและรุนแรงเช่นปัจจุบัน การวิจัยเพื่อทำความเข้าใจผลกระทบของระบบต่อตัวคน เป็นโจทย์วิจัยที่สำคัญยิ่ง และสามารถตั้งโจทย์วิจัยกลับไปว่า เมื่อคนถูกเปลี่ยนความคิดและพฤติกรรมไปเช่นนั้นแล้ว สังคมได้อะไร สูญเสียอะไร
วิจารณ์ พานิช
๑๐ ม.ค. ๕๓
เห็นด้วยอย่างยิ่งครับ อาจารย์