"แสงเงินแสงทองของชีวิต" คือ แนวทางทำให้เกิดปัญญาที่ทุกคนควรพัฒนาให้มีในตนเอง


"แสงเงินแสงทองของชีวิต" คือ แนวทางทำให้เกิดปัญญาที่ทุกคนควรพัฒนาให้มีในตนเอง ทำอย่างไร จึงจะให้ทุกคนพัฒนาปัญญาให้มีในตนเอง ผู้เขียนบอร์ค ได้พบบทความในหนังสือ"แสงเงินแสงทองของชีวิต"จะทำให้บรรลุวัตถุประสงค์ดังกล่าวได้

               มีคำสอน จากหนังสือธรรมะ เรื่อง "แสงเงินแสงทองของชีวิต"ของพระธรรมปิฏก(ป.อ.ปยุตโต)ปัจจุบันเลื่อนชั้นเป็นพระพรหมคุณากร เจ้าอาวาสวัดญาณเวศกวัน ต.บางระทึก อ.สามพราน จ.นครปฐม ท่านได้รับเลือกจาก "องค์การยูเนสโก" ให้ได้รับรางวัลระดับโลกว่าเป็น ผู้ให้ดวงปัญญาแก่ชาวโลก คำสอนจากหนังสือ "แสงเงินแสงทองของชีวิต"ดังกล่าว มีเนื้อหาดังนี้ ........

              เมื่อยามเช้าก่อนที่พระอาทิตย์จะพ้นขอบฟ้า จะมี แสงเงินแสงทอง ขึ้นมาให้เห็นก่อนว่าอีกไม่นานจะมีพระอาทิตย์ขึ้น เช่นเดียวกับดวงปัญญาก่อนที่จะได้มา ก็ต้องมีแสงเงินแสงทอง เกิดขึ้นมาก่อนเช่นกัน ดังนั้น ถ้าผู้อ่านบทความนี้แล้วปฏิบัติตาม จะได้ แสงแห่งดวงปัญญา ไว้คอยชี้ทางการดำเนินชีวิตที่ถูกต้อง  แนวทางแสงเงินแสงทอง 7 แสงตามคำสอนก่อนที่ดวงป้ญญาจะเกิดขึ้น มีดังต่อไปนี้....

แสงที่ 1 กัลยาณมิตสัมปทา คือ การแสวงหาความรู้ เป็นแสงแรกเริ่มของดวงปัญญา ต้องมีเพื่อน หรือ มีสื่อให้ความรู้ต่างๆ เป็นผู้ให้ หรือ เป็นที่ให้ความรู้   ...สื่อที่สำคัญในยุคปัจจุบัน  ได้แก่ คอมพิวเตอร์ และ อินเตอร์เนต มีการนำมาใช้ ดัง ตัวอย่าง e-learning ของมหาวิทยาลัยรามคำแหง , มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช เป็นต้น การค้นหาสิ่งที่อยากรู้ทาง www.google.co.th ลองคลิกเข้ามาแล้วลองพิมพ์ชื่อเพื่อน หรือ สิ่งที่อยากรู้ลงไปในช่องว่างที่ใช้ค้นหา ถ้ามีโพสท์ไว้ในเนต จะสามารถเชื่อมไปถึงได้ หรือ ที่ www.gotoknow.org เป็นเวบภาษาไทย ขององค์กรแห่งการเรียนรู้ สามารถสมัครเข้าเป็นสมาชิกเวบได้ฟรี สมัครแล้วจะได้เวบบอร์กของตนเองสำหรับเผยแพร่ นอกจากอ่านของผู้อื่น มาเป็นบุคคลที่จะให้ความรู้(กัลยาณมิตร)ด้วย 

               สำหรับความรู้เกี่ยวกับสุขภาพ ที่ผู้เขียนบล็อกทำงานด้านนสุขภาพอยู่ ได้นำมาเสนอที่ด้านล่างนี้แล้ว เป็นบทความที่ได้มาจากการค้นหาความรู้เป็นงานอดิเรก จากแหล่งความรู้ต่างๆ และ จากประสบการณ์การดูแลสุขภาพ มาบันทึกไว้นำเสนอ เชิญผู้อ่านเข้าดูได้เปรียบเป็นแสงที่ 1. ของดวงปัญญา

แสงที่ 2 ศีลสัมปทา คือ การนำความรู้ที่ได้จากแสงที่1 มาประยุกต์เรียบเรียงเป็นข้อควรปฏิบัติของตนเอง ตามความรู้จากแสงที่1ที่ได้มา 

แสงที่ 3 ฉันทสัมปทา คือ การพึงพอใจที่จะปฏิบัติตามข้อควรปฏิบัติจากแสงที่ 2 เองโดยไม่ต้องมีใครมาบังคับ ไม่ต้องมีกฏหมาย ไม่ต้องมีคนเห็นก็ปฏิบัติอยู่เป็นนิสัย เป็นต้น

แสงที่ 4 อัตตสัมปทา คือ การเชื่อมั่นตนเองว่ามีความสามารถที่จะปฏิบัติได้ ตามข้อควรปฏิบัติจากแสง ที่ 2 ไม่ยอมแพ้ต่ออุปสรรคในการปฏิบัติ "ความดีย่อมทำยาก แต่ผลที่ได้จะคุ้มค่ากับการปฏิบัติ"

แสงที่ 5 ทิฏฐิสัมปทา คือ มีความเชื่อในเหตุ-ผล เชื่อในหลักวิทยาศาสตร์ ว่าถ้าทำตามความรู้ที่ได้มา(แสงที่ 1.)แล้วนำมาทำเป็นข้อควรปฏิบัติ (แสงที่ 2) แล้ว ผลที่ได้จะเป็นไปตามการปฏิบัติตามความรู้นั่นเอง

แสงที่ 6 อัปปมาทสัมปทา คือ มีความไม่ประมาท รีบปฏิบัติตามข้อควรปฏิบัติ จากแสงที่ 2 ทันทีไม่รอไว้ก่อน "ความดีไม่มีเดี๋ยว ต้องทำทันที"

แสงที่ 7 โยนิโสมนสิการ คือ ดวงปัญญา เมื่อทำได้ครบ 6 แสงแล้ว แสงสุดท้ายที่จะเกิดขึ้น คือ แสงแห่ง"ดวงปัญญา" คอยนำทางเดินให้ถูกต้องที่เราต้องการ

สรุป : เมื่อทุกคนประพฤติตามคำสอนเรื่อง"แสงเงินแสงทองของชีวิต"แล้วเมื่อมีความรู้ที่ดีที่ถูกนำมาเผยแพร่ ก็จะเกิดการนำมาปฏิบัติเองโดยไม่ต้องมีการบังคับ ไม่ต้องมีกฏหมาย ถึงไม่มีคนเห็นก็ปฏิบัติเอง สังคมจะกลายเป็นสังคมที่พัฒนาให้ดีขึ้นตามความรู้ที่มีการค้นพบขึ้นใหม่ๆ

หมายเหตุ : ก่อนจะจบบทความนี้ ขอเพิ่มบทความที่ผู้เขียนได้เขียนให้ความรู้ด้านสุขภาพ ในหัวข้อข้างล่างนี้เชิญคลิกเข้ามาชมได้ครับ เปรียบเป็นแสงที่ 1 ของ"แสงเงินแสงทอง"ด้านสุขภาพ ดังนี้

1. แนวทางการวินิจฉัยโรค ที่เร็ว และ การดูแลสุขภาพ นอกจากให้ ยาอย่างเดียว แต่ให้ความรู้เรื่องที่ป่วยด้วย

http://www.gotoknow.org/archive/2006/05/10/20/22/04/e27971"

2. การดูแลทางด้านสาธารณสุขเบื้องต้น(ระดับปฐมภูมิ)ที่ประเทศอังกฤษและ

ฟินแลนด์ " 

http://www.gotoknow.org/archive/2006/05/07/19/42/31/e27272

3.  เวชศาสตร์ครอบครัวกับการปฏิรูปสุขภาพแห่งชาติ

http://www.gotoknow.org/archive/2006/05/09/17/39/14/e27725 

4. จุดประสงค์ของการมีแพทย์เวชศาสตร์ครอบครัวและการมีแพทย์เวชศาสตร์ป้องกัน

http://www.gotoknow.org/archive/2005/08/09/15/59/31/e2275

5. จุดประสงค์ของการแบ่งการดูแลสุขภาพเป็นรูปเครือข่ายสามระดับ

http://www.gotoknow.org/archive/2005/10/25/14/43/23/e5845

6. การเตรียมตัว เตรียมใจ (อาจต้องรอตามลำดับการมา) ก่อนมาพบแพทย์ เพื่อให้ได้

ความสะดวก และ ความพึงพอใจ

http://www.gotoknow.org/archive/2006/05/09/20/26/59/e27743

7.ใน"เวบไซด์ของกระทรวงสาธารณสุข"คลิกเข้าไป แล้วคลิก"ข่าววันนี้" เมื่อเข้าไปในเวบไซด์

http://www.moph.go.th/ 

 

หมายเลขบันทึก: 33313เขียนเมื่อ 8 มิถุนายน 2006 12:02 น. ()แก้ไขเมื่อ 23 มิถุนายน 2012 17:41 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (4)
ผู้เขียนบล็อกเอง ขอเพิ่มเติมในช่องข้อคิดเห็นเพิ่มเติมบทความข้างต้น ดังนี้ คำสอน"แสงเงินแสงทอง"ข้างต้นอย่างเดียว ไม่สามารถทำให้เกิดการปฏิบัติตามความรู้จากที่แสวงหามาจากแสงที่ 1 ได้อย่างยั่งยืนได้ เพราะสิ่งดีทำยาก จะต้องมีสิ่งเสริมขึ้นมาให้เกิดการปฏิบัติด้วย..... ท่าน ศ.น.พ.ประเวศ วะสี ได้เสนอแนวคิด"สามเหลี่ยมเขยื้อนภูเขา"ไว้เพื่อให้ทำสิ่งที่ยากๆได้ว่าจะต้องประกอบด้วย 3 ด้านที่เกื้อหนุนประกอบกันให้ครบทั้ง3ด้าน ได้แก่ ด้านที่1.-การให้ความรู้ ก่อน ตาม"แสงเงินแสงทองของชีวิต"ที่เสนอไว้ข้างต้นถ้าปฏิบัติตามจะได้ความรู้มานำเป็นแนวปฏิบัติเองไม่ต้องมีใครบังคับ แต่ถึงมีการบังคับก็ไม่เดือนร้อน เพราะ ช่วยควบคุมให้ปฏิบัติอย่าง ต่อเนื่องไป ตลอด และ ยังมาช่วยกำกับผู้อื่นให้ร่วมปฏิบัติตามด้วย เกิดเป็นวัฒนธรรมของสังคมอันดี ด้านที่2.-การรวมตัวกันของผู้มีความรู้เป็นชุมชน นำความรู้มาปฏิบัติจนกลายเป็นวัฒนธรรมชุมชน ทำให้ทุกคนในสังคมปฏิบัติเป็นเรื่องปกติที่ต้องปฏิบัติ และ ด้านที่3.-ต้องมีการออกกฏหมายมากำกับอีกชั้นหนี่ง ถ้าไม่ปฏิบัติมีการลงโทษ เป็นการบังคับให้ต้องปฏิบัติ อย่างไรก็ตาม ถึงแม้มีกฏหมาย ก็ยังพบมีคนละเมิดกฏหมายอยู่ เพราะ เจ้าหน้าที่มีไม่เพียงพอ ไม่สามารถดูได้ตลอดเวลา และ/หรือ อาจไม่มีคุณภาพ ผู้เขียนจึงขอเรียนเสนอท่านอาจารย์ ประเวศ วะสี หรือท่านผู้อ่าน ส่งเรื่อง"แสงเงินแสงทองของชีวิตคือ?????" http://gotoknow.org/blog/doctor000/33313 ไปให้ท่านอ่าน ถ้าท่านเห็นด้วยจะได้เป็นแกนนำ นำเสนอความเห็นต่อสภาผู้แทนราษฏร ให้มีการออกกฏหมาย"พลังแผ่นดิน"ขึ้นใช้ (ไม่ทราบมีกฏหมายนี้แล้วหรือยัง)จะแก้ปัญหาการทำผิดกฏหมาย รวมถึงการคอรัปชั่นได้อย่างมาก เนื่องจากการกระทำอะไรก็ตามย่อมมี ผู้รู้เห็นเหตุการณ์ จะเป็นผู้ชี้เบาะแสให้เจ้าหน้าที่กฏหมายนำมาสอบสวน เป็นด้านที่สี่ กลายเป็น "สี่เหลี่ยมเขยื้อนภูเขา" เนื้อหาของกฏหมาย"พลังแผ่นดิน" คือให้มีการกล่าวโทษ ผู้กระทำผิด โดยการถ่ายภาพ/วิดิโอคลิป จากโทรศัพท์มือถือ หรือ หลักฐาน ต่างๆที่เกี่ยวข้อง ต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ ให้อัยการสอบสวนหลักฐาน ต่างๆ ทางลับ ถ้ามีมูลจึงส่งฟ้องศาล และ ให้รางวัลนำจับตามกฏหมายที่บัญญัติไว้ ถ้าผิดจริง ถ้าสอบว่าไม่จริง ก็ระงับเรื่องไป ไม่ส่งฟ้องศาล และ ชี้แจงผู้ให้ข้อมูลให้ทราบความจริงต่อไป จะเกิดประชาชนมาร่วม เป็นพลังแผ่นดินคอยหาหลักฐานทำให้คนไม่กล้าทำผิดกฏหมาย เหมือนที่โทรทัศน์"ไอทีวี"นำมาใช้ โดยเสนอให้ประชาชนที่มีมือถือถ่ายรูป หรือ วิดิโอคลิปส่งให้ไอทีวี ทำข่าว แล้วได้ค่าข่าว
เมื่อ ส. 20 พฤษภาคม 2549 @ 17:38 เป็นสิ่งที่ดีครับ จริง ๆ แล้ว การบริหารแนวพุทธ หรือหลักการของศาสนาพุทธที่มีอยู่สามารถนำมาใช้ได้กับการดำรงชีวิต ไม่ว่าจะเรื่องครอบครัว การทำงาน การคิด และอะไรอีกหลาย ๆ อย่าง ขอบคุณมากที่ช่วยหาข้อสรุปมาให้ เหมาะสำหรับผู้ที่ไม่ค่อยมีโอกาสและเวลาอ่านได้ทั้งเล่มครับ
เมื่อ อ. 30 พฤษภาคม 2549 @ 16:37 บทความดีๆที่ให้ข้อคิด มักจะอยู่ใน นสพ.ต่างๆ กระจายกันอยู่ หลายครั้งก็จะพลาดไม่ได้อ่าน เพราะส่วนมากแต่ละที่ก็จะมีอ่านฉบับเดียว คุณหมอสำเริง กรูณารวบรวมมาไว้ให้ดู จึงถูกใจยิ่งนัก ขอบคุณมากค่ะ แต่เดี๋ยวนี้คนไม่ชอบอ่านหนังสือชอบดูทีวีมากกว่าซึ่งการรับรู้ด้วยภาพและเสียงแบบนั้นมันดึงเอาสติใคร่ครวญของผู้รับไปได้ง่ายๆ ทำให้พิจารณาเรื่องราวได้ไม่ถ่องแท้ จึงมีโอกาสหลงเคยดีใจตอน ไอทีวี ตั้งขึ้นใหม่ๆ ด้วยวัตถุประสงค์ว่าปลอดโฆษณา ซึ่งน่าจะ เป็นทีวีที่ให้ความรู้ ให้ความจริงกับประชาชนจริงๆ แต่แล้วก็ ไม่ใช่ และในที่สุด ก็ตกไปอยู่กับ เทมาเส็ก น่าเศร้าใจจริงๆ ขอสนับสนุนและให้กำลังใจ คุณหมอเริงค่ะ

แวะมาเยี่ยมชม และได้พบ แหล่งปัญญา ที่ดีมากจริงๆ  ขอบคุณค่ะ 

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท