กลไกกำกับดูแลระบบอุดมศึกษาไทย น่าจะมี ๔ ชั้นหรือ ๔ มิติ มิติที่กว้างใหญ่ที่สุด แต่คนนึกถึงน้อยที่สุดคือมิติระดับสังคมไทยทั้งหมด จะให้ระบบอุดมศึกษาเป็นระบบที่ทำประโยชน์หรือก่อผลดีในภาพรวมมากๆ ก่อผลเสียน้อยๆ สังคมต้องเข้ามาตรวจสอบระบบอุดมศึกษา ต้องเข้ามาแสดงความเป็นเจ้าของ และต้องตรวจสอบอีก ๓ มิติ
มิติที่มีอำนาจมากที่สุดคือมิติการเมือง หรือรัฐบาล ผู้ถืออำนาจรัฐ และทำหน้าที่ใช้ทรัพยากรของแผ่นดินในด้านต่างๆ รวมทั้งด้านอุดมศึกษา ซึ่งมองในแง่กฎหมาย รมต. ศึกษาฯ เป็นผู้ถืออำนาจนี้ ซึ่งผมมีข้อวิพากษ์รัฐบาลไทยตลอดมา ว่ารัฐมนตรีน่าจะทำหน้าที่กำกับดูแล ไม่น่าจะเข้าไปทำหน้าที่บริหารเสียเองอย่างที่ยึดถือปฏิบัติกันอยู่ ซึ่งมีผลให้เกิดความไม่ตรงไปตรงมาในการจัดสรรและใช้งบประมาณแผ่นดิน
จุดอ่อนของมิติการเมืองคือมักมุ่งเป้าหมายระยะสั้น หวังโชว์ผลงานแบบเร่งด่วน จึงอ่อนด้านการทำงานเพื่อผลระยะยาว ที่มีความหมายต่อบ้านเมืองอย่างแท้จริง
มิติที่ ๓ คือกลไกกำกับดูแลตาม พรบ. อุดมศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๔๒ คือ กกอ. ที่ผมเป็นประธานมา ๑ ปีแล้ว ที่ผมประเมินตัวเองว่า ผลงานไม่น่าประทับใจ ไม่มีงานใหญ่ๆ เกิดขึ้น ยังกำกับดูแลระบบภาพใหญ่ไม่ได้ งานที่ทำเป็นเพียงส่วนเสี้ยวย่อยๆ และเป็นงานตั้งรับ
มิติที่ ๔ คือ สกอ. ทำหน้าที่บริหารระบบ โดยมี กกอ. กำกับอีกทีหนึ่ง แต่ความสัมพันธ์แบบกำกับดูแล สกอ. โดย กกอ. มี รมต. เป็นตัวแปรที่มีอำนาจเชิงบังคับบัญชามากกว่า กกอ. มีความสัมพันธ์เชิงปัญญามากกว่า
คน สกอ. คุ้นเคยและมีทักษะในการทำงานแบบออกกฎระเบียบ ในขณะที่ สกอ. ยุคนี้ต้องการให้ทำงานแบบ empowerment ต่อส่วนที่ดี คอยสำรวจภาพใหญ่ แล้วบอกต่อสังคม หวังใช้กลไกสังคมคือมิติที่ ๑ กดดันหรือเรียกร้องเอาจากมิติที่ ๒ และจากแต่ละสถาบันอุดมศึกษา
เท่ากับว่า หากจะทำตามข้อตกลงในที่ประชุม retreat ของ กกอ. / สกอ. เมื่อต้นปีที่แล้ว คนของ สกอ. ก็ต้องปรับตัวเรียนรู้ทักษะในการทำงานแบบใหม่ แต่ในความรู้สึกของผมมีการปรับตัวน้อยมาก จนผมสงสัยว่าตัวผมเองไม่เหมาะต่อหน้าที่นี้
ที่จริงน่าจะมีมิติที่ ๕ คือมือที่มองไม่เห็น ได้แก่อิทธิพลโลกาภิวัตน์ด้านอุดมศึกษา ที่มากับกลไกตลาด หวังหากำไรจากธุรกิจอุดมศึกษา ที่ กกอ. / สกอ. ยังกำกับดูแลไม่ค่อยเป็น ทำให้กระแสอุดมศึกษาพาณิชย์แบบไร้ความรับผิดชอบต่อสังคมยังดำรงอยู่ได้ดาดดื่น
กลไก/ระบบต่างๆ ในสังคมนั้น มีทั้งด้านดี และด้านชั่วร้าย หน้าที่หลักของกลไกกำกับดูแลระบบคือ ทำให้ตัวระบบก่อผลด้านดีต่อสังคมภาพรวมให้มากที่สุด ป้องกันผลด้านชั่วร้ายให้มีน้อยที่สุด ในเรื่องระบบอุดมศึกษา ก็ต้องกำกับโดยยึดหลักการนี้
ผมตั้งใจว่า จะลองดูแนวโน้มต่อไปอีกสักครึ่งปี หากวิธีทำงานยังไปในทางเดิม ผมลาออกให้คนที่มีความสามารถและทำงานได้เข้าขากับระบบภาพรวม จะเป็นคุณต่อบ้านเมืองมากกว่า
นี่คือการประเมิน หรือวิพากษ์ตัวเอง ไปในตัว
วิจารณ์ พานิช
๑๐ ธ.ค. ๕๒
หลังกลับมาจากการสัมมนาเรื่อง “มหาวิทยาลัยวิจัยแห่งชาติกับความเป็นเลิศทางวิชาการ” ที่ มช.
เรียน อาจารย์วิจารณ์
ผมเพิ่งได้อ่าน และเห็นด้วยกับข้อสังเกตุของอาจารย์ ไม่เฉพาะ สกอ. ที่เป็นระบบราชการแบบเก่า ในมหาวิทยาลัยก็ยังเป็นระบบราชการแบบเก่า อาจจะเป็นเพราะว่าผู้บริหารของเรา ที่เคยไปเรียนต่างประเทศ ไม่รู้ว่าเขาจัดการกันอย่างไร พอมาเป็นผู้บริหารก็เลยทำตามระบบราชการที่เคยทำกันมาตั้งแต่เริ่มตั้งมหาวิทยาลัย ดูง่ายๆ เราเน้นแต่อาคาร ป้ายมหาวิทยาลัย ป้ายภาควิชา
การคัดนักศึกษาเข้ามหาวิทยาลัยก็แทบไปไม่ถึงไหน ตลอดระยะเวลาเกือบ 50 ปี เราขาดผู้นำที่มีความสามารถในการตัดสินใจ
ว่าจะเอาวิธีใด จึงมีการเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ โดยขาดข้อมูลทางวิจัยมาช่วยการตัดสินใจ ใช้คำadmission แต่ก็ยังเป็นแบบสอบ
entrance อย่างเดิม เพียงแต่มีคะแนนอย่างอื่นๆ เพิ่มมาเล็กน้อย แล้วก็เถียงกันจนทุกวันนี้