สวัสดีปีใหม่ค่ะ เพื่อนๆทุกท่าน แพรเอาบุญมาฝากค่ะ มีบุญได้ไปสวดมนต์ เจริญภาวนาข้ามปี ณ วัดป่าเจริญราช "อัศจรรย์แห่งความสุข" จริงๆ ขอให้บุญรักษา ธรรมคุ้มครองเพื่อนทุกคนนะคะ ให้โชคดี มีสุข เข้าใจทุกข์ เจริญในธรรมให้มากยิ่งขึ้นด้วยค่ะ
ปีใหม่ปีนี้ เรามาสร้างบารมีง่ายๆกับอธิษฐานบารมี และ สัจจบารมี กันนะคะ
วารสารธรรมใกล้ตัว ฉบับที่ ๐๓๒ พฤหัสบดีที่ ๒๗ ธันวาคม ๒๕๕๐
http://www.dungtrin.com/mag/?32#
จากใจบก.ใกล้ตัว - กลางชล
สวัสดีค่ะ
ใครที่มีไมตรีอันดีต่อกัน ก็เริ่มเดินสายส่งกระเช้า ส่งของขวัญกันไปบ้างแล้ว
ต่างคนต่างก็ยิ้มแย้มอำนวยอวยพรขอให้มีความสุขกันถ้วนหน้า
ขอให้เรื่องร้าย ๆ ในปีที่ผ่านมาจงผ่านไป ขอให้ปีใหม่มีแต่ความสุขสดชื่นผ่านเข้ามา : )
...ถ้าความสุขมันขอกันได้ง่าย ๆ อย่างที่เขียนในการ์ดจริง ๆ ก็ดีซินะคะ
หลายคนเพลิดเพลินไปกับบรรยากาศของความสุขในช่วงปลายปีต่อต้นปีอย่างนี้
และหวังใจว่า ปีหมูทองบ้าง ปีหนูทองบ้าง จะนำมาซึ่งความสุขสมหวังเสียที
หลวงพ่อปราโมทย์ท่านเพิ่งเทศน์ให้ฟังที่ศาลาลุงชินไปเมื่อไม่นานมานี้เองนะคะว่า
คำอวยพรขอให้มีความสุขอะไรต่าง ๆ เหล่านี้นั้น ก็เป็นเพียงการให้กำลังใจกันเท่านั้น
เราคาดหวังเอา เราสร้างธรรมเนียมขึ้นมา หากำลังใจให้ตัวเอง
เหมือนหลอกตัวเองไปเรื่อย ๆ ว่าปีนี้ทุกข์จะผ่านไป ปีหน้าคงจะมีความสุข
แต่จริง ๆ แล้ว ชีวิตจริงมันก็ไม่ได้มีความสุขอย่างที่คิดไว้
ความสุขที่เรารู้จักกันนั้น แท้จริงแล้ว ก็เป็นเพียงความสุขชั่วครั้งชั่วคราว
เป็นความสุขแบบโลก ๆ ที่ปิดบังความจริง คือความทุกข์ เอาไว้เท่านั้น
คนในโลกรู้จักแต่ความสุขที่ต้องอิงอาศัยคนอื่น อิงอาศัยสิ่งอื่น
เมื่อยังต้องพึ่งคนอื่น พึ่งสิ่งอื่น เราก็ยังต้องตกเป็นทาสของคนนั้น สิ่งนั้นเรื่อยไป
แท้จริงแล้ว ความสุขที่แท้จริงนั้น ไม่จำเป็นต้องอาศัยสิ่งอื่นเลย
แต่เกิดขึ้นได้ง่าย ๆ เพียงด้วยการมีสติ
คอยรู้ทันความจริงที่เกิดขึ้นกับกายกับใจของเราเท่านั้น
และความสุขแบบนี้ก็ไม่ต้องรอปีนี้ปีหน้าราศีทองที่ไหน
แต่ว่ากันเป็นขณะจิตหนึ่ง ๆ เลยทีเดียว อย่างที่หลวงพ่อปราโมทย์ท่านบอกน่ะค่ะว่า
ทันทีที่สติตัวจริงเกิด จิตใจจะมีความสุขทันที นี่เป็นเรื่องอัศจรรย์มาก
"ทันที" นี่แปลว่า ณ ขณะเดียวกันกับที่สติเกิดเลยนะคะ
อย่างนั่งกลุ้มอกกลุ้มใจอยู่นี่ล่ะค่ะ ทันทีที่ระลึกขึ้นได้ว่ากำลังกลุ้มใจอยู่
ความกลุ้มใจจะกระเด็นหายไปต่อหน้าต่อตาทันที
"อัศจรรย์แห่งความสุข" ที่อยู่ใกล้แค่เอื้อมแบบนี้ สัมผัสกันได้ทุกคนนะคะ
เพียงแต่ แม้แต่ความอัศจรรย์เอง ก็เป็นผลที่ย่อมเกิดแต่เหตุเหมือนกัน
ใครหมั่นฝึกฝนด้วยความใส่ใจ ก็ย่อมได้ประจักษ์ด้วยตัวเองอย่างแน่นอน
แต่น่าเสียดายแทนสำหรับหลาย ๆ คนไหมคะ...
เหมือนมีคนเขียนแผนที่ให้เสร็จสรรพแล้ว มีคนคอยยืนบอกทางอยู่ที่ปากทางให้แล้ว
แต่เราเองนั่นแหละ ที่ไม่มีแรงพอที่จะลุกขึ้นยืนและลุกขึ้นเดินไปเอง
เหมือนปล่อยให้ตัวเองจมแช่อยู่ในหนองน้ำครำ
แล้วก็เฝ้าแต่คร่ำครวญรำพันว่า ไม่อยากจมอยู่กับความชื้นแฉะเลย
คนเรานั้นติดอยู่กับความหลงผิด และถูกกิเลสย้อมจิตย้อมใจกันมาชาติแล้วชาติเล่า
อยู่ ๆ จะลุกขึ้นมาดึงตัวเองให้พ้นจากแรงดึงดูดที่ผูกมัดเราไว้นับชาติไม่ถ้วน
ก็ย่อมต้องใช้กำลังใจที่เข้มแข็ง ความตั้งใจมั่น ความไม่ทดท้อย่อหย่อน
และความพากเพียรต่อเนื่องสม่ำเสมอข้ามชั่วระยะเวลาหนึ่ง ๆ เป็นธรรมดา
เกมแห่งสังสารวัฏก็เป็นแบบนี้แหละนะคะ
หันไปทางไหนก็มีแต่สิ่งยวนใจ ที่หลายครั้งเราก็ไม่รู้เลยว่า มันคือกับดักดี ๆ นี่เอง
ถ้าไม่ตั้งมั่นจริง ไม่มีแรงจริง ก็ต้องหลงติดอยู่ในวังวนของสุขปลอม ๆ เช่นนี้เรื่อยไป
มีครูบาอาจารย์ท่านหนึ่งนะคะ ที่ท่านเน้นการดูแลอบรมสอนการปฏิบัติให้แก่พระเป็นหลัก
ครั้งหนึ่งท่านได้พูดคุยกับหลวงพ่อปราโมทย์ ท่านก็ถามหลวงพ่อปราโมทย์ว่า
"คุณสอนฆราวาสมาเยอะ ฆราวาสมีจุดอ่อนอยู่ที่ไหน?"
หลวงพ่อปราโมทย์กราบเรียนท่านเลยค่ะว่า
"ฆราวาสมีจุดอ่อนที่ ความต่อเนื่อง
ฆราวาสทำ ๆ หยุด ๆ ฆราวาสเห็นสิ่งอื่นสำคัญกว่าธรรมะ"
ทั้งที่จริง ๆ แล้ว หลวงพ่อท่านว่า ธรรมะนั้น ไม่ได้เบียดบังเวลาทำมาหากินด้วยซ้ำไป
แต่เราไม่เข้าใจ เราก็เลยมัวแต่ไปทุ่มเท ไปนึกคิดปรุงแต่งอะไรไปเรื่อย ๆ
กะว่าว่าง ๆ ก่อนแล้วจะค่อยมาปฏิบัติ เราไม่รู้เลยว่า ธรรมะนั้นอยู่กับเราตั้งแต่เกิดจนตาย
สิ่งหนึ่งที่สัมผัสได้ เมื่อได้ฟังปฏิปทาของครูบาอาจารย์ทุก ๆ องค์ ก็คือ
ท่านมีความตั้งใจอย่างไรแล้ว ท่านใส่ใจ พากเพียร และไม่เคยละทิ้ง ทำอย่างต่อเนื่อง
และนั่นก็เป็นกำลังใจให้ผู้เดินตามอย่างเรา ๆ อยากเอาอย่างท่านให้ได้บ้างจริง ๆ ค่ะ
"หลวงพ่อไม่ได้วิเศษกว่าพวกเราหรอกนะ แต่หลวงพ่ออึดกว่าพวกเรา
หลวงพ่ออึด และหลวงพ่อเป็นคนที่ไม่เชื่ออะไรง่าย ๆ"
"ตั้งแต่หลวงพ่อ ๗ ขวบนะ หลวงพ่อภาวนา ไม่มีวันใดที่ไม่ทำเลย
แต่ทำได้แค่สมถะ คิดว่าการปฏิบัติมีแค่นั้น ทำสมถะอยู่ ๒๒ ปี ไปต่อไม่เป็น"
"จนอายุ ๒๙ ไปเจอหลวงปู่ดูลย์ ท่านสอนให้ดูจิตตัวเอง
ตั้งแต่ ๒๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๕ ที่ท่านสอนนั้น ไม่มีวันใดที่ไม่ได้ดูจิตตัวเองเลย
แทบจะเรียกว่า เว้นแต่เวลาทำงานที่ต้องคิด กับเวลานอน เวลาที่เหลือ คือเวลาดูจิต
ถ้าเรากล้าทุ่มเทขนาดนี้นะ ตั้งแต่ตื่นจนหลับ หลับแล้วมันยังดูต่อเลย
แล้วทำไมมันจะไม่เร็ว ทำอยู่ทั้งวันทั้งคืน"
เคยได้ฟังปฏิปทาของครูบาอาจารย์องค์อื่น ๆ ด้วยแล้ว ก็ไม่ต่างกันเลยค่ะ
สัมผัสได้ถึงความเด็ดเดี่ยวห้าวหาญ และตั้งใจมั่นในธรรมของท่านมาก ๆ
แม้ตอนที่ท่านยังเป็นฆราวาส ความตั้งใจมั่นของท่านก็ยังมากกว่าเราหลายเท่านัก
แต่ได้ฟังอย่างนี้แล้วก็อย่าเพิ่งเคร่งเครียดขนาดลาออกไปอยู่ป่าอยู่วัดกันนะคะ : )
ค่อย ๆ เก็บเล็กผสมน้อยไปตามกำลังนี่แหละ แต่ขอให้สม่ำเสมอต่อเนื่องก็แล้วกันค่ะ
คุณผู้อ่านรู้จักคำว่า อธิษฐานบารมี และ สัจจบารมี ไหมคะ
ทราบไหมคะว่า บารมีทั้งสองนี้ ช่วยให้เราดำเนินไปบนทางด้วยกำลังใจที่มั่นคงได้ด้วย
แต่การอธิษฐาน ไม่ได้มีความหมายอย่างที่คนทั่วไปเข้าใจกันนะคะว่า
หมายถึง การขอให้อะไรมาดลบันดาลให้เราได้ในสิ่งที่ขอตามใจอยาก
แต่ อธิษฐาน หมายถึง ความตั้งใจมั่น ความมั่นคง
ความแน่วแน่ ในทางดำเนินและจุดมุ่งหมายของตน
หรืออย่างที่คุณดังตฤณเคยเปรียบให้ฟังง่าย ๆ ว่า
การอธิษฐาน ก็เหมือนการโปรแกรมจิตให้ทำงานแบบที่ต้องการนั่นเอง
บางคนก็เปรียบความตั้งใจนี้เหมือนหางเสือของชีวิต
เพราะเรือที่ไม่มีหางเสือ ย่อมลอยไปตามกระแสลม กระแสน้ำ ยากจะไปสู่จุดหมาย
แต่ถ้าตั้งใจว่า ต่อแต่นี้ไป จะตั้งใจทำแต่สิ่งที่เป็นกุศล จะรักษาศีล จะเจริญภาวนา
จะเพียรเพื่อให้พ้นทุกข์ พ้นจากสังสารวัฏ ก็เท่ากับเป็นการตั้งเป้าหมายให้ชีวิตไว้แล้ว
โอกาสที่เราจะดำเนินออกจากวิถีที่เราตั้งใจ ก็ย่อมเป็นไปได้ยากยิ่ง
เพราะมีความตั้งใจจริงกำกับไว้ ผลที่ปรารถนาก็สามารถจะสัมฤทธิ์ในวันหนึ่งได้
ส่วน สัจจบารมี นั้น คือการเอาจริงเอาจัง พูดแล้วทำจริง
ตั้งใจไว้ว่าจะทำอะไรแล้ว ก็ทำให้สำเร็จเช่นนั้นจนได้
เช่น พรุ่งนี้ตั้งใจไว้แล้วว่าจะไปฟังเทศน์ที่วัด ถึงมีเหตุให้นอนดึกแค่ไหนก็ไป
หรือตั้งใจไว้ว่าจะเดินจงกรม ๑๕ นาที จะเบื่อแค่ไหน ก็ไม่ล้มเลิกเสียก่อน
ทำได้เช่นนี้ สัจจบารมีก็จะค่อย ๆ เข้มแข็งขึ้นเรื่อย ๆ เองค่ะ
เหมือนตอนที่พระพุทธองค์ได้ทรงตั้งจิตอธิษฐานไว้ว่า
ถ้าตราบใดยังไม่บรรลุพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ
พระพุทธองค์ก็จะไม่ลุกไปจากที่ประทับใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์นั้นเป็นอันขาด
และเมื่อดำริมั่นดังนั้นแล้ว พระพุทธองค์ก็ทรงดำเนินเช่นนั้นจนตรัสรู้ธรรมในที่สุด
อธิษฐานบารมี และ สัจจบารมี จึงมักจะไปด้วยกันค่ะ
เป็นบารมีที่จะช่วยเป็นแรงหนุนให้เราดำเนินไปบนทางที่ตั้งใจและสำเร็จผลได้ในวันหนึ่ง
เช่นเดียวกัน ไม่ใช่ขึ้นปีใหม่ที ตั้งใจจะทำอะไรดี ๆ ไว้ แต่ทำได้สองสามวันก็เลิก
ตั้งใจมั่นแล้ว ต้องทำให้ได้ด้วย
แต่สำหรับผู้ที่เพิ่งเริ่มเดินทางที่กำลังยังไม่แข็งแกร่งนั้น
ยังไม่ต้องรีบร้อนตั้งเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่เกินตัวนะคะ เดี๋ยวจะฝ่อเสียก่อน : )
เริ่มต้นจากจุดเล็ก ๆ นี่ล่ะค่ะ อย่างเช่นว่า
ก่อนนอน จะตั้งใจสวดมนต์ แล้วนั่งสมาธิ หรือเดินจงกรมให้ได้วันละ ๕ นาที
ตั้งใจไว้แค่วันละ ๕ นาทีก็พอค่ะ ถ้ามันจะทำได้นานกว่านั้นก็ไม่เป็นไร
แต่อย่างน้อยทำให้ได้ทุกวัน วันละ ๕ นาทีเท่านั้นเอง
อย่างน้อยไม่ได้อะไร ก็ยังได้อธิษฐานบารมี และสัจจบารมีแก่ตนเอง : )
แล้วการปฏิบัติไปตามกำลัง แต่ทำให้สม่ำเสมอต่อเนื่องนั้น
ก็จะเป็นฐานให้เราพัฒนาไปสู่ขั้นต่อ ๆ ไปอย่างมั่นคงขึ้นเองค่ะ
โชคดีมหาศาลที่ได้มาพบพระพุทธศาสนาแล้ว ก็คัดหางเสือชีวิตกันไว้นะคะ
และเอากำลังแรงใจที่มี ผลักตัวเองให้พ้นจากแรงดึงดูดของสังสารวัฏให้ได้
เหมือนที่คุณดังตฤณเคยเขียนไว้ครั้งหนึ่งว่า
"ลองเถอะครับ ความเป็นมนุษย์นั้นเหมือนมีดที่คมกว่าเราคิด
เอาไปเฉาะดินเล่นจนทื่อก็ได้ หรือเอาไปฟันฝ่าอุปสรรคในตัวเองก็ได้
และในเวลาที่ไม่เนิ่นช้าด้วย"
~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~
สาธุ... ขอให้เจริญในธรรมนะคะ
บุญรักษา ธรรมคุ้มครองค่ะ
ขอบคุณมากค่ะ
การเข้ามาเยี่ยมชมและแสดงความเห็นบอกกล่าวกัน ทักทายกันแบบนี้
แพรถือว่าเป็นของขวัญที่มีค่ายิ่ง
เพราะนี่คือ กำลังใจ ให้กับคนเขียนค่ะ 555
ดีใจจัง มีคนเข้ามาอ่านด้วย (ฮิๆๆ)
บุญรักษา ธรรมคุ้มครองค่ะ
ในวาระดิถีขึ้นปีใหม่ พ.ศ. ๒๕๕๓
ขอให้คุณครูแพรภัทรและครอบครัวมีความสุขดังบทบาลีที่ว่า เต อัตถลัทธา สุขิตา วิรุฬหา พุทธสาสเน อโรคา สุขิตา โหถะ สหสัพเพหิ ญาติภิ. ขอให้ครอบครัวของท่านพร้อมด้วยหมู่ญาติ จงประสบสุขในสิ่งที่ปรารถนา มีสุขภาวะที่สมบูรณ์ปราศจากโรคภัยและเจริญงอกงามไพบูลย์ในพุทธธรรมตลอดไป เทอญ.
สาธุ สาธุ สาธุ
ขอบพระคุณค่ะท่าน
เป็นพรปีใหม่ที่ดีมากๆค่ะ ถูกใจโยมสุด สุด
พรใดที่ท่านให้มา แพรขอถวายกลับไปให้ท่านด้วยนะคะ
ขอบคุณค่ะ