เขียนสำหรับผู้สนใจทำวิจัยภาษาไทยนะครับ ที่ถามผมมา
เมื่อ 7-8 ปีก่อน ลูกศิษย์ของผมรายหนึ่ง เขากับพี่สาวสนใจทำธุรกิจ เราก็เลยมาคิดหาโอกาสว่าจะทำอะไร เขาเล่าให้ฟังว่า พี่สาวเขาจบครุจุฬา ปริญญาโทสาขาภาษาไทย พี่สาวเขาตั้งข้อสังเกตว่า ทำไมเด็กยุคนี้อ่านภาษาไทยได้ช้าจัง ผมก็เลยบอกลูกศิษย์ว่า “งั้นคุณลองไปถามคุณแม่ดูว่า ตอนคุณแม่เด็กๆ เรียนภาษาไทยอย่างไร” แล้วเธอกับพี่สาวก็ลองไปศึกษาวิธีการสอนภาษาไทยของคนรุ่นก่อน ปะติดปะต่อ (คุณแม่ก็เป็นครูสอนภาษาไทย) ลองเอามาสอนแล้ว ค้นพบว่าเด็กเรียนได้ดีขึ้นจริงๆ และนี่เป็นจุดเริ่มธุรกิจโรงเรียนรับสอนภาษาไทยแห่งหนึ่ง ที่ยังดำเนินกิจการมาถึงปัจจุบันครับ และยังจะขายแฟร็นชซน์ได้ด้วย (จากต่างจังหวัดไปกรุงเทพ) ตอนนั้นผมไมรู้จัก AI ครับ แต่จะเห็นว่าคล้ายๆ AI มากครับ ปัจจุบันมีหลายกรณีศึกษาที่ใช้แนวทางนี้ อันนี้เรียกว่าการทำโครงการ AI แบบย้อนยุค (Retro AI) ใช้การสังเกตนำทาง แล้วค่อยไปถามเป็นรายๆ เมื่อเช้าผมเลยถามแม่บ้าน สามรายเป็นสุภาพสตรี ทั้งหมดล้วนอ่านหนังสือได้ตอนป. 1 ครับ (เรียนหลักสูตรเก่า) ผมถามว่า “ตอนเด็กๆ ชอบเรียนภาษาไทยตอนไหนที่สุด”
Discovery
คนแรกอายุ 45 ปี “ถ้าไม่เข้าใจ ครูจะสอดแทรกเรื่องขำขันเข้ามา “ ปัจจุบันยังสะกดคำผิดอยู่ แต่ก็อ่านคล่อง ชอบทำแก้วแตก มีปัญหาครอบครัวมาก ลูกออกจากโรงเรียนกลางคัน
คนที่สองอายุ 30 ปี “ชอบคำสัมผัส คล้องจอง เป็นบทกลอน” ใช้ภาษาไทยได้อย่างขำขัน พูดเก่ง คนนี้เป็นแม่บ้านที่มีความคิดสร้างสรรค์ทำอาหารแบบสร้างสรรค์ เลี้ยงเด็กเก่ง นายรักมาก พึ่งแต่งงาน ครอบครัวเดิมมีปัญหา เป็นโรคภูมิแพ้ตนเอง มีลูกไม่ได้
คนที่สามอายุ 33 ปี “ชอบตรงที่ครูให้เขียนคำเดียว แต่สะกดไม่เหมือนกัน แล้วจะอธิบายว่าคำนี้หมายถึงอะไร” พี่เลี้ยงเด็กที่ดูแลเด็กได้ดีมาก จนกระทั่งเป็นที่ต้องการตัวสูงมาก ใช้ภาษาไทยแบบสื่อสารได้ดี สุภาพเรียบร้อย ครอบครัวอบอุ่น รุ่นลูกการศึกษาดี เรียนเก่งทุกคน (ลูกของพี่น้องด้วย)
จุดร่วมที่เราเห็นในสามรายคือ “ครูมีเทคนิค”
Dream
เด็กเรียนภาษาไทยอย่างมีความสุข
Design
Destiny
ทดลองหนึ่งภาคเรียน
ครูทำ AAR แล้วปรับกลยุทธ์ทุกวัน
สอนนักเรียนทำ AAR แล้วมาเล่าให้ครูฟัง ทำแบบวงสุนทรียสนทนา
ขอบคุณมากครับตามติดเพื่อเกิดแนวทางครับ...ขอบคุณอาจารย์จริงๆครับ
แวะมาเช่นเคยครับ