ชื่อเรื่อง : ผลการพัฒนาความพร้อมทางภาษาด้านการพูดด้วยกิจกรรมนิทานหน้าเดียว
สำหรับเด็กปฐมวัย
ชื่อผู้ศึกษา : นางนุสรา คำราพิช
หน่วยงานที่สังกัด : โรงเรียนบ้านเชิงดอย (ดอยสะเก็ดศึกษา) อำเภอดอยสะเก็ด
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาเชียงใหม่ เขต 1
บทคัดย่อ
การศึกษาเรื่อง ผลการพัฒนาความพร้อมทางภาษาด้านการพูดด้วยกิจกรรมนิทาน
หน้าเดียวสำหรับเด็กปฐมวัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลการพัฒนาความพร้อมทางภาษาด้านการพูดด้วยกิจกรรมนิทานหน้าเดียวสำหรับเด็กปฐมวัย และเพื่อเปรียบเทียบผลการพัฒนาความพร้อมทางภาษาด้านการพูดด้วยกิจกรรมนิทานหน้าเดียวสำหรับเด็กปฐมวัย ก่อนและหลังการจัดประสบการณ์ ประชากรที่ใช้ในการศึกษาคือ นักเรียนชั้นอนุบาล 2 (5-6 ปี) ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2552 ของโรงเรียนบ้านเชิงดอย (ดอยสะเก็ดศึกษา) อำเภอดอยสะเก็ด จังหวัดเชียงใหม่ จำนวน 42 คน กลุ่มตัวอย่างโดยเลือกแบบเจาะจงคือนักเรียนชั้นอนุบาล 2ข ของโรงเรียนบ้านเชิงดอย (ดอยสะเก็ดศึกษา) จำนวน 21 คน เครื่องมือการศึกษาประกอบด้วย แผนการจัดประสบการณ์การพัฒนา ความพร้อมทางภาษาด้านการพูดด้วยกิจกรรมนิทานหน้าเดียวสำหรับเด็กปฐมวัย จำนวน 45 แผน นิทานหน้าเดียว จำนวน 54 เรื่อง แบบสังเกตพฤติกรรมเกี่ยวกับพัฒนาการด้านการพูดสำหรับเด็กปฐมวัย และแบบประเมินการพัฒนาความพร้อมทางภาษาด้านการพูด ก่อนและหลังการจัดประสบการณ์ฯ วิเคราะห์ข้อมูลจากแบบสังเกตพฤติกรรมทางภาษาด้านการพูดด้วยกิจกรรมนิทานหน้าเดียวสำหรับเด็กปฐมวัย แบบประเมินพฤติกรรมจากแผนการจัดประสบการณ์ และแบบประเมินการพัฒนาความพร้อมทางภาษาด้านการพูดก่อนและหลังการจัดประสบการณ์ วิเคราะห์ผลแล้วนำเสนอในรูปแผนภูมิกราฟและตารางประกอบคำบรรยาย สรุปผลการศึกษาได้ดังนี้
1. ผลการพัฒนาความพร้อมทางภาษาด้านการพูดด้วยกิจกรรมนิทานหน้าเดียว
พบว่า
1.1 กิจกรรมพูดเป็นคำน้อมนำให้คิดสูงขึ้นตามลำดับตั้งแต่สัปดาห์ที่ 1 ถึงสัปดาห์ที่ 9 อยู่ในระดับดี โดยมีค่าเฉลี่ย ตั้งแต่ 2.28-3.00
1.2 กิจกรรมพูดวลีขยายคำจำขึ้นใจสูงขึ้นตามลำดับตั้งแต่สัปดาห์ที่ 1 ถึงสัปดาห์ที่ 9 โดยสัปดาห์ที่1, 2 อยู่ในระดับพอใช้ มีค่าเฉลี่ยเท่ากันคือ 2.00 สัปดาห์ที่ 3-9 ผลการประเมินอยู่ในระดับดีค่าเฉลี่ยตามลำดับดังนี้ สัปดาห์ที่ 3 ค่าเฉลี่ยเท่ากับ 2.88 สัปดาห์ที่ 4 ค่าเฉลี่ยเท่ากับ 2.33 สัปดาห์ที่ 5 ค่าเฉลี่ยเท่ากับ 2.52 สัปดาห์ที่ 6 ค่าเฉลี่ยเท่ากับ 2.76 และสัปดาห์ที่ 7-9 ค่าเฉลี่ยเท่ากับ 3.00 เท่ากัน
1.3 กิจกรรมพูดประโยคที่ง่ายได้ใจความสูงขึ้นตามลำดับตั้งแต่สัปดาห์ที่ 1 ถึงสัปดาห์ที่ 9 โดยสัปดาห์ที่ 1 ผลการประเมินอยู่ในระดับปรับปรุง มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 1.33 สัปดาห์ที่ 2-4 ผลการประเมินอยู่ในระดับพอใช้ ค่าเฉลี่ยเท่ากับ 2.00, 2.14, 2.23 ตามลำดับ สัปดาห์ที่ 5-9 ผลการประเมินอยู่ในระดับดี เรียงตามลำดับดังนี้ สัปดาห์ที่ 5 ค่าเฉลี่ยเท่ากับ 2.46 สัปดาห์ที่ 6 ค่าเฉลี่ยเท่ากับ 2.66 สัปดาห์ที่ 7 ค่าเฉลี่ยเท่ากับ 2.96 และสัปดาห์ที่ 8-9 ค่าเฉลี่ยเท่ากับ 3.00 เท่ากัน
1.4 กิจกรรมพูดเล่าเรื่องต่อเนื่องกันไปสูงขึ้นตามลำดับตั้งแต่สัปดาห์ที่ 1 ถึงสัปดาห์ที่ 9 โดยสัปดาห์ที่ 1-4 อยู่ในระดับพอใช้ มีค่าเฉลี่ยเรียงตามลำดับดังนี้ 1.52, 1.61, 2.04 และ 2.19 สัปดาห์ที่ 5-9 ผลการประเมินอยู่ในระดับดี มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 3.00 เท่ากัน
1.5 กิจกรรมพูดเล่าเรื่องตามจินตนาการสูงขึ้นตามลำดับตั้งแต่สัปดาห์ที่ 1 ถึงสัปดาห์ที่ 9 โดยสัปดาห์ที่ 1-5 ผลการประเมินอยู่ในระดับพอใช้ มีค่าเฉลี่ยเรียงตามลำดับดังนี้ 1.52 (เท่ากัน), 1.61, 2.04 และ 2.10 สัปดาห์ที่ 6-9 ผลการประเมินอยู่ในระดับดี มีค่าเฉลี่ยเรียงตามลำดับดังนี้ 2.52, 2.90 และ 3.00 (เท่ากัน)
2. ผลการเปรียบเทียบคะแนนก่อนและหลังการจัดประสบการณ์การพัฒนาความพร้อมทางภาษาด้านการพูดด้วยกิจกรรมนิทานหน้าเดียวสำหรับเด็กปฐมวัย พบว่า คะแนนเฉลี่ยก่อนการจัดประสบการณ์ 3.61 คะแนนคิดเป็นร้อยละ 36.10 คะแนนเฉลี่ยหลังการจัดประสบการณ์ 8.76 คะแนนคิดเป็นร้อยละ 87.60 และมีคะแนนความก้าวหน้าเพิ่มขึ้นร้อยละ 51.40
สุขสมหวังดังที่ตั้งใจไว้นะคะ
ครูรส
ขอบคุณสำหรับกำลังใจที่ให้มานะค่ะครูรส
ชื่อเรื่อง รายงานการพัฒนาแบบฝึกทักษะทางวิทยาศาสตร์ หน่วยที่ 1
เรื่อง การดำรงพันธุ์ของสิ่งมีชีวิต สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5
โรงเรียนชุมชนบ้านกุดปลาดุก
กลุ่มสาระ กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5
หน่วยงาน โรงเรียนชุมชนบ้านกุดปลาดุก สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามหาสารคาม เขต 3
ปีที่พิมพ์ 2552
ผู้ศึกษา นางสงวน ดีอันกอง
ที่ปรึกษา นายสำราญ บุญคำโชติ
บทคัดย่อ
การศึกษาค้นคว้าครั้งนี้มีความมุ่งหมายดังนี้ 1) เพื่อแบบฝึกทักษะทางวิทยาศาสตร์ หน่วยที่ 1 เรื่อง การดำรงพันธุ์ของสิ่งมีชีวิต สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ที่มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 2) เพื่อศึกษาดัชนีประสิทธิผลของแบบฝึกทักษะทางวิทยาศาสตร์ หน่วยที่ 1 เรื่อง การดำรงพันธุ์ของสิ่งมีชีวิต สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 3) เพื่อหาประสิทธิภาพความคงทนทางการเรียนของแบบฝึกทักษะทางวิทยาศาสตร์ หน่วยที่ 1 เรื่อง การดำรงพันธุ์ของสิ่งมีชีวิต สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 4) เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการเรียนด้วยแบบฝึกทักษะทางวิทยาศาสตร์ หน่วยที่ 1 เรื่อง การดำรงพันธุ์ของสิ่งมีชีวิต สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาค้นคว้าครั้งนี้ ได้แก่ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5/1 โรงเรียนชุมชนบ้านกุดปลาดุก สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามหาสารคาม เขต 3 จำนวน 27 คน กลุ่มตัวอย่างได้มาโดยการเลือกแบบเจาะจง (Purposive Sampling เครื่องมือที่ใช้ ได้แก่ 1) แบบฝึกทักษะทางวิทยาศาสตร์ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ที่มีประสิทธิภาพ 4.29 อยู่ในระดับเหมาะสมมาก 2) แผนการจัดการเรียนรู้ประกอบการพัฒนาทักษะทางวิทยาศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 หน่วยที่ 1 เรื่อง การดำรงพันธุ์ของสิ่งมีชีวิต จำนวน 29 แผน 38 ชั่วโมง มีประสิทธิภาพ 92.00 3) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ก่อน – หลังเรียน จำนวน 20 ข้อ ที่มีค่าความเชื่อมั่นที่ 0.70 และ แบบวัดความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการเรียนรู้ด้วยแบบฝึกทักษะทางวิทยาศาสตร์ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5
ผลการศึกษาค้นคว้าปรากฏว่า
การศึกษาครั้งนี้ เป็นการศึกษาเชิงทดลอง (Experimental Design) เพื่อแบบฝึกทักษะทางวิทยาศาสตร์ หน่วยที่ 1 เรื่อง การดำรงพันธุ์ของสิ่งมีชีวิต สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนชุมชนบ้านกุดปลาดุก ผู้ศึกษาได้ดำเนินการตามลำดับ ผลการศึกษาพบว่า
1. แบบฝึกทักษะทางวิทยาศาสตร์ หน่วยที่ 1 เรื่อง การดำรงพันธุ์ของสิ่งมีชีวิต สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ที่มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 E1/E2 = 83.60 /81.67
2. ดัชนีประสิทธิผลของดัชนีประสิทธิผลของแบบฝึกทักษะทางวิทยาศาสตร์ หน่วยที่ 1 เรื่อง การดำรงพันธุ์ของสิ่งมีชีวิต สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 มีค่าเท่ากับ 0.7517 แสดงว่าผู้เรียนมีความรู้หรือมีพัฒนาการในการเรียนรู้เพิ่มขึ้น คิดเป็นร้อยละ 74.15
3. ประสิทธิภาพความคงทนทางการเรียนของแบบฝึกทักษะทางวิทยาศาสตร์ หน่วยที่ 1 เรื่อง การดำรงพันธุ์ของสิ่งมีชีวิต สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 เปรียบเทียบกับการทำแบบทดสอบหลังเรียน ซึ่งได้ค่าเฉลี่ยที่ 81.56 และคะแนนจากการทำแบบทดสอบหลังการเรียน 15 วัน ประสิทธิภาพความคงทนของแบบฝึกทักษะทางวิทยาศาสตร์ มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 80.56 4. ความพึงพอใจของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ที่มีต่อการเรียนด้วยแบบฝึกทักษะทางวิทยาศาสตร์ หน่วยที่ 1 เรื่อง การดำรงพันธุ์ของสิ่งมีชีวิต สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 มีค่าเฉลี่ยที่ 4.24 S.D. 1.45 อยู่ในระดับเหมาะสมมาก
โดยสรุป แบบฝึกทักษะทางวิทยาศาสตร์ หน่วยที่ 1 เรื่อง การดำรงพันธุ์ของสิ่งมีชีวิต สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ที่ผู้ศึกษาค้นคว้าพัฒนาขึ้น มีประสิทธิภาพและประสิทธิผล สามารถนำไปใช้ในการเรียนการสอนได้ และสามารถนำไปใช้สอนเพื่อให้ผู้เรียนบรรลุผลตามจุดมุ่งหมายของรายวิชาได้
บทคัดย่อ
ชื่อวิจัย : รายงานการพัฒนาและผลการใช้เอกสารประกอบการเรียน เรื่อง ประดิษฐ์สวยด้วยหัวใจ
พอเพียง ที่มีต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียน
เทศบาลบ้านคูหาสวรรค์
ชื่อผู้วิจัย : อำนวย พงศ์ไพบูลย์ ตำแหน่งครู วิทยฐานะ ครูชำนาญการ
โรงเรียนเทศบาลบ้านคูหาสวรรค์ เทศบาลเมืองพัทลุง จังหวัดพัทลุง
ปีการศึกษา : 2553
การศึกษาวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อสร้างและหาประสิทธิภาพเอกสารประกอบ
การเรียน เรื่อง ประดิษฐ์สวยด้วยหัวใจพอเพียง ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์มาตรฐาน80/80 2) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนโดยใช้เอกสารประกอบการเรียน เรื่อง ประดิษฐ์สวยด้วยหัวใจพอเพียง ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ทั้งก่อนเรียนและหลังเรียน
3) เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ที่มีต่อการเรียนโดยใช้เอกสารประกอบ
การเรียน เรื่อง ประดิษฐ์สวยด้วยหัวใจพอเพียง ผู้วิจัยได้กลุ่มตัวอย่างโดยการสุ่มตัวอย่างแบบง่าย (Simple Random Sampling) วิธีจับฉลากห้องเรียนมา 1 ห้อง จาก 14 ห้อง ของโรงเรียนเทศบาล
บ้านคูหาสวรรค์ ได้ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5/12 จำนวน 35 คน ในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2553 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ เอกสารประกอบการเรียน เรื่อง ประดิษฐ์สวยด้วยหัวใจพอเพียง จำนวน
6 เล่ม แผนการจัดการเรียนรู้จำนวน 6 แผน แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนจำนวน 30 ข้อ และแบบสอบถามความพึงพอใจต่อการเรียนโดยใช้เอกสารประกอบการเรียน จัดการเรียนการสอน
ตามคู่มือการใช้เอกสารประกอบการเรียน รวม 20 ชั่วโมง วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ค่าสถิติพื้นฐาน
การทดสอบค่าที (t – test) ค่าเฉลี่ย และค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน
ผลการวิจัยพบว่า เอกสารประกอบการเรียน เรื่อง ประดิษฐ์สวยด้วยหัวใจพอเพียง ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 มีประสิทธิภาพ เท่ากับ 87.53/87.47 นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนโดยใช้เอกสารประกอบการเรียน เรื่อง ประดิษฐ์สวยด้วยหัวใจพอเพียง ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 สูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 และนักเรียนมีความพึงพอใจต่อการเรียนโดยใช้เอกสารประกอบการเรียน เรื่อง ประดิษฐ์สวยด้วยหัวใจพอเพียง ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 อยู่ในระดับมาก