ชื่อเรื่องงานวิจัย
รูปแบบความร่วมมือระหว่างสถานศึกษากับผู้ปกครองเพื่อแก้ปัญหาการหนีเรียนของนักเรียน
คำถามการวิจัย
ความร่วมมือระหว่างสถานศึกษากับผู้ปกครองเพื่อแก้ปัญหาการหนีเรียนของนักเรียนควรมีรูปแบบอย่างไร
ความมุ่งหมายของการวิจัย
1.เพื่อศึกษาสภาพการหนีเรียนของนักเรียน
2.เพื่อหารูปแบบความร่วมมือระหว่างสถานศึกษากับผู้ปกครองเพื่อแก้ปัญหาการหนีเรียนของนักเรียน
สมมติฐานการวิจัย
1.การหนีเรียนของนักเรียนมีสภาพแตกต่างกัน
2.รูปแบบความร่วมมือระหว่างสถานศึกษากับผู้ปกครองแก้ปัญหาการหนีเรียนของนักเรียนได้
ทองสุข ทับเจริญ (2548 : 1-34) ได้ศึกษาการศึกษาและการแก้ปัญหานักเรียนโรงเรียนศึกษานารี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ห้อง 6 กลุ่ม ก. ปีการศึกษา 2548 โดยใช้ระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาสถานภาพส่วนตัวด้านต่าง ๆ ของนักเรียน และ ศึกษาผลการแก้ปัญหาโดยใช้ระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน การศึกษาครั้งนี้ศึกษาจากประชากรคือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ห้อง 6 กลุ่ม ก. จำนวน 29 คน โดยในการศึกษาเพื่อจำแนกนักเรียน ใช้แบบประเมินสุขภาพจิตและพฤติกรรมนักเรียน สภาพการหนีเรียน การศึกษาสถานภาพส่วนตัวของนักเรียน ผลการวิจัยพบว่า การศึกษาสถานภาพทั่วไปเกี่ยวกับนักเรียนด้านสุขภาพจิตและพฤติกรรมนักเรียนร้อยละ 100 ปลอดจากสารเสพติด นักเรียนส่วนใหญ่มีอายุ 12 ปี คิดเป็นร้อยละ 86.20 ด้านภูมิลำเนาส่วนใหญ่อยู่ในกรุงเทพมหานครคิดเป็นร้อยละ 82.75 ด้านที่พักอาศัยส่วนใหญ่ร้อยละ 51.72 พักบ้านพักส่วนตัว และจำนวนเงินที่ได้รับมาโรงเรียนส่วนใหญ่ร้อยละ 86.66 ข้อมูลด้านครอบครัวพบว่าบิดา-มารดา ส่วนใหญ่มีอายุระหว่าง 30-40 ปี และการศึกษาส่วนใหญ่ร้อยละ 24.13 มีการศึกษาต่ำกว่าระดับมัธยมศึกษาตอนต้น อาชีพส่วนใหญ่รับจ้าง แต่ถ้าเป็นมารดาส่วนใหญ่มีอาชีพรับจ้างและแม่บ้านครอบครัวส่วนใหญ่ร้อยละ 56.66 ไม่มีหนี้สิน วิชาที่นักเรียนถนัดและสนใจอันดับ 1 คือ ภาษาไทยและคณิตศาสตร์คิดเป็นร้อยละ 16.66 ด้านสุขภาพสายตานักเรียนส่วนใหญ่คิดเป็นร้อยละ 75.86 มีสายตาปกติ
นิศานาถ สารเถื่อนแก้ว (2546 : 61- 80) ได้ศึกษาความเครียดและวิถีการปรับแก้ของเด็กวัยรุ่นในโรงเรียนมัธยมศึกษา จังหวัดน่านระหว่างเดือน กุมภาพันธ์ ถึง มีนาคม 2546 คัดเลือกกลุ่มตัวอย่างโดยการสุ่มแบบแบ่งชั้นได้ กลุ่มตัวอย่างจำนวน 165 คน เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษา คือแบบสอบถามประกอบด้วย 3 ส่วน คือ 1) ข้อมูลส่วนบุคคล 2) แบบวัดความเครียด เด็กนักเรียนวัยรุ่นในสถานศึกษา มีความเครียดในระดับปานกลางร้อยละ 88.48 และเลือกใช้วิถีการปรับแก้ทั้ง 3 ด้าน โดยใช้วิถีการปรับแก้ด้านจัดการกับอารมณ์ร้อยละ71.92 ใช้การวิถีการปรับแก้ด้านจัดการกับปัญหาทางอ้อม ร้อยละ 20.55 และใช้การปรับแก้ด้านจัดการกับปัญหาเพียงร้อยละ 7.53 ผลการศึกษาครั้งนี้สามารถนำมาเป็นข้อมูลพื้นฐานสำหรับพิจารณาช่วยเหลือหรือส่งต่อนักเรียนที่มีความเครียด โดยบุคลากรในทีมสุขภาพ สมควรแนะนำทักษะที่หลากหลายในการเผชิญความเครียดให้กับนักเรียน ตามความเหมาะสมกับสภาพการณ์ที่นักเรียนเผชิญอยู่เพื่อให้นักเรียนสามารถนำไปใช้ปรับแก้ความเครียดให้เหมาะสมกับตนเอง และเพื่อนำข้อมูลมาประกอบในการช่วยแก้ปัญหาการหนีเรียนและปัญหาอื่น ๆ ของนักเรียนต่อไป
ไม่มีความเห็น