ส่วนในปีที่ผ่านมา กิจกรรมในภาพรวมในการดูแลผู้ป่วยเบาหวานที่ยังทำกันอย่างต่อเนื่อง ....เลยเอามาลงสรุปให้ดูอีกครั้งครับ เผื่อว่าในเครือข่ายจะมีข้อเสนอแนะ เพิ่มเติม......ขอบคุณครับ
<p align="center">การดูแลดูแลผู้ป่วยเบาหวาน</p>
โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชธาตุพนม จ.นครพนม
</font></strong><p align="justify"> </p><p align="justify">โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชธาตุพนม เป็นโรงพยาบาลชุมชนขนาด 90 เตียง ให้บริการผู้ป่วยในเขตรับผิดชอบ ประมาณ 84,894 คน บุคลากรประกอบด้วย อายุรแพทย์ 1 คน ศัลยแพทย์ 1 คน กุมารแพทย์ 1 คน สูติแพทย์ 1 คน แพทย์ทั่วไป 1 คน ทันตแพทย์ 2 คน เภสัชกร 7 คน นักกายภาพบำบัด 1 คน นักโภชนากร 1 คน และพยาบาล 86 คน ซึ่งในปีงบประมาณ 2547 พบว่ามีสถิติผู้ป่วย เบาหวานมารับบริการจำนวนมากที่สุด (อันดับ1 ใน 10 อันดับโรคแรก) คือมารับบริการที่ผู้ป่วยนอก 5,123 ครั้ง และผู้ป่วยใน 273 ครั้ง จากทะเบียนผู้ป่วยเบาหวานทั้งหมด 1,204 ราย ดังนั้นโรงพยาบาลจึงมีการกำหนดเป็นยุทธศาสตร์ในปีงบประมาณ 2548 เพื่อพัฒนาการดูแลผู้ป่วยเบาหวานเป็นสำคัญ โดยเน้นไปที่การจัดบริการให้ครอบคลุมทั้งมารตฐานการดูแลรักษาผู้ป่วย และการมีส่วนร่วมของ ผู้ป่วยและญาติ รวมทั้งมุ่งสร้างเครือข่ายการดูแลไปยังศูนย์สุขภาพชุมชนและหน่วยงานส่วนท้องถิ่น</p>
1.คลินิกเบาหวาน
ในปีงบประมาณ 2547 คลินิกเบาหวานมีผู้ป่วยทั้งหมด 1,204 ราย มารับริการทุกวันศุกร์โดยจัดการให้บริการแบบ one stop service และนัดผู้ป่วยทุก 1- 3 เดือน โดยปัญหาสำคัญที่พบคือจำนวนผู้ป่วยที่มีมาก ส่งผลต่อคุณภาพการให้บริการในภาพรวมทั้งทางด้านความพึงพอใจของผู้ป่วย และประสิทธิผลของการรักษา ในปีงบประมาณ 2548 จึงได้เริ่มจัดกิจกรรมในคลินิกเบาหวานใหม่ โดยมุ่งเป้าให้เกิด การดูแลผู้ป่วยที่เป็นองค์รวม (Holistic)
<p align="justify">การพัฒนาคลินิกเบาหวานในช่วงแรก</p><p align="justify">เพิ่มวันให้บริการเป็น 2 วันต่อสัปดาห์ (จากเดิมนัดเฉพาะวันศุกร์) เริ่มดำเนินการเดือน ตุลาคม 2547 ถึงกุมภาพันธ์ 2548 โดยแบ่งผู้ป่วย 2 กลุ่มคือ</p>
(1)กลุ่ม Good control (FBS < 180 mg%) นัดวันศุกร์ ทุก 1-3 เดือน เหมือนเดิม
(2)กลุ่ม Poor control with complication (FBS > 180 mg%) จำนวนทั้งหมด 114 ราย จะนัดวันพฤหัสบดี เดือนละครั้ง เพื่อให้แพทย์มีเวลามากขึ้นในการคัดกรองปัญหาโรคแทรกซ้อนของผู้ป่วย รวมทั้งเพิ่มการทำกิจกรรมให้ความรู้รายกลุ่มแก่ผู้ป่วยและญาติ โดยทีมสหวิชาชีพ ทั้งหมด 4 ครั้งภายใน 4 เดือน ดังนี้
- แพทย์/พยาบาล : ความรู้เรื่องโรค การดูแลตนเอง การปฏิบัติตัว
- เภสัชกร : ความรู้เรื่องยา ความสำคัญของการใช้ยา อาการไม่พึงประสงค์ของยา
- นักกายภาพบำบัด : การออกกำลังกายที่เหมาะสมกับโรคเบาหวาน ข้อห้าม ข้อควรระวังในการออกกำลังกาย
- โภชนากร : ให้ความรู้เรื่องอาหารในผู้ป่วยเบาหวาน
</font><p align="justify">จากผลการดำเนินการในช่วงแรก พบว่าความพึงพอใจของผู้ป่วยมากขึ้น ทั้งทางด้านคุณภาพการให้บริการ และระยะเวลารอคอย รวมทั้งพบว่าผู้ป่วยว่าในผู้ป่วยกลุ่มที่(2) สามารถคุมน้ำตาลได้ดีขึ้น(FBS <180 mg%) ถึงร้อยละ 41.23 แต่อย่างไรก็ตามการให้ความรู้รายกลุ่มแก่ผู้ป่วยและญาติ ยังไม่สามารถทำได้ครอบคลุมในทุกกลุ่มผู้ป่วย และการวัดประสิทธิผลของการรักษาจากค่า FBS อาจยังไม่เหมาะสม รวมทั้งการส่งต่อผู้ป่วยลงไปสู่ชุมชนยังไม่สามารถทำได้</p><p align="justify"> </p><p align="justify">การพัฒนาคลินิกเบาหวานในปัจจุบัน</p>มุ่งสู่คุณภาพการรักษาในทุกกลุ่มผู้ป่วย โดยใช้ ค่า HbA1c เป็นตัวแบ่งกลุ่มผู้ป่วย และวัด ประสิทธิผลของการรักษา (Clinical Outcome) จากค่า HbA1c และการเกิดภาวะแทรกซ้อน โดยกำหนดกิจกรรมเพิ่มคือ <p align="justify">1. กำหนดให้ค้นหาโรคแทรกซ้อนในผู้ป่วยเบาหวานทุกคนปีละ 1 ครั้ง(annual checkup) ตามมาตรฐานของราชวิทยาลัยอายุรศาสตร์และได้เริ่มดำเนินการตรวจ ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์2548 โดยมีการตรวจทาง ห้องปฏิบัติการ คือ HbA1c, LDL, HDL เพิ่มจากเดิมที่ตรวจได้เฉพาะ U/A , BUN, Cr, Chl. , TGโดยที่ OPD card ผู้ป่วยเบาหวานจะเปลี่ยนเป็นสีชมพูเพื่อให้เห็นได้ชัดเจน และตรวจสอบว่าได้รับการตรวจครบถ้วน</p>
2. ผู้ป่วยจะได้รับสมุดประจำตัวผู้ป่วยเบาหวานสีชมพู เพื่อใช้ในการบันทึกประวัติ การตรวจร่างกาย การดำเนินโรค การใช้ยา การได้รับคำแนะนำจากทีมสหวิชาชีพ รวมทั้งเนื้อหาความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับ โรคเบาหวาน ทั้งหมด
3. แพทย์คัดกรองผู้ป่วยเบาหวานที่ควบคุมระดับน้ำตาลได้ดี (HbA1c < 7%) และไม่มี complication เพื่อส่งต่อให้สถานีอนามัยดูแล ซึ่งกำลังอยู่ในขั้นตอนการคัดแยกกลุ่มผู้ป่วยและกำหนดแนวทางการดูแลผู้ป่วยเบาหวานของเจ้าหน้าที่ สอ. ซึ่งจะเริ่มดำเนินการในปีงบประมาณถัดไป
4.พัฒนาทีมดูแลผู้ป่วยเบาหวานแบบสหวิชาชีพ ทั้งด้านองค์ความรู้ใหม่และนวัตกรรม ในการดูแลผู้ป่วยเบาหวาน โดยกำหนดให้มี การแลกเปลี่ยนแบบเสวนาวิชาการ อย่างน้อย ปีละ 2 ครั้ง
- เดือน ตุลาคม 2547 ศัลยแพทย์ได้ปรับเปลี่ยนความรู้ใหม่ในการดูแลผู้ป่วยเบาหวานที่เป็นแผลที่เท้า ทั้งในส่วนการรักษาของแพทย์ และการดูแลผู้ป่วยของของทีม และอบรมเพิ่มเติมทุก 3 เดือน อีก 2 ครั้ง
- เดือน พฤษภาคม 2548 ได้เปลี่ยนอุปกรณ์ในการฉีดInsulinในผู้ป่วยทุกราย จาก Insulin syring เป็น ปากกาอินสุลิน (novopen) ซึ่งมีข้อดี คือ ใช้ง่าย ปรับปริมาณยาง่าย ไม่ต้องเก็บในตู้เย็น เข็มฉีดยามีขนาดเล็กฉีดไม่เจ็บ และพกพาสะดวก ซึ่งจะสามารถเพิ่ม Adherence มากขึ้นในผู้ป่วยกลุ่มนี้
</font><p align="justify"> </p><p align="justify">2.ผู้ป่วยเบาหวานที่รับการรักษาในโรงพยาบาล</p><p align="justify">1.แพทย์กำหนดแนวทางการดูแลผู้ป่วย DM with CRF ใหม่ในด้านการปรับเปลี่ยนยาจากยารับประทาน เป็น Insulin เพื่อป้องกันภาวะ Hypoglycemiaเนื่องจาก ผู้ป่วยกลุ่ม DM with CRF มีความเสี่ยงในการเกิด ภาวะ Hypoglycemia มากกว่ากลุ่มอื่นๆ ซึ่งเกิดได้จากสาเหตุทั้งภาวะโรค การใช้ยา และการปฏิบัติตัว โดยเริ่มดำเนินการ เดือน ม.ค. 2547 ในการทบทวนพบว่าเดือน ม.ค. – ต.ค. 2547 ผู้ป่วยจำนวนกลุ่มนี้ทั้งหมด 94 ครั้ง ถูกปรับเปลี่ยนจากยากินเป็น Insulin ทั้งหมดทุกคน และในเดือน พ.ย. 2547 – พ.ค. 2548 ยังพบว่ามีจำนวนผู้ป่วย DM with CRF ที่Admit ด้วยภาวะ Hypoglycemia 6 รายจาก 25 ราย ( 24 % ) ซึ่งจากการทบทวนสาเหตุพบว่ามีสาเหตุอื่นนอกเหนือจากยา เช่น Sepsis การรับประทานอาหารน้อย และการปรับขนาดยาของผู้ป่วย</p>2.ผู้ป่วยในที่พบปัญหาโรคแทรกซ้อนทางศัลยกรรม เช่น DM foot ได้มีการปรับเปลี่ยนความรู้และแนวทางการดูแลรักษาใหม่แก่ทีม รวมทั้งระบบการ Consult ระหว่างแพทย์ผู้ดูแลกับศัลยแพทย์ โดยพบว่าระหว่างเดือน ต.ค. 2547 – พ.ค. 2548 มีผู้ป่วยได้รับการ consult กับแพทย์เฉพาะทาง 12 ราย ยังไม่พบการ Re-admit <p align="justify">3.ทีมสหวิชาชีพร่วมกันให้ข้อมูลในผู้ป่วยเบาหวาน รวมทั้งญาติและผู้ดูแล ขณะนอนโรงพยาบาลตามแผนการจำหน่ายผู้ป่วย(D/C Plan) โดยมีแพทย์ พยาบาลให้ข้อมูลเรื่องโรค การปฏิบัติตัว เภสัชกรร่วมให้ข้อมูลด้านการใช้ยา ค้นหาปัญหาที่เกี่ยวเนื่องกับยา นักกายภาพบำบัดสอนด้านการออกกำลังกาย และโภชนากรให้ข้อมูลด้านอาหารผู้ป่วยเบาหวาน จากการดำเนินการเดือน ต.ค. 2547 – พ.ค. 2548 จำนวนผู้ป่วยเบาหวานที่ได้รับการดูแลจากทีม = 162 ราย </p>
4. ผู้ป่วยเบาหวานที่นอนในโรงพยาบาล ในกรณีผู้ป่วยที่ไม่สามารถควบคุมระดับน้ำตาล มีโรคแทรกซ้อน และช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ จะดำเนินการส่งต่อให้ทีมเยี่ยมบ้าน (HHC)เพื่อกำหนดวันเยี่ยมบ้านภายใน 2 สัปดาห์หลังจำหน่าย โดยทีมเยี่ยมบ้านประกอบด้วยพยาบาล PCU และพยาบาลประจำ Ward ทำการเยี่ยมบ้านในทุกวันพฤหัสบดี เพื่อประเมินการปฏิบัติตัวตามแผนการจำหน่าย และการเปลี่ยนแปลง/การดำเนินโรค โดยสามารถดำเนินการเต็มรูปแบบในเขตตำบลธาตุพนม(ส่วนของ PCU ในโรงพยาบาล) ส่วนผู้ป่วยนอกเขต จะเริ่มดำเนินการในปีงบประมาณ 2549 โดยส่งต่อให้กับเจ้าหน้าที่ในสถานีอนามัย ดำเนินการเยี่ยมบ้านตามเกณฑ์ที่กำหนด รวมทั้งการส่งต่อข้อมูลกลับ
จากการดำเนินการตั้งแต่เดือน ต.ค. 2547 – มิ.ย. 2548 ในเขต ต.ธาตุพนม ที่โรงพยาบาลรับผิดชอบ ผู้ป่วยถูกส่งเยี่ยมบ้านทั้งหมด 22 ราย พบว่า
- อัตราการปฏิบัติตาม D/C plan = 100 %
- อัตราการเปลี่ยนแปลง/ดำเนินโรค = 4 ราย(18.2 %)
</font><p align="center"> </p>
</font>