ความคิดเห็นของนักศึกษาต่อการจัดกิจกรรมร่วมหลักสูตร
คณะวิทยาการจัดการ ในสถาบันราชภัฏหมู่บ้านจอมบึง
ผู้วิจัย : บุญศรี หวังคุณธรรม
มีนาคม 2546
ประวัติความเป็นมา
ปัญหาการพัฒนานักศึกษามีแนวโน้มว่า จะมีมีอุปสรรคเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านทักษะชีวิต อันเป็นคุณลักษณะที่จะต้องได้รับการพัฒนาไปสู่คุณลักษณะของนักศึกษาที่พึงประสงค์ตามปรัชญา ปณิธานของแต่ละสถาบันการศึกษา คุณลักษณะที่พึงประสงค์เหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่ไม่มีการจัดการเรียนการสอนในชั้นเรียนที่มุ่งสู่ความเป็นเลิศทางวิชาการ แต่จะมีลักษณะเป็นหลักสูตรแผงในรูปของกิจกรรมร่วมหลักสูตร งานของกิจกรรมนักศึกษา ที่ประด้วยการเปิดโอกาสให้นักศึกษาทำกิจกรรมตามความถนัด ความสนใจ มีโอกาสเรียนรู้ร่วมกันกับเพื่อน โดยผ่านกระบวนการทางสังคม ผ่านประสบการณ์ตรงจากการปฏิบัติจริง และการแก้ปัญหานำไปสู่การพัฒนาตนตามเป้าหมายที่พึงประสงค์ (มาณี ไชยธีรานุวัฒศิริ.2543:1)
สำหรับกิจกรรมที่ทาง สถาบันราชภัฏหมู่บ้านจอมบึงได้กำหนดขึ้นเพื่อเป็นเครื่องมือที่สำคัญในการพัฒนาคุณลักษณะของนักศึกษาแบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม คือ 1) กลุ่มกิจกรรมบังคับ 2) กลุ่มกิจกรรมบังคับเลือก 3) กลุ่มกิจกรรมตามความถนัดและความสนใจ ตามระเบียบว่าด้วยการพัฒนาคุณลักษณะของนักศึกษาของสถาบันราชภัฎหมู่บ้านจอมบึง ปัจจุบันนักศึกษาเข้ามามีส่วนร่วมกิจกรรมตามระเบียบดังกล่าวให้ความสนใจน้อยโดยสังเกต ได้จากการเข้าร่วมกิจกรรมเป็นไปอย่างไม่เต็มใจ โดยมีพฤติกรรมต่อการจัดกิจกรรมน้อย หรือไม่สนใจเลย ดังนั้น ผู้วิจัยในฐานะที่เกี่ยวข้องกับงานกิจกรรมนักศึกษา จึงเห็นควรศึกษาเรื่องความคิดเห็นของนักศึกษา ต่อการจัดกิจกรรมร่วมหลักสูตรของนักศึกษาคณะวิทยาการจัดการ สถาบันราชภัฎหมู่บ้านจอมบึง เพื่อนำมาพัฒนาปรับปรุงมาตรการดำเนินการให้สนองตอบต่อความต้องการของนักศึกษา และเป็นข้อมูลในการวางแผน เพื่อดำเนินการด้านงานกิจการนักศึกษาต่อไป
ความมุ่งหมายของการศึกษาค้นคว้า
1. เพื่อศึกษาความคิดเห็นของนักศึกษาต่อการจัดกิจกรรมร่วมหลักสูตรคณะวิทยาการจัดการในสถาบันราชภัฎหมู่บ้านจอมบึง
2. เพื่อเปรียบเทียบความแตกต่างด้านความคิดเห็นของนักศึกษาต่อการจัดกิจกรรมร่วมหลักสูตรคณะวิทยาการจัดการ ในสถาบันราชภัฎหมู่บ้านจอมบึง โดยจำแนกตาม เพศ ผลการเรียน ชั้นปีที่กำลังศึกษา โปรแกรมวิชา
3. เพื่อรวบรวมความคิดเห็นของนักศึกษาต่อการจัดกิจกรรมร่วมหลักสูตรคณะวิทยาการจัดการในสถาบันราชภัฎหมู่บ้านจอมบึง
ความสำคัญของการศึกษาค้นคว้า
ผลการวิจัยในครั้งนี้จะเป็นข้อมูลให้คณะวิทยาการจัดการ ในสถาบันราชภัฎหมู่บ้านจอมบึงใช้เป็นแนวทางในการดำเนินงานเกี่ยวกับกิจกรรมร่วมหลักสูตรของนักศึกษา คณะวิทยาการจัดการในสถาบันราชภัฎหมู่บ้านจอมบึง ให้สนองตอบต่อความต้องการของนักศึกษาได้อย่างเหมาะสม
สมมติฐานการศึกษาค้นคว้า
1. นักศึกษาที่มีเพศต่างกัน มีความคิดเห็นที่มีต่อการจัดกิจกรรมร่วมหลักสูตรทั้ง 3 ด้านต่างกัน
2. นักศึกษาที่มีผลการเรียนต่างกัน มีความคิดเห็นที่มีต่อการจัดกิจกรรมร่วมหลักสูตร ทั้ง 3 ด้านต่างกัน
3. นักศึกษาที่มีชั้นปีต่างกัน มีความคิดเห็นต่อการจัดกิจกรรมร่วมหลักสูตรทั้ง 3 ด้านต่างกัน
4. นักศึกษาที่มีโปรแกรมวิชาต่างกัน มีความคิดเห็นที่มีต่อการจัดกิจกรรมร่วมหลักสูตรทั้ง 3 ด้านต่างกัน
วิธีดำเนินการศึกษาค้นคว้า
ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง
1. ประชากร เป็นนักศึกษาภาคปกติ คณะวิทยาการจัดการ สถาบันราชภัฎหมู่บ้านจอมบึง ชั้นปีที่ 1 และชั้นปีที่ 2 ประกอบด้วย โปรกแกรมวิชานิเทศศาสตร์ โปรแกรมวิชานิเทศบริหารธุรกิจ จำนวน 550 คน
2. กลุ่มตัวอย่าง กำหนดขนาดกลุ่มตัวอย่างโดยใช้เกณฑ์ของยามาเน่ ในระดับความเชื่อมั่นร้อยละ 95 ในการวิจัยนี้ กำหนดกลุ่มตัวอย่างรวม 260 คน แบ่งเป็น
2.1 นักศึกษาโปรแกรมวิชานิเทศศาสตร์ ชั้นปีที่ 1 จำนวน 40 คน ชั้นปีที่ 2 จำนวน 20 คน
2.2 นักศึกษาโปรแกรมวิชาบริหารธุรกิจ ชั้นปีที่ 1 จำนวน 110 คน ชั้นปีที่ 2 จำนวน 90 คน
เครื่องมือการวิจัย
แบบสอบถาม
วิธีสร้างเครื่องมือ
1. ผู้วิจัยได้ศึกษาเอกสาร และงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับความคิดเห็นของนักศึกษาต่อการจัดกิจกรรมร่วมหลักสูตรคณะวิทยาการจัดการ ในถาบันราชภัฎหมู่บ้านจอมบึง
2. ศึกษาวิธีสร้างแบบสอบถามจากเอกสาร และงานวิจัยที่เกี่ยวข้องต่างๆ
3. การสร้างแบบสอบถามโดยให้ครอบคลุมเนื้อหาตามกรอบแนวคิดของการวิจัย
4. นำแบบสอบถามเสนอต่ออาจารย์ที่ปรึกษาสารนิพนธ์ และอาจารย์ผู้ช่วยชาญพิจารณาตรวจสอบความถูกต้อง และเสนอแนะเพิ่มเติม
5. นำแบบสอบถามที่แก้ไข แล้ว เสนอผู้เชี่ยวชาญจำนวน 3 ท่าน ตรวจแก้ไขและให้ข้อเสนอแนะเพิ่มเติม ตลอดจนวิเคราะห์ความเที่ยงตรงในด้านเนื้อหาและการใช้ภาษา (Content Vality) ให้ถูกต้องเหมาะสมยิ่งขึ้น
6. ปรับปรุงแบบสอบถามตามข้อเสนอแนะของผู้เชี่ยวชาญ จากนั้นนำเสนออาจารย์ที่ปรึกษาสารนิพนธ์ตรวจสอบอีกครั้ง เพื่อปรับปรุงแก้ไขครั้งที่สุดท้าย ก่อนนำไปทดลองใช้
7. นำแบบสอบถามที่ปรับปรุงแก้ไขแล้วทดลองใช้ (Try-out) กับกลุ่มนักศึกษาที่ไม่ใช่กลุ่มตัวอย่าง จำนวน 30 คน และนำผลหาค่าอำนาจจำแนกรายข้อโดยการทดสอบค่า (t-test)
8. นำแบบสอบถามที่ผ่านการคัดเลือกไปหาค่าความเชื่อมั่นของแบบสอบถามทั้งฉบับโดยวิธีหาค่าสัมประสิทธิ์แอลฟ่า (Alpha-Coefficient) ของครอนบาค ได้ค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับเท่ากับ .95
สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล
1. ค่าสถิติพื้นฐาน ได้แก่
1.1 ค่าร้อยละ
1.2 ค่าเฉลี่ย (Mean)
1.3 ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน (SD)
2. สถิติหาความเชื่อมั่น (Reliability) โดยหาค่าสัมประสิทธิ์ (Alpha-Coefficient) โดยใช้สูตรของครอนบาค (Cronbach)
3. สถิติทดสอบสมมมติฐาน
3.1 สถิติที่ใช้ทดสอบความแตกต่างระหว่างค่าเฉลี่ยของกลุ่มตัวอย่างสองกลุ่ม โดยใช้ t-test
3.2 สถิติที่ใช้ทดสอบความแตกต่างระหว่างกลุ่มตัวอย่างมากกว่า 2 กลุ่มขึ้นไปและวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว (One-Way Analysis of Variance)
สรุปผลการวิจัย
1. นักศึกษาเห็นว่าการจัดกิจกรรมร่วมหลักสูตรโดยรวมอยู่ในระดับมาก ด้านส่วนตัว ด้านส่งเสริมและสนับสนุนของสถาบันอยู่ในระดับมาก ส่วนด้านสิ่งอำนวยความสะดวกอยู่ในระดับปานกลาง
2. นักศึกษาที่มีเพศต่างกัน มีความเห็นว่า กิจกรรมร่วมหลักสูตรโดยรวมแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ และรายด้านทั้ง 3 ด้าน แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05
3. นักศึกษาที่มีผลการเรียนต่างกัน มีความคิดเห็นว่าการจัดกิจกรรมด้านสิ่งอำนวยความสะดวกแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ โดยผลการเรียนกลุ่มสูง มีความคิดเห็นแตกต่างกับกลุ่มต่ำ และกลุ่มปานกลาง มีความคิดเห็นแตกต่างกับกลุ่มต่ำ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05
4. นักศึกษาที่มีชั้นปีต่างกัน มีความคิดเห็นว่า การจัดกิจกรรมร่วมหลักสูตรต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ
5. นักศึกษาที่มีโปรแกรมวิชาต่างกัน มีความคิดเห็นว่า การจัดกิจกรรมร่วมหลักสูตรแตกต่างกันอย่างไม่มีนัยสำคัญทางสถิติ
เสร็จซะที...น้องเรา ถึงเวลาขึ้นงานวิจัยของตัวเองแล้วครับ..จะรอ
มาเยี่ยมชมผลงานครับ