๒๐. ท่องเที่ยวลาวใต้ เวียดนามกลาง-ใต้ : บทส่งท้าย ประสบการณ์จากการแลกเปลี่ยนเรียนรู้


การที่จะประสบผลสำเร็จในสิ่งที่มุ่งหวัง สิ่งที่สำคัญต้องมีความมุ่งมั่น ไม่ย่อท้อเมื่อเจออุปสรรค

 

     สิ้นสุดการท่องเที่ยวลาวใต้ เวียดนามกลาง-ใต้  วันที่ 14 - 22 พฤศจิกายน 2552  รวม 8 คืน  9  วัน   อ่านได้ข้างล่างนี้ค่ะ

 

ตอนที่  1 : วันแรก เปิดม่านลาวใต้

ตอนที่ 2  :  ว้นที่สอง ปราสาทวัดพู น้ำตกตาดผาซ่วม  เข้าเวียดนาม    

ตอนที่   3  :  วันที่สาม อุโมงค์หลบภัยหมู่บ้านวินห์ม๊อก  ถ้ำฟงหงา ล่องแม่น้ำหอม    

ตอนที่   4  :  วันที่สี่ พระราชวังเว้  สุสานพระเจ้าไคดิงห์  จักรพรรดิ์ตือดุ๊ก เจดีย์เทียนมู  ฮอยอัน   

ตอนที่   5  :  วันที่ห้า-หก  ดานัง  โฮจิมินห์  ฟานเทียต หาดมุ๊ยเน๊ะ ปราสาทจาม โปงกระลงกระลา  ดาลัด    

ตอนที่   6 :  วันที่เจ็ด  ดาลัดเมืองแห่งพระราชวังฤดูร้อยของจักรพรรดิ์บ่าวได๋  สวนดอกไม้  เจดีย์ตึ๊กลาม    

ตอนที่   7 :  วันที่แปด-เก้า  โฮจิมินห์  กรุงเทพฯ      

 

          กลับมาถึงบ้านพักที่เมืองไทยแล้ว  ผู้เขียนได้ลองทำ AAR  การท่องเที่ยวในครั้งนี้  ได้ผลอย่างนี้ค่ะ

 

         การท่องเที่ยวครั้งนี้  นับว่าได้ผลสำเร็จเกินความคาดหมาย  เพราะเริ่มต้นจะไปเฉพาะทีมของตัวเอง  8  คน โดยแจ้งให้บริษัททัวร์ทราบว่าอยากไปที่ใดบ้าง ใช้เวลากี่วัน คนกี่คน แล้วให้บริษัททัวร์จัดรายการให้   แต่เมื่อมีอีกทีมมาร่วมด้วย  6  คน  ซึ่งเป็นทีมที่มีประสบการณ์มาก (ไม่รู้มาก่อนว่าเป็นใคร  เพียงแต่คิดว่าน่าจะดีที่จะได้รู้จักคนเพิ่ม ได้เพื่อนใหม่)  และมีการเล่าประสบการณ์ของตัวเองให้กลุ่มฟัง  ทำให้ได้รับประโยชน์ อย่างมากมายจากการเปิดใจของพวกพี่ ๆ  ที่มาร่วมแจมด้วย

 

         มีปัญหาอยู่นิดเดียว  ที่มีคนติงว่าใช้เวลาในการท่องเที่ยวมากไป น่าจะลดลงมาเหลือเพียง 6-7  วัน  แต่หลายคนมีความคิดเห็นว่าเวลาเท่านี้เหมาะแล้ว เพราะจะได้เที่ยวแบบเจาะลึก

 

         การติดต่อกับทัวร์  ได้แจ้งแล้วว่าไม่ต้องการที่เที่ยวมากมายแต่ต้องการในเรื่องของการเจาะลึกมากกว่า  แล้วก็แจ้งสถานที่เที่ยวที่ต้องการไป  ปรากฏว่าทัวร์รับหมดทุกรายการ  แต่เวลาไปจริงไม่ได้อย่างที่ต้องการทั้งหมด  ทัวร์น่าจะบอกก่อนว่า  บางสถานที่ต้องตัดออก เพราะเวลาไม่พอ  แต่ก็เห็นใจว่า ทัวร์เป็นธุรกิจ  รับปากไว้ก่อน  ทำได้ไม่ได้สถานการณ์คงพาไปเอง   ไม่งั้นเกิดเราเปลี่ยนไปทัวร์อื่นเขาก็จะเสียลูกค้าเปล่า ๆ   เพราะจริง ๆ  ไม่ได้รู้จักกันมาก่อน

 

          คราวต่อไปหากเราจะไปเที่ยวอีก  อาจจะใช้ทัวร์เดิมเพราะคงรู้สไตล์การท่องเที่ยวของพวกเราแล้ว  หรือไม่ก็ไปกันเอง  หลายประเทศในเอเซียที่คนไทยไม่ต้องขอวีซ่า  เข้าไปเที่ยวได้เลย  แถมค่าเครื่องบินก็ไม่แพงเหมือนสมัยก่อน

 

                   

                                   

 

         ประสบการณ์จากผู้รู้ 

        การแลกเปลี่ยนประสบการณ์เกิดจากการที่ผู้เขียนเห็นว่ามีเวลาว่างเยอะมากในการนั่งรถจากสถานที่หนึ่งไปอีกสถานที่หนึ่ง ซึ่งหลังจากฟังไกด์คุยให้ฟังจนหมดแล้ว  ส่วนใหญ่ก็จะนั่งหลับ  เพื่อไม่ให้เสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์ จึงได้ไปคุยกับพี่ ๆ  บอกว่าอยากฟังประสบการณ์ในการใช้ชีวิตเพราะแต่ละคนอายุตั้งแต่เฉียดหกสิบ จนถึงเจ็ดสิบปี น่าจะมีเรื่องที่น่าสนใจมากมายในการที่น้อง ๆ  จะได้นำไปปรับใช้  ซึ่งพี่ ๆ  แต่ละคนก็ยินดีที่จะเล่าให้ฟัง

 

           ...หลังจากเสร็จสิ้นจาก  Tour  แล้ว ก็ยังมีความสัมพันธ์อันดีต่อกัน  ทางทีมผู้ขอแจมได้ส่งหนังสือที่น่าสนใจที่เป็นประวัติตัวเองมาให้อ่าน ซึ่งผู้เขียนอ่านจบแล้วก็ได้ส่งต่อให้เพื่อน ๆ  ในทีมเดียวกัน...และพี่ ๆ  ยังชวนให้มากินข้าวเย็นด้วยกัน หากผู้เขียนขึ้นกรุงเทพ ฯ  

 

  

                                  

               

        

              ผู้เขียนขอเล่าประสบการณ์ส่วนหนึ่งที่ได้รับ  โดยประมวลจากทั้งคำบอกเล่าของเจ้าตัวและจากหนังสือที่ได้รับเพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนเรียนรู้กันค่ะ

 

          กลุ่มที่มาแจม  6  คน  ในจำนวนนี้  5  คน  มีความเกี่ยวพันเป็นเครือญาติกัน  โดยหัวหน้าทีมที่เป็นชายหนึ่งเดียว คือ  พี่เม้ง  อายุ  69  ปี  มาพร้อมภรรยา (อายุ 69 ปี)และน้องภรรยา (อายุ 65 ปี) รวมทั้งน้องสาวของตัวเอง  2  คน  ได้แก่ พี่ ดร.ศรี (อายุกว่า 60 ปี)  และพี่ล้ง (อายุ 59 ปี)     แต่ละคนสุขภาพแข็งแรง  หากให้เดาในเรื่องอายุไม่มีใครที่จะเดาได้ตรงกับอายุจริง  เพราะดูหน้าแล้วต้องลดอายุลง อย่างน้อย 6-10  ปี

 

         พี่เม้งเล่าว่า  ตัวเองเป็นพี่คนโตของครอบครัว  ซึ่งมีพี่น้องทั้งหมด  7  คน  น้องคนรองคือ พี่ ดร.ศรี 

 

         เป็นธรรมดาของครอบครัวคนจีนที่ส่งเสริมลูกชายมากกว่าลูกสาว เพราะลูกสาวเมื่อแต่งงานแล้วก็ถือว่าเป็นคนในครอบครัวสามี  พี่เม้งได้เรียนหนังสือ  ในขณะที่ พี่ ดร.ศรี  พ่อ-แม่ ให้เรียนเพียงประถมปีที่  4   แล้วให้ออกมาช่วยงานบ้าน 

 

         พี่เม้งได้เรียนหนังสือจนจบปริญญาตรี  เข้ารับราชการที่หน่วยงานราชการแห่งหนึ่ง  แต่งงานและมีลูกสาว 2  คน  ปัจจุบันทั้งสองคนแต่งงานแล้ว  มีอาชีพที่ดีเป็นที่นับหน้าถือตาในสังคม  

      

        พี่เม้งเป็นลูกกตัญญูดูแล พ่อ-แม่มาตลอด  พ่อเสียชีวิตเมื่ออายุ 60 กว่าปี  พี่เม้งเริ่มท่องเที่ยวหลังจากนั้น เพราะคิดว่าชีวิตนี้ไม่แน่นอน พ่ออยากไปเที่ยวก็ไม่ได้เที่ยว เพราะเสียชีวิตก่อน พี่เม้งเที่ยวตั้งแต่ลูกยังเล็ก ๆ  ไปกันทั้งครอบครัว  รวมทั้งแม่ด้วย แม่อยากจะไปไหนก็พาไปตลอด จนแม่นั่งรถเข็นพี่เม้งก็ยังพาไปเที่ยวอยู่  ตำแหน่งสุดท้ายของพี่เม้งขณะเกษียณราชการ คือ C9

 

 

                                                 

  

 

           พี่  ดร.ศรี  เป็นลูกคนที่สองรองจากพี่เม้ง   พี่ศรี เล่าให้ฟังว่า  ที่บ้านเรียนเก่งกันทุกคน  ตัวเองก็เรียนเก่ง  แต่ต้องหยุดเรียนเมื่อจบ ป.4  เพราะต้องมาช่วยงานของครอบครัว  แต่ในใจก็คิดอยู่ตลอดเวลาว่าต้องเรียนต่อให้ได้  เมื่อทำงานให้ครอบครัวได้ 4-5 ปี  ก็คิดว่าพอแล้ว จะขอไปเรียนต่อ  ที่บ้านไม่ยอม แต่พี่ศรีก็ไม่ยอมเหมือนกัน  ด้วยใจที่มุ่งมั่น  พี่ศรีบอกว่า ก่อนออกจากบ้านได้ถอดสร้อยทองคืนให้แม่ทั้งหมด  แล้วออกจากบ้านไปอยู่กับญาติที่กรุงเทพ  ช่วยญาติทำงาน พร้อมกันนั้นก็เรียนศึกษาผู้ใหญ่ไปด้วย  จนจบชั้นมัธยมปลาย

 

          ในช่วงที่สอบเทียบชั้นมัธยมปลายนั้น พี่ศรีบอกว่าสอบภาษาอังกฤษไม่ผ่าน ไม่รู้เรื่อง แต่อาศัยว่าเคยเรียนภาษาจีน เขาให้สอบด้วยภาษาต่างประเทศภาษาอะไรก็ได้ ก็เลยสอบผ่านด้วยภาษาจีน  

 

           พี่ศรี สอบเอนทรานซ์ ในปีแรกไม่ได้  ประกอบกับขณะนั้น น้องสาวอีกคนกำลังจะสอบเอนทรานซ์ในปีถัดไปจึงร่วมติวพร้อมน้องสาวและเพื่อนของน้องสาว  พี่ศรีบอกว่าในช่วงที่ติวกันนั้น  คำถามที่เขาถามกันพี่ศรีไม่รู้เรื่องเลย สุดท้ายตัดสินใจหยุดงานเพื่ออ่านหนังสืออย่างเดียว 6 เดือนเต็ม  

        

           คราวนี้พี่ศรีสอบได้  เข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง  พี่ศรีบอกว่าขณะเรียน  จดเลคเชอร์ไม่ได้เลย  จดไม่เป็นเพราะไม่เคยเรียนในระบบการศึกษาแบบปกติมาก่อน  ต้องขอยืมเพื่อนมาลอกทุกคืน    ตอนเช้าก็ส่งคืน

 

          หลังจากจบปริญญาตรี  พี่ศรีก็เรียนต่อปริญญาโทและทำงานที่มหาวิทยาลัยที่จบมา  พร้อมทั้งตั้งความหวังไว้ว่าต้องไปเรียนต่อต่างประเทศให้ได้  ทั้ง ๆ  ที่หากรอตามอาวุโสแล้ว  อีกนานที่พี่ศรีจะได้ไป  แต่พี่ศรีมีการเตรียมความพร้อมไว้ตลอดเวลา  ปรากฎว่าเมื่อถึงเวลาที่มีทุนให้ไปเรียนต่อ  คนที่อยู่ในคิวที่จะได้ไป  แต่ไม่พร้อม  พี่ศรีก็เลยได้ไป    

 

         ในช่วงที่เรียนที่อเมริกา  พี่ศรีจดเลคเชอร์เป็นภาษาอังกฤษ ไม่ได้เลยต้องใช้วิธีเดิม คือยืมเพื่อนมาลอกในตอนกลางคืนและส่งคืนในตอนเช้า

 

          พี่ศรีเรียนจนจบปริญญาเอกที่อเมริกา  ช่วงนั้นก็ท่องเที่ยวตลอด  ก่อนไปพี่ศรีเพิ่งแต่งงานได้ไม่กี่สัปดาห์  หลังจากนั้นสามีก็ตามไปสมทบ  พี่ศรีคลอดลูกที่อเมริกาและส่งมาให้ครอบครัวพี่เม้งซึ่งขณะนั้นแต่งงานแล้วแต่ยังไม่มีลูกเป็นผู้ดูแล       

 

           พี่ศรีบอกว่าตัวเองเที่ยวมาเยอะมาก อเมริกาเที่ยวทั่วทุกรัฐแล้ว  ที่อื่นก็เหมือนกัน ลาว เวียดนามก็มาแล้ว คิดว่าพอแล้ว คราวนี้ที่มาเที่ยวเพราะมากับพี่น้องและอยากจะมาเที่ยวที่เมืองดาลัด  เวียดนาม  เพราะยังไม่เคยมา มาก่อน

 

  

                                     

  

 

           ในขณะที่พี่ศรีออกจากบ้านไปเรียนหนังสือที่กรุงเทพฯ  น้องสาวคนที่สามเรียนอยู่ชั้น ม.4  และน้องสาวคนที่สี่   เรียนอยู่ชั้น  ม. 3   ดังนั้นคนที่ต้องหยุดเรียนเพื่อช่วยงานในครอบครัว จึงเป็นน้องคนที่สี่  ซึ่งก็คือพี่ล้ง ซึ่งมาท่องเที่ยวในครั้งนี้ด้วย

 

              พี่ล้งบอกว่า  ตัวเองก็รักเรียน ไม่อยากออกจากโรงเรียน แต่เมื่อจำเป็นก็ต้องออก  ทำงานไปก็นึกไปว่าคนอื่นที่เรียนร่วมกันมา  เรียนเก่งสู้เราไม่ได้  แต่ทำไมได้ดีได้ ตอนหลังก็เลยมุมานะ  หาทางเรียนต่อ  จนจบปริญญาโท  รับราชการในหน่วยงานราชการ  ตำแหน่งสุดท้ายขณะ early retired  คือ  C9  เหมือนพี่เม้ง  พี่ชายคนโต

 

            พี่ล้งบอกว่าขณะรับราชการ ก็พยายามหาทุนที่จะไปนำเสนอผลงานที่ต่างประเทศ  พี่ล้งได้ทุนหลายครั้ง  ได้ไปต่างประเทศบ่อย  บางครั้งก็นัดกับเพื่อนชาวต่างประเทศไปเที่ยวกันเอง  เป็นความภูมิใจของพี่ล้งที่บอกกับพวกเราว่า ส่วนใหญ่ที่ไปต่างประเทศมักจะได้ทุนตลอด

 

 

             ฟังแล้วดูเหมือนว่าจะง่าย ผู้เขียนคิดว่าที่พี่ล้งได้ทุนไปต่างประเทศมิใช่เรื่องของความเผอิญหรือความโชคดี  แต่เป็นเรื่องของความมานะพยายาม กว่าจะถึงขั้นนี้พี่ล้งก็คงต้องฟันฝ่ากับอุปสรรค ต้องเฉพาะกับตัวเอง  ที่จะต้องมีความมุ่งมั่น  ขยันหมั่นเพียร  ไม่ย่อท้อกับอุปสรรคใด ๆ

  

             พี่เม้งบอกว่า พี่น้อง 7 คน มีผู้ชาย 2  คน  ทุกคนเรียนจบระดับปริญญา  เป็นความภูมิใจของครอบครัว      

 

 

                             

 

 

 

           จากที่เล่ามาทั้งหมด ผู้เขียนคิดว่าเป็นตัวอย่างที่ดี  ที่แสดงให้เห็นว่า หากมีความตั้งใจ มีความมุ่งมั่น  ทุกอย่างต้องสำเร็จ 

       

             นอกจากนี้พี่นิด น้องสาวของภรรยาพี่เม้ง เป็นคนที่ชอบใช้ผ้าพันคอ  ได้มาแนะนำการผูกผ้าพันคอหลากแบบ  พี่นิดบอกว่า ให้ไปค้นได้ที่ web google  แต่บางแบบพี่นิดก็ใช้การสังเกตในขณะดู TV  ดาราบางคนผูกผ้าพันคอสวย  แปลก ดูแล้วนำมาปรับใช้  งานนี้คนที่รับความรู้ไปเต็ม ๆ  คือ หนูแอน  เพราะชอบใช้ผ้าพันคออยู่แล้ว  หนนี้ หนูแอนซื้อผ้าพันคอ ประมาณว่าต้องเกิน 10 ผืน ขึ้นไป

 

           ผู้เขียนเองยังได้รับอานิสงค์จากพี่นิด ให้ยืมผ้าพันคอที่ผูกอย่างสวยงามใช้อยู่ค่อนวัน  (ของผู้เขียนเองก็มี  แต่พี่นิดบอกว่าของพี่นิดเข้ากับสีเสื้อของผู้เขียนมากกว่า เลยมาคล้องคอให้ซะเลย  ขอบคุณเจ๊จริง ๆ )   

 

        ขอขอบคุณครอบครัวของพี่เม้งที่กรุณามาเล่าประสบการณ์ให้พวกเราได้ฟังกัน  ฟังแล้วทำให้เกิดความมานะ  มุ่งมั่นในงานที่ทำมากขึ้น  การท่องเที่ยวครั้งนี้เราก็เลยได้กำไร  เหมือนยิงปืนนัดเดียวได้นก  2  ตัว  นกตัวแรกได้ท่องเที่ยวตามโปรแกรมที่ตัวเองตั้งไว้อย่างมีความสุข  นกตัวที่สองได้เพื่อนใหม่ที่มากด้วยประสบการณ์ทำให้ได้เรียนรู้ ได้แนวคิดในการดำเนินชีวิต...ขอบคุณอีกครั้งค่ะ 

 

                                                  สวัสดีค่ะ

 

 

 

หมายเลขบันทึก: 319309เขียนเมื่อ 10 ธันวาคม 2009 10:06 น. ()แก้ไขเมื่อ 6 กันยายน 2013 22:02 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (10)

 

"ยิงปืนนัดเดียวได้นก 2 ตัว" เห็นด้วยกับประโยคนี้อย่างยิ่งค่ะคุณ"นุ่ยนักอ่าน"

การเดินทาง..มักได้อะไร..มากกว่าหนึ่งเสมอ

ประสบการณ์ที่ดีและไม่ดี..

เพื่อร่วมทางที่ดีและไม่ดี..

แล้วแต่จะเลือกจดจำ

อุ๊ยโหย..เก่งทั้งบ้านเลย

พ่อแม่เขาเลี้ยงอย่างไรนะ  อยากรู้จัง

อย่าลืมเตรียมตัวมาขายสินค้าที่กาดนัดนะจ๊ะ

คงจัด 28-29 มค.53

ศูนย์ 12 จะเลือกเอายุทธ์ไหนมาจัด  โปรดแจ้งด้วย

เพื่อจะได้ไม่ซ้ำซ้อนกัน

เอาที่เจ๋งๆมาเลยนะ

ไม่ต้องขนของมามากเพราะบูธที่ให้ไม่กว้างมาก

เพราะเนื้อที่โรงแรม  ถูกแย่งไป  ฮือๆๆ

P

  • สวัสดีค่ะ คุณระพี
  • ก่อนไปเราก็คิดกันอยู่เหมือนกันว่าหากเจอกลุ่มไม่ดีจะทำอย่างไร
  • แต่ส่วนใหญ่ก็บอกว่า น่าจะดีกว่าไม่ดี ก็เลยทดลองดู
  • โชคดีที่ได้กลุ่มดี
  • ขอบคุณที่เข้าแลกเปลี่ยนความคิดเห็นค่ะ

P

  • ใช่...ฟังแล้วยังทึ่งเลย
  • ว่าเขาช่างเป็นผู้ใฝ่รู้ ใฝ่เรียนกันทั้งบ้าน
  • ของศูนย์ฯ  จะมี  2  เรื่อง  เนื้อที่ไม่เป็นปัญหา ยืดได้ หดได้
  • จะขนคนไปมากกว่า  อยากให้ไปรับประสบการณ์
  • จะได้กลับมาช่วยกันทำงานต่อจ้า...
  • ว้าวๆๆๆ โอโห้ พี่เราเขียนได้เก่งมาก
  • จำได้หมดเรยอ่ะ..เป็นนักฟังที่ดีด้วย
  • จดด้วยอีก..เป็นหัวหน้าทริปต์ที่ดีมากๆๆ
  • จัดให้ทุกอย่าง..ลูกทีมอย่างเราเรยสบายมากๆ..ขอบอก
  • ใช่ๆๆๆอ่านที่พี่หนุ่ยเขียน..พวกเราโชคดีค่ะที่ได้มาเจอพี่ๆร่วมทริปต์ที่..อยู่ในขั้นสุดยอดของแต่ละวงการ..ประสบความสำเร็จในชีวิตแล้วก็ยังใจดีมาเล่าประสบการณ์ ให้เราฟัง
  • ทำให้ได้วิธีคิดดีๆๆๆมาใช้กับตัวเราเอง
  • ขอบคุณนะคร้า
  • และก็ขอบคุณพี่หนุ่ยนักอ่าน-นักเล่า-นักบันทึก

ที่มาแบ่งปัน..กันลืมด้วย...ขอบคุณคร้า เด้วจาไปอ่านตั้งแต่วันแรกเรยย..อิอิอิ

  • พี่ศรีบอกว่าการเตรียมความพร้อมไว้ตลอดเวลา
  • เปรียบเสมือนการเตรียมอุปกรณ์ไว้พร้อม เมื่อมีน้ำมาก็ตักได้ทันที
  • เหมือนพี่ศรีเมื่อมีทุนมา พี่ศรีเตรียมความพร้อมไว้แล้ว
  • ก็ได้ดังหวังที่ตั้งไว้
  • เป็นตัวอย่างที่ดีจริงๆค่ะ

P   P

  • สวัสดีค่ะ
  • ทั้งหนูแอน และคุณนายแดง (ของแจ้)
  • ทีมเราน่ารักอยู่แล้ว...
  • มีอะไรจะเพิ่มเติม ก็ช่วยเติมเต็มกันหน่อย
  • จะได้มีหลายมุมมองจ้า...
  • ตามมาเที่ยวจนเหนื่อยแล้วค่ะ
  • ดีใจที่ได้เห็นภาพสวยๆ ที่เก็บมาฝาก ดูแล้วรู้สึกมีความสุข
  • ประทับใจค่ะ

        P

  • กำลังคิดถึงอยู่พอดี
  • เมื่อคืนเพิ่งคุยกับแอะ  บอกว่าเสาะยุ่งมาก 
  • เห็นว่าตัวเป็นเกลียว  หัวเป็นน๊อตอยู่ในขณะนี้
  • ...อิ  อิ  พอตัวคลายเกลียวก็หวังว่าจะผอมลงนะ...

 

  • ปีนี้เจอกันที่บ้านเรานะ
  • เที่ยวมานานอยากกลับบ้านแล้ว

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท