พระพุทธศาสนาได้ให้คำนิยามของผู้ชายคนหนึ่งที่ได้รับการเรียกขานว่า “พ่อ” (ชนก) แปลตามรูปศัพท์ว่า “ผู้ให้เกิด หรือให้กำเนิด” ซึ่งหมายความว่า พ่อมีหน้าที่หลักในการเป็นผู้ให้แก่ลูกใน ๒ หน้าที่
(๑) หน้าที่ในการให้เกิดเนิดทางกาย กล่าวคือ เป็นผู้ให้ลูกเกิดทางร่ายกาย ทางร่างกายนอกเหนือจากให้ให้เกิดขึ้นมาแล้ว ยังหมายถึงการทำหน้าที่ในการอุปถัมภ์ค้ำชูดูแลเอาใจใส่ตั้งแต่เล็กจนเติบใหญ่เพื่อให้ลูกสามารถพึ่งพาตัวเองได้ในที่สุด
(๒) หน้าที่ในการให้กำเนิดทางใจ กล่าวคือ การให้คำแนะนำ อบรม สั่งสอน หรือให้ทางเลือกในการดำเนินชีวิตในทางที่ถูกต้อง และเหมาะสมตามทำนองครองธรรม
หน้าที่ในการให้ทั้งสองประการดังกล่าว การให้เกิด หรือให้กำเนิดทางใจ นับเป็นประเด็นที่สำคัญ และท้าทายแก่ “คุณพ่อ” ในยุคสมัยแห่งการเปลี่ยนแปลงมากที่สุด เพราะการให้กำเนิดในลักษณะนี้ นับเป็นการเปลี่ยนแปลงชีวิตของลูกทั้งชีวิต ถือว่าเป็นการ “ให้ปัญญา” และความมั่นใจแก่ลูกซึ่งมีผลต่อการเลือกเดินทางของลูกโดยที่พ่อไม่จำเป็นต้อง “ห่วงหน้าผะวงหลัง” หรือสงสัยในศักยภาพของลูก
พระพุทธศาสนาได้ตระหนักรู้ถึงความสำคัญของคำว่า “พ่อ” ดังกล่าว จึงได้วางกรอบที่เป็นหลักการปฏิบัติ เพื่อให้ “พ่อ” ได้ทำหน้าที่ให้สมบูรณ์ทั้งสองมิติดังกล่าวข้างต้น ดังนี้
๑. ห้ามปรามจากความชั่ว
๒. ให้ตั้งอยู่ในความดี
๓. ให้ศึกษาศิลปวิทยา
๔. หาคู่ครองที่สมควรให้
๕. มอบทรัพย์สมบัติให้ในโอกาสอันสมควร
อย่างไรก็ดี พระพุทธศาสนาได้เปิดโอกาสให้ “ลูก” ได้ปฏิบัติหน้าที่ของความเป็นลูกให้สมบูรณ์โดยการปฏิบัติต่อ “พ่อ” เช่นกัน คือ
๑. ท่านเลี้ยงเรามาแล้วเลี้ยงท่านตอบ
๒. ช่วยทำกิจของท่าน
๓. ดำรงวงศ์สกุล
๔. ประพฤติตนให้เหมาะสมกับความเป็นทายาท
๕. เมื่อท่านล่วงลับไปแล้วทำบุญอุทิศให้ท่าน
ถึงกระนั้น ในการปฏิบัติหน้าที่เพื่อที่จะเป็น “ผู้ให้ที่ยิ่งใหญ่” ผู้ชายคนหนึ่งในฐานะที่เป็น “พ่อ” อาจจะต้องเผชิญกับปัญหาและอุปสรรคในการดูแล “บุตร” ด้วยเหตุนี้ พระพุทธศาสนาจึงได้วางหลักการเพิ่มเติมเพื่อเป็นเครื่องมือ หรือหลักการในการพัฒนา หรือสร้างภูมิคุ้มกันให้แก่ “พ่อ” โดยใช้หลัก ๔ ประการ คือ
(๑) รักลูก ปรารถนาดีต่อลูกในฐานะที่เป็นเลือดเนื้อของตัวเอง (เมตตา)
(๒) สงสารลูก เมื่อลูกมีความทุกข์ ส่งเสริม และให้กำลังใจ และเข้าไปให้การช่วยเหลือทุกครั้งที่ลูกประสบความผิดหวังหรือล้มเหลว (กรุณา)
(๓) เบิกบาน และแสดงความยินดีโดยการให้กำลังใจเมื่อเห็นลูกของตัวเองกระทำการสิ่งใดสิ่งหนึ่งประสบความสำเร็จ (มุทิต)
(๔) การหมั่นที่จะเฝ้าดู และวิเคราะห์สถานการณ์ต่างๆ ที่ลูกกำลังใช้ชีวิตเพื่อกระทำการสิ่งใดสิ่งหนึ่ง และพร้อมที่จะเข้าไปช่วยเหลือทันที และทุกเวลาที่ลูกต้องการความช่วยเหลือ (อุเบกขา)
หลักการทั้ง ๔ ประการข้างต้นเป็นหลัก “พรหมวิหารธรรม” หรือ “ธรรมะที่ทำให้พ่อเป็นประดุจพรหม หรือ ผู้ที่ประเสริฐ” ฉะนั้น “พ่อ” จึงเป็นประดุจพระพรหม คือผู้สร้างลูก เพราะประกอบไปด้วยคุณธรรม ๔ ด้านดังกล่าว การปฏิบัติตนต่อลูกเช่นนี้ จึงไม่มีเหตุผลอันใดที่ “ลูก” จะปฏิเสธการเคารพ บูชา กราบไหว้ บุคคลที่เป็นประเด็จพระพรหม
อย่างไรก็ดี คำถามในปัจจุบันคือ ลูกๆ หลายคนพากันไปกราบไหวพระพรหมที่หน้าโรงแรมเอราวัณเพื่อขอพรจากท่าน แต่เรามักจะที่จะหลงลืมไปว่า “ยังมีพระพรหมอีกท่านที่เรายังไม่ค่อยได้กราบ หรือไม่เคยกราบ เพื่อขอพรจากท่านเลย นั้นคือ “พ่อของเรา”
ขอให้เราในฐานะที่เป็นลูกได้ใช้เวลาอันพิเศษเช่นนี้ (ทั้งที่เรามีโอกาสพิเศษทุกวัน) เข้าไปกราบท่าน ขอพรท่าน สักการะท่าน และบูชาท่าน และกระซิบข้างหูท่านว่า “ขอบคุณสำหรับทุกสิ่งที่ท่านเพียรสร้างเพื่อเรา และทำให้เรามีวันนี้” และ “เราจะเป็นคนดีของพ่อ” ตลอดไป
เรามีพุทธศาสนาเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ และมีธรรมะที่ควรนำไปปฏิบัติ ขอบคุณสำหรับธรรมะดี ๆ ครับ
อนุโมทนาขอบใจ "กบนอย" มาก ที่แวะมาเยี่ยม
กราบนมัสการพระคุณเจ้าด้วยความเคารพ
ขอบใจมากที่โยมณัฐวรรธน์ได้แวะมาเยี่ยมและแสดงความเห็น
*** กราบนมัสการท่านที่ให้ธรรมเป็นทาน
*** และขอบุญกุศลบังเกิดแก่พ่อด้วยค่ะ
อนุโมทนาโยมกิติยา
ขอบใจมากที่โยมณัฐวรรธน์ได้แวะมาเยี่ยมและแสดงความเห็น
นมัสการพระคุณเจ้า
"พ่อเป็นพระของลูก"
คำนี้ มีเป็นตัวอย่างให้อย่างดีที่สุดเจ้าค่ะ