เรื่องของคนดี ที่ไม่มีตัวตน


ข้าพเจ้าเพิ่งกลับมาจาก การประชุมที่เมืองบางกอก   เป็นการประชุมที่น่าปวดหัวอยู่ เนื่องจากเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับการชี้แจ้งนโนบาย และรับทราบเรื่องราวงานการของระบบการแพทย์ฉุกเฉิน  และการไปเมืองบางกอกครั้งนี้ก็ทำให้ได้พบปะกับกัลยาณมิตรมากมายหลายคน  ทั้งใหม่และเก่าและบางคนก็เป็นคนที่ข้าพเจ้ารู้จักคุ้นเคยมานานและไม่ได้พบเจอกันมาหลายปีแล้ว

ข้าพเจ้าได้กลับไปเยือนที่ศิริราชอีกครั้ง  และได้ไปร่วมลงนามถวายพระพรพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว  เพราะพระองค์ยังประทับอยู่ที่นี่ ณ  อาคารเฉลิมพระเกียรติ  ในขณะเดียวกันก็ได้ไปเยี่ยมพระอาจารย์ภัททันตะ  อาสภมหาเถระิ อัคคมหากัมมัฎฐานาจริยะด้วย พระอาจารย์ยังนอนอาพาธอยู่ที่นั่น 

ข้าพเจ้าได้ไปทานมื้อกลางวันกับกัลยาณมิตรและได้พบกับ พี่ชายที่เคารพนับถือมากท่านหนึ่ง   เราไม่ได้พบกันมานาน   แต่พี่ชายท่านนี้ก็ยังใจดีและน่ารักเสมอ และอุตส่าห์ปลีกตัวจากการงานมาทานข้าวกับพวกเรา

ก่อนจะกลับพี่ชายที่เคารพ ก็พูดทีเล่นทีจริงว่า  ไหนๆ ก็มาแล้วจะขอใช้เวลาอยู่กับน้องๆ ให้นานหน่อย  แถมพูดว่าเผื่ออยู่กับน้องๆ ที่ปฎิบัติสมาธิภาวนาสะเก็ดความดีจะได้ตกมาโดนพี่บ้าง   ถ้าเป็นคนอื่นพูด ข้าพเจ้าคงรู้สึกแปลกๆ อยู่เหมือนกัน  แต่ด้วยความที่เรารู้จักกันมานานจึงเข้าใจในบางสิ่งที่พี่ชายท่านนี้พูด    

และเป็นสิ่งเตือนใจว่า  ในแง่มุมของคนอีกหลายๆคน  มักจะมองเห็นไปว่าคนที่เข้าสู่วิถีแห่งการภาวนาต้องเป็นคนอีกกลุ่มหนึ่งที่แตกต่าง ไปจากคนอื่นๆ  แม้เราจะทำตัวเหมือนๆเดิม  แต่เขาทั้งหลายก็มักจะมองและคิดเห็นไปว่าเราไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว  เรากลายเป็นกลุ่มคนดีมีศีลธรรม และออกไปอยู่อีกโลกหนึ่ง (ในความคิดเห็นของพวกเขา  )และไม่อาจคบหาสมาคมได้เหมือนก่อน  หรือบางทีอาจจะคิดเห็นไปว่า  เรากำลังจะออกบวช  กำลังจะนุ่งขาวห่มขาวตลอดกาล หรือกำลังจะจากไปอยู่ในโลกอะไรสักอย่าง ที่แตกต่างไปจากโลกของคนธรรมดาๆอย่างสิ้นเชิง

อันที่จริงแล้วพี่ชายที่เคารพ ท่านนี้  คือแบบอย่างที่ข้าพเจ้ายึดถือ  เพราะท่านได้สอนให้ข้าพเจ้ามองเห็นคุณค่าในสายงานอาชีพที่ทำอยู่ จากที่แต่เดิมนั้นไม่ค่อยจะมองเห็นคุณค่าอันแท้จริงสักเท่าไหร่ อีกทั้งความมีน้ำใจต่อเพื่อนร่วมงานของพี่ คือสิ่งที่ปรากฏให้เห็นอยู่เสมอผ่านการกระทำต่างๆ  ในช่วงเวลาที่เราทำงานด้วยกันที่ศิริราช    ความดีที่ว่าคงจะมีอยู่ในตัวของพี่อยู่แล้วมากมาย  ทว่าในตัวข้าพเจ้าเสียอีกที่หาความดีไม่ค่อยจะพบเจอนัก และมีอยู่หลายๆ ครั้งข้าพเจ้าก็ได้แต่คิดว่า  ขอให้ข้าพเจ้าสามารถเป็นหมอที่ดีได้แค่ครึ่งหนึ่งของพี่ชายที่เคารพก็พอแล้ว

ตัวอย่างความรู้สึกดีๆ ที่น่าประทับใจและข้าพเจ้าได้พบเห็นจากพี่ชายท่านนี้เช่น ครั้งหนึ่งเราสองคนเดินไปด้วยกันแถวๆ ถนนราชดำเนิน  มีแม่ค้าขายผลไม้คนหนึ่งกำลังพยายามเข็นรถขายผลไม้ขึ้นมายังฟุตบาท  แต่คุณป้าไม่มีแรงมากพอที่จะทำเช่นนั้นได้  พี่ชายที่นับถือท่านนี้ก็รีบเดินเข้าไปช่วยคุณป้าอย่างมีน้ำใจ  ข้าพเจ้าพบว่าสิ่งที่พี่ได้ทำในตอนนั้นเป็นการทำมาจากใจ  และคงจะไม่มีให้พบเห็นมากนักในเมืองใหญ่ที่ผู้คนใช้ชีวิตแบบต่างคนต่างอยู่  ต่างคนต่างต้องพึ่งพาตนเอง  คงมีคนไม่มากนักจะมามัวสนใจ คุณป้าคนหนึ่งที่กำลังพยายามเข็นรถเข็นที่หนักเกินตัวอยู่ริมบาทวิถี และกำลังต้องการความช่วยเหลืออยู่   ในเวลานั้นข้าพเจ้าพบว่า พี่ชายที่เคารพ ไม่ได้ทำเพื่อเอาหน้าหรือให้ดูดีในสายตาของใคร   แต่ทำเพราะเห็นว่าควรจะทำ  ช่วยเพราะเห็นว่าจะสามารถช่วยได้ ไม่ได้มีท่าทีลังเลแต่อย่างใดว่าควรจะทำควรจะช่วยหรือไม่  เป็นสิ่งที่ทำจากใจมากๆ    และมีอีกหลายๆเหตุการณ์ที่ข้าพเจ้าพบว่า  พี่ทำสิ่งต่างๆ  ด้วยใจที่แท้จริง  การกระทำนั้นมันกระทบใจข้าพเจ้า  และรู้สึกดีที่มองเห็นความมีน้ำใจของผู้คนในเมืองใหญ่เช่นนี้ 

ข้าพเจ้าเสียอีกที่ไม่ได้มีน้ำใจมากมายเท่ากับรุ่นพี่ท่านนี้ และยังรู้สึกแปลกๆ  ทุกครั้งในการที่จะริเิริ่มทำอะไรเพื่อใครสักคน  จนเมื่อสองสามปีที่ผ่านมานี่แหละที่ข้าพเจ้ารู้จักที่จะมอบสิ่งต่างๆ ให้ใครสักคนโดยไม่รู้สึกขัดเขิน  และรู้จักที่จะบอกความรู้สึกห่วงใยใครสักคนออกมาจากใจ โดยไม่รู้สึกว่าเป็นเรื่องติดขัดหรือลำบากใจ    ทว่ารุ่นพี่ท่านนี้ ได้แสดงความจริงใจอย่างเปิดเผยมานานแล้ว  และมีน้ำใจมาแบ่งปันมากมาย  พี่มีพื้นที่ให้ใครต่อใครอยู่เสมอ  แถมบางครั้ง  ดูเหมือนพี่จะยอมทุกข์เพื่อคนอื่นมากไปด้วยซ้ำ 

 ดังนั้นความดีที่ว่า  คงจะมีในตัวพี่มากมายอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องมาพึ่งพาข้าพเจ้าเป็นผู้เพิ่มให้   และความดีมีน้ำใจของพี่ก็เป็นสิ่งที่ปรากฎออกมาโดยธรรมชาติ  แถมเป็นความดีที่ไม่ค่อยจะมีคำว่าตัวตนมาเกี่ยวข้องสักเท่าไหร่

 

ในผู้ที่เข้าสู่การทำสมาธิภาวนานั้น  มีสิ่งหนึ่งที่เกิดตามมาคืออาการติดดี  หลังๆข้าพเจ้าพบว่าอาการนี้น่าเป็นห่วง และน่ากลัวเอามากๆ ทีเดียว และได้สร้างวงจรอะไรบางอย่าง ให้เกิดคำว่าตัวกูของกู ขึ้นมามากมาย แถมอาจจะทำให้หลงผิด  หลงตัวหลงตนได้ง่ายๆ  แถมจะกลายเป็นการติดยึดแบบใหม่ที่แกะออกยากยิ่งกว่าเดิม 

การไปเมืองบางกอกครั้งนี้ ข้าพเจ้าได้แวะไปเยือนบ้านติโลปะ ซึ่งเป็นบ้านของครูตั้ม  วิจักขณ์ พานิช   บรรดากัลยาณมิตรที่คุ้นเคยกันได้นัดไปพบเจอกันที่นั่น และเราก็มีเวลาได้พูดคุยกับครูตั้มถึงเรื่องทั่วๆไป  มีอยู่ตอนหนึ่งที่ครูตั้มกล่าวว่า  "ผมไม่อยากให้ใครมาเคารพนับถือผมมาก "  จากคำพูดนั้น ทำให้  ข้าพเจ้ามองเห็นและเข้าใจในบางสิ่งบางอย่าง    ในฐานะที่เป็นธรรมาจารย์  และอายุยังน้อย ครูตั้มคงต้องผจญกับความคาดหวังต่างๆ ของผู้คน เกี่ยวกับความดี และการเป็นคนดีทั้งหลายทั้งปวงอยู่ไม่น้อย   และน่าจะเป็นเรื่องที่อึดอัดขัดข้องใจอยู่  ถ้าเราต้องเผชิญกับความคาดหวังแบบแปลกๆ ของผู้คนที่เรารู้จัก   ในเรื่องความดีและการเป็นคนดีของสังคมโลกทั้งหลาย

บางครั้งเราหลายๆ คนก็ต้องการเป็นคนดีในสายตาของคนอื่น หรืออย่างน้อยก็เป็นคนดีในสายตาของตัวเอง  ฟังดูอาจจะพิลึก แต่เราหลายๆคนมักเป็นเช่นนั้น  เรามักจะภูมิใจในคุณงามความดี  ที่ตนเองทำ และมักจะมีตัวตนไปรับความดีนั้นมาแบกหามไว้  ในเวลาต่อมาถ้าเราไม่ได้ดีอย่างที่เคยเป็น หรือเคยทำได้ เราก็จะรู้สึกแย่และมีความทุกข์ 

การเป็นคนดีที่มีตัวตนจึงเป็นเรื่องที่อันตรายจริงๆ    และเป็นเหตุแห่งความทุกข์อันใหญ่หลวงได้

  เมื่อกลางเดือนตุลาคมที่ผ่านมาข้าพเจ้าได้พบกับหลวงพี่พิทยา และได้สนทนาธรรมกับท่าน   หลวงพี่กล่าวว่า ตอนนี้หลวงพี่ไม่ได้ใส่ใจว่าใครจะมองท่านเป็นพระอย่างไรอีกแล้ว  ดูเหมือนว่าหลวงพี่ยินดีที่จะอยู่ตรงนั้นและเข้าใจ กับสิ่งต่างๆ กับความคิดเห็นต่างๆ   ที่ผู้คนทั้งหลายมีต่อท่าน   ข้าพเจ้าเข้าใจว่าท่านได้หลุดพ้นจากอะไรบางอย่าง และเป็นอิสระจากความคิดเห็นต่างๆ ไปแล้วไม่มากก็น้อย นั่นไม่ได้หมายความว่าท่านไม่ต้องมีศีลทั้ง 227 ข้ออีกต่อไป  แต่ดูเหมือนว่าท่านไม่ได้ยึดมั่นถือมั่นในศีลอีกแล้ว  

 

เมื่อเรากล่าวถึงหลวงพี่พิทยาในหมู่สังฆะที่ได้เคยภาวนากับท่าน  เราหลายคนมีความเห็นว่า ท่านเป็นพระธรรมดาๆ ที่ไม่ได้อยู่ไกลมากจนเอื้อมไม่ถึงและพูดจาด้วยไม่ได้ แถมการพูดคุยกับท่านไม่ต้องใช้ศัพท์แสงทางพระมากมายอะไร  เราจึงสามารถซักถามข้อสงสัยในการปฎิบัติกับท่านได้โดยง่าย  แต่ในขณะเดียวกันท่านก็ไม่ได้อยู่ใกล้ชิดเรามากจนเกินพอดี  หลวงพี่มีพื้นที่ให้เรามากมายก็จริง  แต่ท่านก็มีพื้นที่ของสมณะที่เราต้องเคารพนับถือด้วย  ข้าพเจ้าจึงพูดทีเล่นทีจริงกับกัลยาณมิตรว่า ท่านเป็นพระที่เคร่งในศีลวัตรปฎิบัติแต่ท่านสามารถทำให้เรารู้สึกเหมือนกับว่าท่าน ไม่ได้เคร่งในศีลอะไรมากมาย   แต่ความจริงแล้วท่านเป็นพระที่เคร่งในศีลแบบเถรวาทนั่นแหละ  แถมอาจจะเคร่งกว่าด้วยในบางครั้ง  

มันอาจจะเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ยากอยู่เช่นกัน  แต่หลังจากที่หลวงพี่กล่าวว่า ท่านไม่ได้ใส่ใจแล้วว่าคนทั้งหลายจะมองท่านเป็นพระเช่นใด  แบบไหน แถมท่านรู้สึกเป็นอิสระอย่างมาก   คำพูดของท่าน เช่นนี้ ทำให้ข้าพเจ้านึกถึงเรื่องเล่าเรื่องหนึ่ง  ที่กล่าวถึงหลวงปู่มั่นขึ้นมา  ครั้งหนึ่งมีคนเคยถามหลวงปู่มั่นว่า  ท่านยึดถือศีลข้อไหนรักษาศีลข้อไหนเป็นสำคัญ   หลวงปู่มั่นท่านตอบว่า  " เราไม่ได้รักษาศีลข้อไหน  แต่เรารักษาใจเป็นสำคัญ "  คำตอบนี้ของท่านได้ก่อให้เกิดคำวิพากษ์วิจารณ์ ในหมู่ผู้ที่ยึดมั่นในศีลในธรรมจำนวนหนึ่ง  เนื่องจากไม่เข้าใจในคำว่า  “รักษาใจ”  ที่ท่านกล่าว  

ดังนั้นการเป็นคนดีและการทำดี  รวมทั้งการพยายามทำตัวเป็นคนดี จะเป็นเรื่องที่นำทุกข์มาให้เราได้ ถ้าเรามุ่งหวังทำดีปฎิบัติตัวดีโดยมีตัวตนไปยึดถือเกี่ยวข้อง  

แต่ถ้าในขณะเวลาใดเวลาหนึ่ง  เราเป็นอิสระจากความคิด  เป็นอิสระจากความคาดหวังของคนรอบข้าง  เป็นอิสระจากตัวตนของเราเอง    การทำดีของเราจะเป็นการกระทำที่มาจากใจและไร้ซึ่งตัวตน ทั้งไม่มีความมุ่งหวังและต้องการสิ่งใดๆ ตอบแทน  ไม่ว่าสิ่งตอบแทนนั้นจะเป็นในรูปธรรมหรือนามธรรมก็ตาม  แล้วเราจะพบกับความเป็นอิสระและเบิกบาน แถมมีความสุขที่แท้จริงจากการทำความดีนั้นๆ

สุดท้ายข้าพเจ้าก็เริ่มเข้าใจและมองเห็นว่า  การทำความดีทุกอย่างควรจะเป็นการทำความดีด้วยจิตด้วยใจที่ว่างจากตัวตน  เพราะความดีที่ปราศจากตัวตน  จะเป็นความดีที่แท้จริง  และไม่นำพาความทุกข์ใจมาให้เราในภายหลัง .

 

คำสำคัญ (Tags): #ความดี
หมายเลขบันทึก: 317086เขียนเมื่อ 29 พฤศจิกายน 2009 22:34 น. ()แก้ไขเมื่อ 6 กันยายน 2013 21:58 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (3)

ความดีที่ไม่มีตัวตนเป็นสิ่งที่สอนให้กิเลส อัตตาจางลงนะครับ

สนับสนุนความดีไม่มีตัวตน และทำดีไม่ติดดีครับ

ขอบพระคุณสำหรับบันทึกงดงาม และ ภาพสวยๆครับ

แวะมาแจ้งข่าวด้วยว่าหลวงพ่อปราโมทย์จะไปแสดงธรรมที่เชียงใหม่ด้วยครับ ถ้าสนใจดูรายละเอียดได้ในบล็อกนะครับ

สวัสดีค่ะคุณ Phornphon

ขอบคุณที่แจ้งข่าวค่ะ  ทางสังฆะที่นี่หลายคน ต่างเตรียมลางาน  จองตั๋วเครื่องบิน  เพื่อจะไปเชียงใหม่กันค่ะ  ต่างมีความปิติยินดีกันมาก  ที่หลวงพ่อมาทางเหนือ  ^ - ^

ความคาดหวัง

ความคาดหวังที่น่ากลัวที่สุดคือความคาดหวังของตัวเราที่มีต่อทั้งตัวเอง และสิ่งรอบรอบตัุว ทั้งสิ่งที่มีชีวิต ไม่มีชีวิต เราคาดหวังไปกับทุกๆสิ่งรอบตัว น่าคิด ถ้าสังเกตุดีๆ เราไม่เคยมีสติ ความคาดหวังเป็นสิ่งที่เ็ป็นมายาที่ท่องไปกับเรา ตลอดเวลา....น่าคิดมาก...จะจำไว้เตือนตน....

อิสระ....

และน่าคิดนะว่า ที่ผ่านมา เ่ราไม่เคยเป็นอิสระ เราไม่เคยอยากเป็นอิสระ ทั้งที่เราเป็นอิสระได้

จงเป็นอิสระ....

ขอบคุณ......

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท