“ ผมไม่ได้บ้าแต่ว่า...รักหมอ ”
“บ้า” “ไม่เต็มบาท” คือคำพูดที่คนทั่วไปมักเรียกชายคนนี้
“ มานิตย์ ” คือชื่อที่พ่อแม่ตั้งให้มาตั้งแต่เกิด รูปร่างผอมเพรียว หน้าตาดูเฉยๆ แววตาที่ดูซื่อๆ ไม่เป็นพิษเป็นภัยกับใคร มานิตย์มีรถจักรยานคู่ใจที่ถูกตบแต่งอย่างไม่ซ้ำแบบใคร ดูเหมือนมานิตย์เองก็จะภูมิอกภูมิใจกับรถคันนี้เสียเหลือเกิน เพราะเท่าที่ฉันเห็นแต่ละครั้ง อุปกรณ์ข้าวของต่างๆที่นำมาตกแต่งรถ มันดูไม่ซ้ำกันเลย ไม่ว่าจะเป็น ธงชาติ กังหันลม ผ้าผืนเล็กๆหลากสีสันสวยงาม มันเป็นภาพที่ชินตาเสียแล้วสำหรับฉัน แต่ก็อดที่จะยิ้มเสียไม่ได้ทุกที
หลายๆคนเมื่อได้เห็นมานิตย์มักจะเบือนหน้าหนี หรือไม่อยากที่จะพูดคุยด้วย แม้กระทั่งเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลที่เมื่อเห็นหน้ามานิตย์แล้วก็จะรู้สึกเช่นเดียวกันหมด คือ ไม่อยากตรวจ เบื่อ...ฉันเข้าใจนะว่าพวกเค้าเหล่านั้นคงจะรู้สึกไม่แตกต่างไปจากฉันซักเท่าไหร่ ฉันเองก็เคยรู้สึกเบื่อ และรำคาญที่จะต้องตรวจให้มานิตย์ บางครั้งก็ตรวจให้แล้วๆไป อาทิตย์นึงมานิตย์ก็จะมาตรวจ3-4 ครั้ง ใครจะไม่เบื่อ อาการก็เดิมๆ พูดกันก็ไม่ค่อยจะรู้เรื่อง พูดไม่ชัดฟังก็ไม่ค่อยออก หูก็ไม่ได้ยิน เราพูดด้วยก็มีแต่มองหน้าและก็ยิ้ม ยิ้ม ไม่รู้เข้าใจสิ่งที่เราพูดไปบ้างหรือเปล่า “ หูมันหนวก พูดไม่ได้ ไม่รู้เรื่องหรอก หมอกาญ ” เป็นคำพูดที่คุ้นหูของ อสม.ที่บอกฉันบ่อยๆเมื่อเห็นฉันพยายามพูดคุยกับมานิตย์ทั้งที่รพ.และที่บ้าน ซึ่งดูแล้วน่าจะเป็นคำนิยามหรือคุณสมบัติเฉพาะตัวของมานิตย์ไปแล้ว
ฉันเองได้เริ่มรู้จักกับชายคนนี้ตอนที่ฉันย้ายมาทำงานที่โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชนครไทย เมื่อกลางปี 46 ภาพของมานิตย์ยังอยู่ในความทรงจำของฉันเสมอ ชายรูปร่างผอม แขนขาเล็ก เรียวจนมองเห็นกล้ามเนื้อและเส้นเลือดปูดนูนชัดเจน นั่งชันเข่าหลังพิงโอ่งน้ำ อยู่บนบ้าน สายตาคู่นั้นของเค้าจับจ้องมาที่ฉันและพี่ต๋าอย่างสงสัยว่ากำลังนั่งทำอะไรกับตาและยายที่เป็นพ่อ แม่ของเค้า เพราะในขณะนั้นเวลาน่าจะประมาณหนึ่งทุ่มแล้ว บ้านที่มานิตย์อาศัยอยู่ เป็นบ้านไม้ชั้นเดียวใต้ถุนสูง หลังคาเป็นสังกะสีสีแดงเก่าๆที่ฉันคิดว่าน่าจะเป็นสีของสนิม ฝาบ้านเป็นไม้แผ่นเก่าๆที่ถูกตีแปะไว้ดูไม่แข็งแรงมากนัก บันไดที่เอียงกะเท่เร่ จะหักแหล่ไม่หักแหล่ ราวสิบขั้นวางพาดกับชานบ้านไว้เพื่อใช้ขึ้นลง
พ่อกับแม่ของมานิตย์เล่าให้ฉันฟังว่า มานิตย์เป็นคนพิการมาตั้งแต่เล็กๆ หูไม่ได้ยิน พูดก็ไม่ค่อยชัด ไม่เป็นคำ ต้องพูดเสียงดังๆถึงจะได้ยินหรือพูดง่ายๆว่าต้องตะโกนพูดเท่านั้นมานิตย์ถึงจะได้ยิน
ฉันกับพี่ต๋าพูดคุยเรื่องสุขภาพและความเป็นอยู่ของครอบครัวอยู่พักใหญ่ แต่ฉันก็ยังเห็นมานิตย์นั่งอยู่ที่เดิม ฉันบอกตากับยายว่า “หมออยากคุยกับมานิตย์ ยายช่วยเรียกให้มานิตย์ลงมาหน่อยได้ไหม” ไม่ทันสิ้นสุดคำพูด ยายกุลีกุจอลุกเดินตรงไปยังบ้านที่มานิตย์นั่งอยู่ “ลงมา ลงมา หมอมาหา...มาให้หมอตรวจดูหน่อยซิ” ฉันได้ยินเสียงยายชัดเจนเพราะบ้านทั้งสองหลังนี้อยู่ไม่ห่างกันมากนัก เค้ายังคงนั่งเฉย ไม่สนใจกับคำพูดของยายที่เรียก ฉันอดที่จะลุกเดินตามยายไปยังบ้านของมานิตย์ไม่ได้ “มานิตย์ ลงมาคุยกับหมอข้างล่างหน่อยได้ไหม” ฉันพูดด้วยน้ำเสียงที่ค่อนข้างดัง แต่ยายกลับบอกว่า “พูดดังๆหมอมันไม่ได้ยินหรอก” ฉันเรียกซ้ำอีกครั้งด้วยน้ำเสียงที่ดังขึ้นกว่าเดิม มานิตย์ขยับตัวไปมา สายตามองมายังฉันและก็ลุกเดินตรงมายังบันได ฉันคิดว่าเค้าน่าจะลงมาพูดคุยกับฉันตามที่เรียก....กางเกงยีนส์ซีดๆขาสั้นจู๋ตัวเก่ง อวดเรียวขาเล็กลีบ เหมือนตะเกียบ เสื้อยืดสีขาวคอกลมย้วยที่ใส่ดูกี่ครั้งต่อกี่ครั้งก็ช่างดูลงตัวจริงๆ
“มานิตย์...นั่งทำอะไรอยู่” ฉันถามด้วยน้ำเสียงที่ไม่ดังมากนักเพราะยืนอยู่ใกล้ๆ กัน คิดว่าน่าจะพอได้ยิน มานิตย์ยืนยิ้มพร้อมกับพูดอู้อี้ ฟังไม่ชัดเจนนักว่า “นั่งเฉยๆ” ฉันพยักหน้า ยิ้มที่มุมปากเล็กน้อยกับคำตอบที่ได้รับ คืนนั้นฉันกับพี่ต๋าลาตากับยายและมานิตย์กลับประมาณ สองทุ่มครึ่ง ด้วยความเหนื่อยล้า หมดแรง เพราะออกเยี่ยมคนไข้ตั้งแต่ 5 โมงเย็นแล้ว ท้องเริ่มร้องจ๊อกๆ เป็นสัญญาณเตือนว่า “หิว” หลังจากทานข้าว อาบน้ำ เรียบร้อยแล้ว คืนนั้นฉันนอนหลับเป็นตาย
แสงแดดอ่อนๆยามเช้าที่แสนอบอุ่น สาดแสงลอดผ่านไอหมอกสีขาวที่ปกคลุมไปทั่วโรงพยาบาลในช่วงฤดูหนาว กลิ่นหอมอ่อนๆของดอกพญาสัตบรรณและดอกเล็บมือนางโชยมากระทบจมูก ลมหนาวพัดมาปะทะใบหน้าจนทำให้ฉันต้องดึงผ้าพันคอและเสื้อกันหนาวให้รัดกระชับขึ้น ขณะที่ฉันสอดมือเข้าไปในกระเป๋าเพื่อให้อบอุ่นขึ้น สายตาของฉันที่กวาดมองไปยังคนไข้ที่มารอรับบริการพลันก็ไปหยุดอยู่ที่ ”มานิตย์”ที่นั่งรอตรวจอยู่ ถึงแม้อากาศจะหนาวสักเพียงใดแต่ชายคนนี้ ก็ไม่ย่อท้อต่อความหนาวเหน็บเลย เสื้อผ้าตัวเก่งชุดเดิมกางเกงยีนส์ขาสั้นกับเสื้อยืด มีเพียงแขนทั้งสองข้างของมานิตย์ที่นั่งกอดอกอยู่เพื่อให้ร่างกายพออบอุ่นขึ้นมาบ้าง ฉันไม่เคยเห็นมานิตย์ใส่เสื้อกันหนาวเลย ไม่รู้ว่าเพราะไม่มีใส่หรือมีแต่ไม่ใส่ ก็ไม่รู้ ทุกๆวันมานิตย์จะปั่นจักรยานคู่ใจมาโรงพยาบาลเพื่อมาตรวจด้วยอาการเดิมๆ คือ ปวดข้อศอก ทุกครั้งที่มา เค้าจะบ่นและบอกเล่าอาการปวดด้วยสีหน้าท่าทาง ที่ฉันดูแล้วน่าจะปวดมากจริงๆ มานิตย์พูดได้ไม่ชัดเจนนักฉันก็เลยคิดว่าเค้าพยายามที่จะแสดงออกมาทางกิริยาท่าทางมากกว่าการพูด
วันนี้ก็อีกเช่นกันที่มานิตย์มานั่งรอตรวจด้วยอาการปวดข้อศอกเช่นเดิม จนฉันอดสงสัยไม่ได้ว่ายาที่เค้ารับไปวันก่อนนั้นกินหมดแล้วหรอ ทำไมมาตรวจอีกแล้ว
มานิตย์มาโรงพยาบาลเพื่อมาตรวจและรับยาไปทานที่บ้านแทบจะทุก 2-3 วัน “น้องกรุ๊ป” คือ น้องพยาบาลที่ตรวจรักษาให้กับมานิตย์สลับกับฉัน เป็นพยาบาลที่มานิตย์รู้สึกพึงใจเพราะ ฉันสังเกตเห็นว่ามานิตย์จะมารพ.บ่อยมากขึ้น ถึงแม้บางครั้งจะไม่ได้มาตรวจรักษา แต่ก็จะเห็นเค้ามายืนหรือนั่งด้อมๆมองๆอยู่หน้าห้องตรวจเสมอๆ สายตาของเค้าจับจ้องไปที่น้องพยาบาลที่ชื่อกรุ๊ป เมื่อฉันถามมานิตย์ว่า “วันนี้เป็นอะไรมาตรวจหรือมาทำอะไร” เค้าจะอมยิ้มอายๆ แทนคำตอบ บางครั้งก็เดินจากไปเฉยๆ
ภาพที่มานิตย์มาตรวจที่โรงพยาบาล เป็นภาพที่ทุกๆคนดูคุ้นเคยและชินตา แต่สิ่งที่ฉันสังเกตเห็นได้อย่างชัดเจนคือ วันไหนที่ฉันหรือน้องๆที่นั่งตรวจด้วยกัน พูดกับมานิตย์ด้วยน้ำเสียงที่ดูอ่อนโยน ไม่ดัง ไม่กระโชกโฮกฮาก เค้าจะตอบคำถามหรือพูดคุยโต้ตอบกับเราทันที ถึงแม้ว่าจะฟังไม่เป็นคำซักเท่าไหร่แต่ก็พอฟังออก ตรงกันข้าม หากวันใดที่ฉันและน้องๆ พูดกับมานิตย์ด้วยเสียงที่ดังหรือหน้าตาที่ไม่ยิ้มแย้ม เค้ากลับทำเหมือนไม่ได้ยินในสิ่งที่ฉันพูด ไม่ตอบ เอาแต่ส่ายหน้า ก้มหน้าก้มตา ไม่มีแม้เสียงเล็ดลอดออกจากปากของเค้าเลย
“มานิตย์ วันนี้เป็นอะไรมาจ๊ะ” ปวดข้อศอกอีกหรอ ฉันถามด้วยสีหน้าที่ดูยิ้มแย้ม น้ำเสียงอ่อนโยน มานิตย์จะตอบคำถามของฉันทันที ด้วยแววตาที่เป็นประกาย “ปวดศอก” มานิตย์พูดลอดไรฟันออกมาด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบา ฉันรีบจัดแจงตรวจรักษาให้กับมานิตย์ทันทีตามอาการที่เค้ามา แต่มานิตย์กลับดูไม่สนใจใยดีกับคำพูดและการรักษาที่ได้รับจากฉัน ทำให้ฉันยิ่งสงสัยกับพฤติกรรมของมานิตย์ยิ่งขึ้น
และแล้ววันหนึ่งฉันก็ได้รู้ความลับของมานิตย์ว่า...ที่มานิตย์มาโรงพยาบาลบ่อยๆ ป่วยบ่อยๆ ก็เพราะความรักที่มานิตย์มีให้กับคุณพยาบาลสวยๆ นั่นเอง แต่ถึงอย่างไรชายคนนี้ที่ทุกคนมองว่าไม่เต็มบาท หูหนวก พูดไม่รู้เรื่อง ก็ไม่ได้มองเห็นแค่ความสวยงามภายนอก หรือหน้าตาที่สวยงามเท่านั้น แต่คำพูดที่ดูอ่อนหวาน นุ่มนวล สีหน้าแววตาที่ดูยิ้มแย้ม จริงใจของบุคลากรทางการแพทย์ต่างหากที่ชายคนนี้ต้องการ
เขียนโดย.....กาญจนา พิมพา
พยาบาลวิชาชีพชำนาญการ
โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชนครไทย
สวัสดีคะมาให้กำลังใจค่ะ ที่เชียงใหม่คนเยอะมากค่ะ ไม่ทราบว่าใครเป็นใครเลยค่ะ ขออภัยด้วยที่ไม่ได้ไปทักทายนะคะ เห็นพอลล่าก็จับตัวไว้ได้เลยค่ะ ขอบคุณค่ะ เป็นกำลังใจให้เสมอค่ะ
มาให้กำลังใจกัน เพื่อเขียนเรื่องดี ดี อย่างนี้ต่อไป หวังว่าความฝันของเรา ที่จะให้น้อง ๆ เขียนเรื่องดีดี อย่างนี้บ้าง
เขียนดีจังเลย ทำให้คิดถึงมานิตย์ขึ้นมาจับใจ อิอิ
เคยมีเรื่อง ฮา เกี่ยวกับเขาด้วย อ่านของพี่กาญแล้วก็อดขำขึ้นมาไม่ได้ ตอนแรกที่จ่ายยาก็เข้าใจว่าเขาพอจะได้ยินที่เราพูดบ้าง เลยถามไปว่า ถ้าเข้าใจให้พยักหน้านะค่ะ เข้าใจไหมค่ะ ? มานิตย์ surprise แซวทันที แลบลิ้นซะยาวเลย (สงสัยเข้าใจสุด ๆ ) หลังจากนั้นเวลามานิตย์มารับยาก็จะอดอมยิ้มทุกครั้งไม่ได้ ถึงความน่ารักที่เกิดขึ้น
หวัดดีค่า พี่กาญ ยังจำนสพ.ส้มได้อยู่รึป่าวคะ
กลับมาวันที่สองแร้ววว...พิษณุโลกร้อนมาก
คิดถึงจัง สู้ๆ นะคะพี่กาญ
จำได้ซิคะ...เพราะเป็นกลุ่ม นสพ.ที่น่ารักที่ซู้ดดเลย
ฝากความคิดถึงหา หมอนุ้ย กับหมอเมย์ ด้วยนะคะ
เจอกันที่ไหนทักทายกันบ้างนะคะ