การเกิดแผลที่เท้าเป็นภาวะแทรกซ้อนที่สำคัญและพบบ่อยในผู้ป่วยโรคเบาหวานโดยพบว่าผู้ป่วยเบาหวานเป็นแผลที่เท้ามากกว่าผู้ที่ไม่เป็นโรคเบาหวาน15-40 เท่าและผู้ที่เป็นโรคเบาหวานตั้งแต่ 25ปีขึ้นไปมีโอกาสถูกตัดขาถึงร้อยละ 11และผู้ที่เคยถูกตัดขาไปแล้วข้างหนึ่งมีโอกาสถูกตัดขาอีกข้างหนึ่งภายใน 2 ปีค่ะ (ปัทมา สุริต, 2550)
สาเหตุ/ปัจจัยของการเกิดแผลที่เท้าในผู้ป่วยเบาหวาน
ผู้ป่วยโรคเบาหวานอาจเกิดแผลที่เท้าได้จากหลายปัจจัยซึ่งสามารถสรุปได้ ดังนี้ค่ะ
1.การเสื่อมของเส้นประสาทส่วนปลายเป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุดของการเกิดแผลที่เท้าในผู้ป่วยโรคเบาหวานโดยภาวะน้ำตาลในเลือดสูงจะทำลายหลอดเลือดที่ลำเลียงออกซิเจนและสารอาหารไปเลี้ยงเส้นประสาททำให้สารสื่อประสาทถูกทำลายส่งผลให้ระบบรับความรู้สึกผิดปกติทำให้การรับสัมผัสที่เท้าเสียไปคือ มีอาการชา ไม่รู้สึกต่อความเจ็บปวด ไม่รู้สึกต่อความร้อนหรือเย็นผิวหนังจะแห้งและแตกง่าย
กรณีตัวอย่างเช่น ผู้ป่วยหญิงรายหนึ่งหลังจากซื้อก๋วยเตี๋ยวใส่ถุงจะกลับไปรับประทานที่บ้านแต่บังเอิญขณะขับรถกลับบ้านได้วางถุงก๋วยเตี๋ยวไว้ใกล้ๆเท้าตัวเองโดยไม่รู้สึกร้อน กระทั่งกลับถึงบ้านจึงพบว่าบริเวณหลังเท้าบวมแดงและพุพองสุดท้ายจึงเป็นแผลดังภาพค่ะ
2.การติดเชื้อการที่มีระดับน้ำตาลในเลือดสูงทำให้ผู้ป่วยเบาหวานติดเชื้อได้ง่ายโดยเฉพาะเชื้อราส่วนมากมักจะเกิดที่เล็บเท้าทำให้เล็บกุดเข้าหรือบานออกเล็บแข็งแตกง่าย ทำให้ผู้ป่วยโรคเบาหวานเป็นแผลที่เท้าในที่สุด
3.การสวมใส่รองเท้าที่ไม่เหมาะสม เช่นรองเท้าแตะ ซึ่งเสี่ยงต่อการเหยียบของมีคม หรือถูกทิ่มตำทำให้เกิดแผลที่เท้าได้ง่าย รองเท้าบูทซึ่งภายในเปียกแฉะมีน้ำขังทำให้เท้าติดเชื้อราเรื้อรังและเป็นแผลที่เท้าในที่สุด
4. ปัจจัยอื่นๆ เช่นควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดไม่ได้ ขาดการออกกำลังกาย มีความดันโลหิตสูงสูบบุหรี่ ตามัว การเคลื่อนไหวไม่สะดวกทำให้เท้าถูกทิ่มตำได้ง่ายและบ่อยครั้ง
คำแนะนำในการดูแลเท้าสำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวาน
เพื่อป้องกันการเกิดแผลที่เท้าผู้ป่วยโรคเบาหวานและครอบครัวควรมีความรู้และสามารถปฏิบัติการดูแลเท้าได้อย่างถูกต้องครอบคลุม ดังนี้
1.การรักษาความสะอาดของผิวหนัง
1.1ควรทำความสะอาดเท้าด้วยน้ำและสบู่ ทุกวัน
1.2หลังทำความสะอาดเท้าควรเช็ดและซับเท้าให้แห้งโดยเฉพาะระหว่างซอกนิ้ว
1.3ถ้าผิวหนังที่เท้าแห้งควรใช้ครีมหรือโลชั่นทาบางๆแต่ถ้าผิวหนังอับชื้นควรเช็ดให้แห้งแล้วใช้แป้งฝุ่นโรยบางๆ
1.4 ไม่ควรให้เท้าเปียกน้ำเกิน 15นาทีเพราะอาจจะทำให้เท้าเปื่อยได้
1.5 ไม่ควรใช้ขนแปรงที่แข็งขัดเท้า
2.การตรวจเท้าเพื่อค้นหาความผิดปกติ
ผู้ป่วยโรคเบาหวานควรตรวจเท้าทุกวันอย่างน้อยวันละ1 ครั้ง บริเวณหลังเท้า ฝ่าเท้าและส้นเท้าและซอกนิ้วเท้าเพื่อดูว่ามีอาการปวด บวมแดง ร้อน มีแผล มีรอยช้ำมีรอยแตกของผิวหนัง มีแผลพุพองเป็นต้น
3.การป้องกันการเกิดแผลที่เท้า
3.1การตัดเล็บควรตัดเล็บภายหลังการทำความสะอาดเท้าเพราะเล็บเท้าจะอ่อนนุ่มตัดเล็บด้วยความระมัดระวังไม่ควรแคะชอกเล็บและห้ามตัดตาปลาหรือจี้หูดด้วยตนเอง
3.2 การสวมรองเท้าและถุงเท้าควรสวมถุงเท้าทุกครั้งเพื่อลดการเสียดสีที่เท้าและสวมรองเท้าที่ทำจากวัสดุที่นิ่มซับเหงื่อได้ดี เช่น ผ้าฝ้ายและหุ้มปลายนิ้วเท้าได้ทุกนิ้วเพื่อป้องกันการกระแทกทิ่มแทงและเมื่อซื้อรองเท้าใหม่ต้องป้องกันปัญหารองเท้ากัด
3.3หลีกเลี่ยงสิ่งที่ทำให้เกิดความร้อน เย็นเกินไปเช่นห้ามเอากระเป๋าน้ำร้อนวางบนเท้าของผู้ป่วยโรคเบาหวานเป็นอันขาด
4.การส่งเสริมการไหลเวียนของเลือดบริเวณเท้า
4.1หลีกเลี่ยงการนั่งไขว่ห้างหรือนั่งยองๆเพราะจะทำให้เลือดไหลเวียนไม่สะดวก
4.2 ในที่มีอากาศหนาว เย็นควรใส่ถุงเท้าทุกครั้ง
4.3 งดสูบบุหรี่เพื่อป้องกันเส้นเลือดอุดตัน
4.4 ออกกำลังกายบริหารขาและเท้าทุกวัน อย่างสม่ำเสมอ
5.การดูแลรักษาเท้าเมื่อเป็นบาดแผล
หากมีบาดแผลเกิดขึ้นเล็กน้อยควรล้างในน้ำต้มสุกอุ่นๆและซับให้แห้ง ถ้าแผลมีการอักเสบ ปวด บวม แดงร้อน หรือเกิดเชื้อรา ควรรีบปรึกษาแพทย์ทันที
ขอให้ดูแลเท้าของคุณให้ดี..ก่อนที่จะไม่มีเท้าให้ดูแลค่ะ
ด้วยความขอบคุณ
จาก ผู้ปฏิบัติการพยาบาลขั้นสูงสาขาอายุศาสตร-ศัยลศาสตร์โรคเบาหวาน
สวัสดีค่ะน้องดา