ผมเขียนบันทึกเรื่อง "เพราะเหตุไรบ้านจึงเป็นที่พึ่งพิงสุดท้ายของทุกคนได้เสมอ?" (http://gotoknow.org/blog/inspiring/279014) ไว้นานแล้ว วันนี้มีข้อความอัตโนมัติจากระบบของ gotoknow แจ้งผ่านอีเมล์มาว่า มีผู้เข้ามาอ่านและแสดงความคิดเห็นต่อบันทึกนั้น ผมเปิดเข้าไปอ่านแล้วทำให้คิดถึงคำว่า "บ้าน" ในความหมายเชิงนามธรรมขึ้นมา จึงเขียนความเห็นตอบต่อจากความเห็นของเธอลงใต้บันทึกนั้น พอเขียนเสร็จแล้วเห็นว่าน่าจะคัดลอกที่เราเขียนตอบมาโพสต์แยกไว้เป็นบันทึกใหม่ คิดแล้วก็ทำเลย ดังข้อความข้างล่าง
เวลาผมอยู่กับบ้านได้อย่างสงบ ผมมองออกไปนอกหน้าต่าง เห็นผู้คนเคลื่อนไหวไปมา รักสามัคคีกันบ้าง โกรธเกลียดขัดแย้งกันบ้าง ได้ความรู้สึกเหมือนดูละคร หรือจะว่าไป กรอบหน้าต่างสี่เหลี่ยมนั้นเปรียบเหมือนจอทีวีก็ได้
ในกรอบหน้าต่างบานนั้น ทุกแอ็คผ่านมาและก็ผ่านไป บางคนไม่เห็นหน้ารูปร่างหน้าตา (กาย) เขานาน ผ่านมาอีกทีดูแก่ลงไปอีกโขเลย มีคู่หนึ่งเมื่อวานนี้เกิดอารมณ์โกรธทะเลาะกันเสียงดังลั่นถนน (ใจ) วันนี้เห็นเดินเกี่ยวก้อยคุยกันกระหนุงกระหนิง อีกคนเดินผ่านบอกว่าจะไปพักผ่อนชายทะเล ขากลับผ่านมาอีกทีบอกว่าคิดใหม่แล้ว ไปภูเขาดีกว่า (หัว)
ยิ่งพิจารณายิ่งเห็นชัดว่าไม่มีกาย ใจ(อารมณ์-ความรู้สึก) และหัว(ความคิด) ของใครเลยที่ไม่เปลี่ยนแปลง เป็นไปตามหลักอนิจจัง
กายเราวันนี้ก็คนละกายกับเมื่อวาน นี่ยังไม่นับเมื่อเดือนที่แล้ว ปีที่แล้ว หรือเมื่อเรายังเด็ก เราก็ไม่ได้อยู่ในกายนี้ เซลล์เก่าตายไปเซลล์ใหม่เกิดขึ้นมาแทน ไม่มี "ตัวเรา" จริงๆ เหลืออยู่เลย ยิ่งต่อไปเข้าสู่วัยชรา ยิ่งแก่เฒ่ายิ่งไม่ใช่เราตอนนี้ใหญ่ และสุดท้ายเมื่อจากไปแล้ว กายนี้ก็เปลี่ยนไปเป็นเพียงเถ้าธุลี (คืนกลับสู่โลก - พระแม่ธรณี)
อารมณ์ยิ่งเปลี่ยนเร็วใหญ่ วันหนึ่งยังเปลี่ยนไปได้ตั้งหลายอารมณ์ มาแล้วไปจริงๆทุกอารมณ์ ไม่มีอารมณ์ความรู้สึกใดที่มาแล้วไม่ไป เพียงแต่ขณะมันกำลังมา เราเผลอไผล ไม่ไหวทันว่าเดี๋ยวมันก็ไป ณ นาทีนี้ยังไม่ไป นาทีต่อไปก็ไป หรือพรุ่งนี้ก็ไป ถ้าใครจมอยู่กับอารมณ์บางอย่างนานเกินไปไม่ว่าทุกข์หรือสุข โกรธ แค้น กลัว หรือเศร้าโศก ร่างกายก็รับไม่ได้ ต้องป่วยหรือมีอันเป็นไปบางอย่าง
ความคิดก็เปลี่ยน หัวเรานี่ร้ายสุด อย่าว่าแต่วันเดียวเลย บ่อยครั้งแค่นาทีเดียวยังเปลี่ยนไปได้ตั้งหลายเรื่อง พระท่านจึงเปรียบความคิดคนว่าไวเหมือนลิง ยากที่จะจับ(ผูก)ไว้ให้อยู่นิ่งๆ
ผมเห็นสิ่งเหล่านี้ได้ในเวลาที่ผมได้กลับ บ้าน และสงบ-สุข-สันติอยู่ในบ้านหลังนั้น...
สุรเชษฐ เวชชพิทักษ์
๙ พ.ย.๕๒
ขอบพระคุณอย่างสูง
มีเรื่องเล่าวว่า "นักรบคนหนึ่ง เขาลืมไปว่าได้ประดับไข่มุกของตนไว้ที่หน้าผากตัวเอง เรียบร้อยแล้ว กลับเที่ยวแสวงหามันไปในที่ทุกแห่ง เขาอาจจะเที่ยวหาไปได้ทั่วทั้งโลก แต่ก็มิอาจจะพบมันได้ แต่ถ้าเผอิญมีใครสักคนหนึ่ง ซึ่งรู้ว่านักรบคนนั้นทำผิดอยู่อย่างไร แล้วไปชี้ที่ไข่มุกที่หน้าผากของเขาให้เขาเห็น นักรบคนนั้นจะเกิดความรู้แจ้งในทันทีทันใดนั้น ว่าไข่มุกได้มีอยู่ที่นั่นแล้วตลอดเวลา"
.............."นั่นจะรู้แจ้งเห็นจริงต่อ โพธิ และเมื่อเธอทำได้ดังนั้น เธอจะเห็นแจ้งต่อ พุทธะ (home-บ้าน) ซึ่งมีอยู่ในจิต แล้วตลอดเวลา ได้จริง!"
อาจารย์..ยอมรับว่า ระหว่างหาทางกลับบ้าน หรือหาเจอแล้วก็เข้าๆออกๆบ้านแท้ อยู่นี้ ...มันรู้สึกหลากหลาย จริงๆ (ทั้งเหน็ดเหนื่อย ถอท้อ และเบิกบาน ให้คุณค่าไปพร้อมกัน)
เหมือนกับว่า ความดิ้นรนตามแบบฉบับกิเลสตัวเองตลอดเวลาอันเนิ่นนานนี้ มันเริ่มพิสูจน์ตัวมันเองกับอะไรบางอย่าง ที่สูญเปล่า
แต่นั่นก็เป็น แสงสว่างส่องให้เห็นทางกลับบ้าน ให้เริ่มเดินทางกลับบ้านได้
อาจารย์ อย่างไร เสีย เราก็เป็นเพื่อนร่วมทาง ในความพยายามพากเพียรอันแท้จริงและบริสุทธิ์ เพื่อหาทางกลับบ้านแท้ที่มีอยู่แล้ว
นะคะ
ด้วยความนับถืออย่างสูง
และสักวัน หวังไว้ว่าจะไม่ต้องหา ทางกลับบ้าน อะไรอีก
เพระทุกที่เป็นบ้าน ของเราทุกคน
นะ อาจารย์
:)
คงไม่ยากเกินไป ใช่ไหม อาจารย์ !!
ใช่แล้วผึ้ง ไม่ยากเลย และ "เป็นไปได้" เสมอหากเราเลือกเดินบนเส้นทางสู่ความเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ขึ้นนี้ (เส้นทางธรรม)
:) "เส้นทางธรรม "
ตื้นตันใจ
ใช่คะ