หวังเจาจวิน (王昭君) เป็นหนึ่งในสุดยอดหญิงงามของจีน ในสมัยราชวงศ์ฮั่นตะวันตก (พ.ศ. ๓๔๑-๕๕๑) มูลเหตุของการเขียนบันทึกนี้ เพราะว่าได้เขียนเรื่องของนางเตียวเสี้ยน แล้วพบว่ายังมีสุดยอดหญิงงามของจีนที่ควรกล่าวถึงอีก ๓ คน และคนแรกที่ควรกล่าวถึงคือ "หวังเจาจวิน" นี่เอง ซึ่งบันทึกนี้ต้องขอขอบคุณ แหล่งข้อมูลจาก Chinese2learn.com ครับ เรามาเริ่มต้นเลยนะครับ
ในรัชสมัยฮั่นซวนตี้ (汉宣帝) บรรดาชนชั้นหัวหน้า ของชนเผ่าซงหนูต่างแย่งชิงอำนาจกัน จนในชั้นสุดท้าย ข่านฮูหานเสีย (呼韩邪单于) รบแพ้ ข่านจื้อจือ (郅支单于) ผู้ซึ่งเป็นพี่ชาย
ฮูหานเสีย
ต้องทำอย่างใดอย่างหนึ่งเพื่อให้ยังคงมีอำนาจในชนเผ่า
จึงตัดสินใจเป็นพันธมิตรกับราชวงศ์ฮั่น
และไปเข้าเฝ้าฮั่นซวนตี้ด้วยตนเอง
และเนื่องจาก "ฮูหานเสีย" เป็นข่านเผ่าซงหนูคนแรก
ที่เดินทางมาเชื่อมสัมพันธไมตรียังดินแดนภาคกลาง (ตงง้วน)
"ฮั่นซวนตี้" จึงได้เสด็จออกไปต้อนรับที่ชานเมืองหลวง
(ฉางอานหรือซีอาน) ด้วยพระองค์เอง
และได้จัดงานเลี้ยงต้อนรับอย่างยิ่งใหญ่
ฮูหานเสียพักอยู่ที่นครฉางอานกว่าหนึ่งเดือน หลังจากนั้นพอสบโอกาส จึงได้ร้องขอต่อฮ่องเต้ฮั่นซวนตี้ ช่วยเหลือตนให้ได้เดินทางกลับไปยังเผ่าของตัวเอง
ฮั่นซวนตี้ได้ช่วยเหลือ โดยส่งแม่ทัพสองนายนำทหารม้าหนึ่งหมื่น คุ้มกันไปส่งฮูหานเสีย ขณะนั้นชนเผ่าซงหนูกำลังขาดแคลนอาหาร ทางราชสำนักฮั่นจึงได้จัดส่งเสบียงอาหารจำนวนมากไปช่วยด้วย ฮูหานเสียรู้สึกซาบซึ้งใจเป็นอย่างยิ่ง และตั้งใจที่จะเป็นพันธมิตรกับราชวงศ์ฮั่น
หลังจากฮั่นซวนตี้สวรรคต พระโอรสก็ได้เสด็จขึ้นครองราชย์ต่อมา ทรงพระนามว่าฮั่นหยวนตี้ ต่อมาข่านจื้อจือแห่งเผ่าซงหนู ได้มารุกรานแคว้นต่างๆ ทางตะวันตกของราชสำนักฮั่น และยังได้สังหารทูตที่ราชวงศ์ฮั่นส่งไปอีก
ทางราชสำนักฮั่นจึงได้ส่งกองทัพออกไปปราบปราม และได้สังหารข่านจื้อจือเป็นผลสำเร็จ หลังจากที่ข่านจื้อจือตายแล้ว ฐานะของข่านฮูหานเสียก็มีความมั่นคงมากขึ้น
ปี พ.ศ. ๕๑๐ ข่านฮูหานเสียเดินทางมายังนครฉางอานอีกครั้ง และเจรจาขอให้มีการเชื่อมสัมพันธไมตรีด้วยการสมรสระหว่างราชวงศ์ ซึ่งฮั่นหยวนตี้ก็ได้พระราชทานอนุญาต
การที่หัวหน้าเผ่าซงหนูจะสมรสกับราชวงศ์ฮั่นนั้น
ต้องเลือกจากบรรดาองค์หญิงหรือธิดาของเชื้อพระวงศ์เท่านั้น
ในครั้งนั้น ฮั่นหยวนตี้ทรงตัดสินพระทัยที่จะเลือกนางสนมคนหนึ่งเพื่อพระราชทานให้กับฮูหานเสีย
พระองค์ได้ส่งขุนนางไปยังพระราชวังหลังและให้ประกาศว่า
“ผู้ใดยินดีที่จะไปยังเผ่าซงหนู
ฮ่องเต้ก็จะแต่งตั้งให้เป็นองค์หญิง”
บรรดานางสนมในวังหลังนั้น ต่างก็ถูกเก็บคัดเลือกมาจากราษฎรสามัญชน เมื่อพวกนางถูกคัดเลือกเข้ามาในวังหลวงแล้วก็เหมือนกับนกที่ถูกกักขังอยู่ในกรง บางคนก็ไม่เคยมีโอกาสได้พบฮ่องเต้ ดังนั้นนางสนมส่วนมากต่างก็หวังว่า "สักวันหนึ่งที่พวกนางจะได้ออกจากวังไป"
แต่เมื่อได้ยินว่าจะต้องจากบ้านเกิดไปยังเผ่าซงหนู จึงไม่มีผู้ใดอาสาที่จะไป แต่กระนั้นก็ยังมีนางสนมคนหนึ่งนามว่าหวังเฉียง (王嫱) ฉายาเจาจวิน (昭君) มีรูปโฉมที่งดงามและกอปรด้วยความรู้ ยินดีเสียสละเพื่อชาติที่จะไปแต่งงานยังเผ่าซงหนู
ฮ่องเต้ฮั่นหยวนตี้
จึงได้เลือกวันที่จะจัดงานสมรสพระราชทานให้ ฮูหานเสียและหวังเจาจวิน ที่นครฉางอาน
ในขณะที่
ฮูหานเสียและหวังเจาจวินกำลังแสดงความเคารพต่อฮั่นหยวนตี้อยู่นั้น
พระองค์ก็ได้ทรงเห็นใบหน้าอันงดงามของหวังเจาจวิน
รวมทั้งกิริยามารยาทก็สุภาพเรียบร้อย
นับว่าเป็นสาวงามในราชสำนักฮั่นคนหนึ่งเลยทีเดียว
เมื่อฮั่นหยวนตี้เสด็จกลับวังแล้ว ทรงพระพิโรธเป็นอย่างยิ่ง มีบัญชาให้หัวหน้าขันทีไปนำเอารูปภาพของหวังเจาจวินมาให้ทอดพระเนตร ในรูปภาพนั้นแม้จะมีส่วนที่คล้ายคลึงอยู่บ้าง แต่ไม่มีความงดงามเหมือนหวังเจาจวินตัวจริงโดยสิ้นเชิง
ตามประเพณีของจีนแล้ว บรรดานางสนมที่ถูกคัดเลือกส่งเข้ามาในวัง โดยปรกติจะไม่ได้พบกับองค์ฮ่องเต้โดยตรง แต่ทางราชสำนักจะจัดให้นางสนมเหล่านั้นเป็นแบบให้จิตรกรวาดภาพ และส่งภาพเหล่านั้นไปให้ฮ่องเต้เลือก หากเป็นที่ต้องพระราชหฤทัย ก็จะได้มีโอกาสรับใช้องค์ฮ่องเต้
หนึ่งในจิตรกรที่วาดภาพเหล่านางสนมนั้น มีอยู่คนนามว่า "เหมาเหยียนโซ่ว (毛延寿)" เวลาที่วาดภาพนางสนมทั้งหลายนั้น หากนางสนมคนใดให้สินบน ก็จะวาดให้สวยงาม
หวังเจาจวิน มิคิดที่จะติดสินบน ดังนั้นเหมาเหยียนโซ่ว จึงวาดภาพให้นาง "งดงามต่ำกว่าความเป็นจริง" เมื่อฮั่นหยวนตี้ทรงประจักษ์ในความจริงเช่นนี้ จึงทรงพิโรธอย่างมาก รับสั่งให้ประหารชีวิตเหมาเหยียนโซ่วทันที
หวังเจาจวินได้เดินทางออกจากนครฉางอาน
ภายใต้การคุ้มกันของบรรดาทหารราชวงศ์ฮั่นและเผ่าซงหนู
นางได้ขี่ม้าฝ่าลมหนาวอันทารุณ เดินทางนับพันลี้ไปยังเผ่าซงหนู
เป็นมเหสีของ
ข่านฮูหานเสีย ได้รับยศเป็น “หนิงหูเยียนจือ”(宁胡阏氏)
ด้วยความหวังว่านางจะสามารถนำเอาความสงบสุขและสันติภาพมาสู่ชนเผ่าซงหนู
หวังเจาจวินต้องจากบ้านเกิดไปไกล
อาศัยอยู่ในดินแดนของเผ่าซงหนูเป็นเวลานาน นางได้ "เกลี้ยกล่อม"
ฮูหานเสียอย่าให้ทำสงคราม
ทั้งยังเผยแพร่วัฒนธรรมของชาวฮั่นให้แก่ชาวซงหนูอีกด้วย
นับจากนั้นเป็นต้นมา เผ่าซงหนูและราชวงศ์ฮั่นต่างก็อยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข และไม่มีสงครามเป็นเวลายาวนานถึงหกสิบกว่าปี ยิ่งไปกว่านั้นหลังจากที่ข่านฮูหานเสียสิ้นชีวิตแล้ว นางก็ได้ “ทำตามประเพณีของชาวซงหนู” โดยได้แต่งงานใหม่กับบุตรชายคนโตที่เกิดกับภรรยาหลวงของข่านฮูหานเสีย ถึงแม้ว่าเรื่องนี้จะขัดกับขนบธรรมเนียมประเพณีของชาวฮั่น แต่นางก็คำนึงถึงส่วนรวมเป็นหลัก และคิดที่รักษาความสัมพันธ์อันดีระหว่างชาวฮั่นและชาวซงหนู
หวังเจาจวิน ได้ให้กำเนิดบุตรชาย 1 คน และบุตรสาว 2 คน ที่เผ่าซงหนู เวลาและสถานที่ ที่นางถึงแก่กรรมนั้น ประวัติศาสตร์ไม่ได้บันทึกเอาไว้
“落燕” หรือ “ความงามที่ทำให้ฝูงนก ต้องร่วงหล่นจากท้องฟ้า” เป็นเรื่องราวตอนที่ หวังเจาจวิน เดินทางออกไปนอกด่าน (ในรัชสมัยฮั่นหยวนตี้ ทางเหนือและใต้ทำสงครามกันไม่หยุดหย่อน ชายแดนไม่มีความสงบสุข เพื่อที่จะทำให้เผ่าซงหนูทางชายแดนด้านเหนือสงบลง ฮั่นหยวนตี้จึงได้พระราชทางหวังเจาจวินให้สมรสกับข่านฮูหานเสีย เพื่อที่จะสร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างสองเมือง) ในวันที่ท้องฟ้าสดใส หวังเจาจวินได้จากบ้านเกิดเดินทางไปทางเหนือ ระหว่างทาง เสียงม้าและเสียงนกร้องทำให้นางเศร้าโศก ยากที่จะทำใจได้ นางจึงได้ดีดพิณขึ้นเป็นทำนองที่แสดงความโศกเศร้าจากการพลัดพราก บรรดานกที่กำลังจะบินไปทางใต้ ได้ยินเสียงพิณอันไพเราะเช่นนี้ จึงมองลงไป เห็นหญิงงามอยู่บนหลังม้า ก็ตะลึงในความงาม ลืมที่จะขยับปีก จึงร่วงหล่นลงสู่พื้นดิน นับแต่นั้นเป็นต้นมา หวังเจาจวินจึงได้รับขนานนามว่า “落燕” หรือ “ความงามที่ทำให้ฝูงนก ต้องร่วงหล่นจากท้องฟ้า” นั่นเอง.....
ฮ่องเต้ฮั่นหยวนตี้ |
หวังเจาจวิน |
|
|||
หวังเจาจวิน | ||
หวังเจาจินกับฮูหานเสีย |
||
ภาพจาก : http://ent.sina.com.cn/v/m/2005-10-18/1738869070.html
เพิ่มเติม ภาพของหวังเจาจวิน ที่ถูกต้องเป็นภาพนี้ครับ อ่านเพิ่มเติมและชมภาพ ๔ ยอดหญิงงามได้ที่นี่ครับ http://www.kunchann.net/forums/index.php?showtopic=1905
สวยมากๆๆๆค่ะ เทอเป็นผู้หญิงที่สวยจริงๆแถมยังมีความสามรถอีกมากมาย ชอบจัง
เรียน แก๊งหมีพู
ผู้หญิงก็เก่งได้ ดูอย่างภรรยากุยกีในสามก๊กซิคับ การทะเลาะกันระหว่างลิฉุย กับ กุยกี ถ้าได้อ่านนะนุกคับ
ผ่านมาต้อง700ปีแนะ
คนจรริงต้องสวยกว่าตัวแสดงมากๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆแน่นอน 100%
ภาพวาดนั้นเป็นภาพวาดโบราณหรือเปล่าคะ นี่ขนาดวาดได้งามต่ำกว่าความเป็นจริงแล้วยังงามมากค่ะ ชอบบันทึกนี้ค่ะ