นี่หรือ คือ “ ตัวบุญ ”
“ หนูสิไปโรงเรียนได้จั่งได๋ ถ้าหนูไปโรงเรียน ไผ๋สิเป็นคนพาแม่ไปขอข้าวขอน้ำให้หนูกิน แม่หนูตากะบอด ” เสียงบอกเล่าด้วยภาษาท้องถิ่นของเด็กหญิงวัย 11 ขวบ รูปร่างอวบ ผมเผ้ารุงรัง บางจุดจับกันเป็นกระจุกมีฝุ่นเกาะตามเส้นผมราวกับไม่ได้หวีหรือสระผมมาแรมเดือน เนื้อตัวมอมแมม ตามแขนและขามีรอยแผลเป็นจากแผลพุพองตั้งแต่เล็ก น้องอร คือชื่อของเด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่คอยสิ่งกระตุ้นเตือนความรู้สึกของฉัน ให้นึกถึงภาพเหตุการณ์วันนั้น
ฉันรับผิดชอบงานผู้พิการและผู้สูงอายุ ประจำกลุ่มงานเวชปฏิบัติครอบครัวและชุมชนของโรงพยาบาลโนนคูณ ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ให้บริการทั้งด้าน การป้องกัน การรักษาและการฟื้นฟูสมรรถภาพ และรวมถึงการสร้างเสริมสุขภาพทั้งเชิงรับและเชิงรุก และในทุก ๆ วันจะมีผู้รับบริการแวะเวียนมาใช้บริการตามคลินิกของแต่ละวัน ทั้งที่นัดไว้และไม่ได้นัด หลังจากว่างเว้นจากการให้บริการแล้วพวกเราก็จะออกเยี่ยมบ้าน เป็นการติดตามดูแลผู้รับบริการในชุมชน ซึ่งถือเป็นภารกิจหนึ่งที่เราให้ความสำคัญและถือปฏิบัติเสมอมา ในเวลาบ่ายของวันศุกร์ซึ่งฉันก็จำไม่ได้แล้วว่าเป็นวันที่เท่าไหร่ ฉันยืนมองท้องฟ้าที่กำลังมืดครึม เมฆสีเทาเกาะตัวอยู่เต็มทั่วท้องฟ้าคล้ายฝนจะตก แอบคิดในใจว่าขนาดฝนยังตกไม่ทั่วฟ้าเลย ช่างแตกต่างกลับช่วงที่ฉันไปเยี่ยมบ้านผู้ป่วยเมื่อเช้าซะเหลือเกิน ฉันบีบนวดต้นคอตัวเองด้วยความเมื่อยล้าจากการเดินทางที่ต้องฝ่าสายฝนและดินโคลนสีแดง ประกอบกับบรรยากาศที่มีสายฝนโปรยปรายตลอดระยะเวลาที่เดินทาง หลังจากยืนแอบคิดอะไรเพลิน ๆฉันก็เดินไปที่โซฟาในห้องพักเจ้าหน้าที่เอนตัวลงนั่ง เพื่อให้เวลากับตัวเองได้พักบ้าง
“ กริ๊ง ๆ.!!!!!!! กริ๊ง ๆ.!!!!!!! กริ๊ง ๆ.!!!!!!!....”
“ พี่สายโทรศัพท์ค่ะ ” เสียงของน้องในฝ่ายปลุกฉันให้ลุกจากโลกแห่งการพักผ่อนฉันค่อย ๆ ลุกจากที่ที่จะใช้เป็นที่พักเพื่อเพิ่มพลังให้กับตัวเองด้วยความสะลึมสะลือ บิดขี้เกียจไป-มาก่อนเดินไปรับโทรศัพท์
“ น้องสายเชิญที่ห้องบัตรด้วยค่ะ ” เสียงที่ฉันได้ยินช่างแผ่วเบา จนนึกไม่ออกว่าเป็นสียงของใครในความรู้สึกตอนนั้นของฉัน
“ ค่ะพี่ สายค่ะ ” ฉันพูดออกไปทั้งที่ตาทั้งสองข้างยังเปิดไม่เต็มที่เลยด้วยซ้ำ
“ น้องสาย มาช่วยกันเอาบุญค่ะคุณน้อง ” ฉันนึกออกแล้วว่านี่คือเสียงของพี่พยาบาลประจำแผนกผู้ป่วยนอกที่มักจะพูดหยอกล้อกับฉันบ่อย ๆ เมื่อได้รับคำตอบ ยิ่งทำให้ฉันงงหนักเข้าไปอีก
“ บุญอะไรค่ะพี่ ”
“ น้องสายมาที่ห้องบัตรสิ แล้วจะได้รู้ว่ามันคือบุญอะไร? ” ฉันสะบัดหัว 1 ครั้ง ตั้งสติและรวบรวมสมาธิที่ล่องลอยอยู่เมื่อสักครู่นี้ให้กลับคืนมาโดยเร็ว ( ถึงจะไม่หมดก็เถอะ ) แล้วรีบเดินไปหาพี่ที่ห้องบัตรเพื่อหาคำตอบ พลางก็คิดว่าทำบุญอะไร ไม่รู้หรือว่าถ้าพี่เขาจะไม่โทรมาเมื่อสักครู่นี้.... พี่เขาก็จะได้บุญไปมากโขที่เดียวละ...
เมื่อเข้าไปถึงห้องบัตร สิ่งที่ฉันเห็นก็คือภาพของเจ้าหน้าที่ที่กำลังวุ่นวายอยู่กับการทำบัตรตรวจให้คนไข้ที่รอตรวจ สายตาของฉันได้ไปสะดุดอยู่ที่คุณยายรูปร่างเล็ก ผอม ท่าทางอิดโรยดูซีดเซียว ผมเป็นสีดำดอก ใส่เสื้อคอกระเช้าที่ซีดจนแทบจะไม่รู้เลยว่าสีเดิมเป็นสีอะไร แล้วยังมีรูขาดพรุนเล็ก ๆ กระจายอยู่ตามตัวเสื้อ ซึ่งก็ไม่รู้ว่าเกิดจากสาเหตุอะไร รวมทั้งรอยขาดวิ่นตามชายตะเข็บเสื้อนั้นด้วยผ้าถุงเก่า ๆ สีดำ..เออ....ใช่น่าจะเป็นสีดำ เพราะมองแทบจะไม่เห็นลวดลายอะไรเลย ปกคลุมยาวลงมาถึงเข่า เผยให้เห็นช่วงขาที่ลีบเล็กแทบจะมีเพียงหนังหุ้มกระดูกเท่านั้น รองเท้าไม่สวม สั้นเท้าแตกด้านแสดงถึงการเดินด้วยเท้าเปล่าเป็นเวลานาน เล็บที่ยาวและดำ เนื้อตัวมอมแมม บ่งบอกว่าไม่ได้รับการตัดและการใส่ใจเรื่องความสะอาดมากนัก และเมื่อฉันเงยหน้าขึ้นมองสบตากับคุณยายคนนั้น หลังจากที่ไล้สายตาสำรวจไปทั่วร่างแล้ว คุณยายไม่ยอมสบตา ด้วยความสงสัยฉันจึงยืนจ้องตาคุณยายต่ออีกประมาณ 2-3 นาที แปลกที่คุณยายไม่มีแม้แต่การกระพริบตา ฉันแอบคิดในใจ......หรือว่า!!!!! คุณยายตาบอด...... เขาตาบอด?....จากความรู้สึกสะลึมสะลือ งุนงง ขี้เกียจ หรืออะไรก็แล้วแต่ในตอนแรก บัดนี้มันได้แปลเปลี่ยนกลายเป็นความอยากรู้อยากเห็นขึ้นมาในทันที และฉันยังเริ่มสังเกตเห็นอีกว่าข้าง ๆ กายของคุณยายมีเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง รูปร่างท้วม ใบหน้าอวบกลม ดวงตาสีดำขลับจ้องมองข้าพเจ้าอยู่ก่อนแล้ว ด้วยสายตาที่น่าจะสงสัย เสื้อผ้าที่เธอสวมใส่ไม่ได้แตกต่างจากคุณยาย มันทั้งเก่าและซีด เนื้อตัวมอมแมม ผมเผ้ารุงรังเหมือนกับมันไม่ได้พบหวีมาอย่างช้านาน ไม่ได้ใส่รองเท้า แต่ที่สะดุดจมูกฉันที่สุดก็คือกลิ่นเหม็นที่ออกมาจากร่างกายของเธอราวกับกองขยะ ดูท่าทางคงไม่ได้ผ่านการอาบน้ำมานานเป็นแรมปี มันยิ่งเพิ่มให้ความอยากรู้อยากเห็นของฉันเพิ่มมากขึ้น จนไม่อาจจะทนเงียบอีกต่อไปได้
“ มีอะไรหรือเปล่าคะพี่ ”
“ มีจ้า ก็นี่แหละเรื่องเอาบุญ สอบถามกันเอาเองนะ Case นี้พี่ยกให้ ” พี่พยาบาลคนเดิมกล่าว พร้อมกับยื่นใบสั่งยาให้กับข้าพเจ้าแล้วก็เดินจากไป......อะไรวะ.....งง.....ข้าพเจ้ารีบอ่านใบสั่งยานั้นในทันที มันเป็นข้อความที่แพทย์ผู้ซึ่งได้ชื่อว่ามีหัวใจของความเป็นมนุษย์ เขียนในใบสั่งยาว่า ส่งฝ่ายเวช ฯ เพื่อขอรับความช่วยเหลือด่วน!!!!! ฉันยิ่งงงเข้าไปอีก เมื่อเจอกับคำสั่งในใบสั่งยา มีด้วยเหรอ ??? คำสั่งแบบนี้ แล้วใครละจะให้ความกระจ่างในเรื่องนี้ได้ นอกเสียจาก...........
ฉันเงยหน้าขึ้นมองคุณยายอีกครั้ง ยิ้มพร้อมกับกล่าวทักทายคุณยายด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวล ( คิดว่าอย่างนั้น ) และแนะนำตนเองเพื่อให้คุณยายรู้ว่าเราเป็นใคร มีหน้าที่อะไร และพร้อมที่จะช่วยเหลือคุณยายในเรื่องที่พอจะช่วยได้ เท่านั้นละ ( ตอนนั้นคิดได้แค่นั้นจริง ๆ ) แต่คุณยายก็ยังไม่ยอมกระพริบตาอีกเช่นเคย ด้วยความสงสัยฉันเลยเอื้อมมือไปจับแขนคุณยายเบา ๆ แล้วถามว่า
“ เป็นอะไรมายาย ” ใบหน้าของคุณยายก็เต็มไปด้วยร้อยยิ้ม พร้อมกับยกมือที่มีแต่หนังหุ้มกระดูกขึ้นพนมเพื่อไหว้ฉันทันที จนฉันรับไหว้แทบไม่ทันเลยละ
“ คุณหมอ ส่อยอิฉันแหน่ อิฉันจังแม่นทุกข์ แม่นยาก ”
“ ทุกข์ยากอะไร ไหนลองเล่าให้หมอฟังสิค่ะ ” ประวัติอย่างคร่าว ๆ ของครอบครัวคุณยายถูกถ่ายทอดออกมาเป็นคำพูดโดยผ่านการบอกเล่าด้วยปากของคุณยาย ขณะที่คุณยายเล่าเรื่องราวของตัวเองอยู่นั้น หลายครั้งที่ฉันแอบชำเลืองมองสบตาของคุณยายด้วยความสงสัย จนอดไม่ได้ที่จะยกมือขวาของฉันขึ้นมาถึงระดับสายตาของคุณยายแล้วส่ายไป-มา
“ หมอเฮ็ดอี่หยั๋ง แม่บ่เห็นดอก แม่หนูเผิ่นตาบอด ”
ตาบอด!!!! เหมือนดังกับฟ้าฝ่าลงมาที่ตัวฉันทันทีที่สิ้นเสียงของเด็กผู้หญิงคนที่ยืนอยู่ข้าง ๆ คุณยาย ความสงสัยทั้งหมดที่ฉันเคยตั้งคำถามกับตัวเองและแอบตอบมันอยู่ในใจ บัดนี้มันได้รับการเฉลยคำตอบเรียบร้อยแล้ว ฉันวางมือจากการทดสอบสายตาของคุณยายลงช้า ๆ แล้วมองคุณยายสลับกับเด็กผู้หญิงคนนี้ไป-มา สงสาร......คงไม่มีคำใดที่เอ่ยหรือบอกแก่สิ่งที่ฉันรับรู้ได้มากท่ากับคำคำนี้
น้องอร คือชื่อของเด็กผู้หญิงซึ่งเป็นลูกสาวของคุณยาย เล่าเรื่องราวต่าง ๆ ให้ฉันฟังด้วยสีหน้าที่เศร้าหมองว่า ไม่มีบ้าน ไม่มีเงิน ไม่มีที่นาทำกิน ต้องอาศัยอยู่เพิงหมาแหงนที่ชายทุ่ง พอถึงช่วงฤดูการทำนาก็จะไปรับจ้างทำนา แต่หมดช่วงทำนาก็ต้องไปขอทาน ขอข้าวเขากินไปวัน ๆ วันไหนไม่มีข้าวกิน ก็ไปขอข้างบ้านถ้าเขามีเขาก็แบ่งให้แต่ถ้าไม่มี นั่นหมายความว่าทั้งเธอ แม่ และผู้เป็นพ่อก็จะไม่มีอะไรตกถึงท้องเลย ต้องกินน้ำทั้งวันเพื่อประทังความหิว แม่ชอบบ่นปวดท้องบ่อยๆ พ่อกับหนูก็เคยปวดท้องด้วยแต่ไม่ค่อยกล้าไปหาหมอ เพราะพวกเราไม่มีเงิน ถ้าไม่ปวดมากจนทนไม่ไหวจริง ๆ ถึงจะไป พ่อขาลีบ ทำงานหนักไม่ค่อยได้ แม่ตาบอดมองไม่เห็น ทำงานไม่ได้ หนูไม่ได้ไปโรงเรียน
“ ทำไมหนุไม่ไปโรงเรียนละ ”
“ หนูสิไปโรงเรียนได้จั่งได๋ ถ้าหนูไปโรงเรียน ไผ๋สิเป็นคนพาแม่ไปขอข้าวขอน้ำให้หนูกิน แม่หนูตากะบอด ” นั่นซินะ ฉันนี้โง่จริง ๆ ขนาดเด็กยังรู้เลย แต่คำตอบของ หลังจากที่ได้พูดคุยและรับฟังคำบอกเล่าต่าง ๆ แล้ว ฉันยังได้ทราบอีกว่าคุณยายคนนี้ไม่มีแม้กระทั่งเลขบัตรประจำตัวประชาชน ฉันฟังแล้วยังไม่อยากจะเชื่อหูของตัวเอง สมัยนี้มีคนไม่มีบัตรประชาชนด้วยหรือ...... แล้วผู้ใหญ่บ้าน กำนัน อบต. เขารู้ไหมว่าคุณยายคนนี้ไม่มีบัตรประชาชน แล้วเรื่องบัตรประกันสุขภาพล่ะมีหรือยัง ไม่น่าล่ะน้องอรถึงบอกว่าไม่กล้าไปหาหมอเพราะไม่มีเงิน แล้วมีคนให้ความช่วยเหลือหรือให้คำแนะนำกับคุณยายหรือยัง? คำถามต่าง ๆ มากมายเกิดขึ้นในใจของฉัน เมื่อซักประวัติกันเสร็จเรียบร้อย ฉันจึงนัดหมายเพื่อลงไปเยี่ยมบ้านในวันถัดไป และส่งผู้ป่วยรับยากลับบ้านพร้อมรถของคนใจดีที่เขาบังเอิญมาหาหมอที่โรงพยาบาลและให้ยายติดรถมาด้วย หลังจากส่งผู้ป่วยกลับบ้านแล้ว สิ่งแรกที่ฉันรีบทำทันทีคือ โทรศัพท์ไปถามเจ้าหน้าที่ในเขตรับผิดชอบ ว่ารู้จักคุณยายคนนี้หรือไม่
“อ๋อ คุณยายดอนเหรอ? รู้จักสิ รู้จักดีด้วย แกเคยมาขอทานที่อนามัยพี่ด้วยพี่ยังเคยให้เงินแกเลย สงสารแก ” นี่เป็นคำตอบของเจ้าหน้าที่อนามัยที่ฉันได้รับ และหลังจากนั้นฉันได้ทำบันทึกข้อความเพื่อขอรับการสนับสนุนและให้ความช่วยเหลือไปยังองค์การบริหารส่วนตำบลบก แต่คำตอบที่ฉันได้รับคือ ยังไม่สามารถให้การช่วยเหลืออะไรได้ทั้งสิ้น เนื่องจากผู้ยื่นคำร้องไม่มีเลขบัตรประจำตัว
เมื่อฉันและเพื่อนร่วมงาน 1 คน ได้ลงไปเยี่ยมคุณยายดอน ตามเส้นทางถนนลาดยางที่ถูกผู้รับเหมาเอาเปรียบ มีแต่หลุมเต็มไปหมด บางหลุมใหญ่จนนึกว่ามีใครมาขุดบ่อเลี้ยงปลาไว้กลางถนนหรือเปล่า พอเข้าไปถึงหมู่บ้าน ฉันต้องเดินเลียบตามทางเดินแคบ ๆ ของบ้านหลังหนึ่งเพื่อที่จะไปเยี่ยมคุณยายดอน
กระต๊อบเก่า ๆ ริมทุ่งนาหลังคามุงด้วยหญ้าคาที่เก่าและแห้งกรอบ บางจุดก็ขาดแหว่งทำเห็นแสงแดดอยู่รำไร ฝาบ้านสร้างมาจากเศษไม้และเศษสังกะสีเก่าจนขึ้นสนิม บ้านไม้ที่ยกพื้นสูงประมาณ 1 เมตร รอบ ๆ บ้านเป็นทุ่งนา ห่างไปประมาณ 500 เมตรมีก่อไผ่อยู่ 1 กอ หน้ากระต๊อบหลังนั้นมีสระน้ำที่เต็มไปด้วยผักบุ้ง นี่คือบ้านในนิยามของคุณยายดอนและน้องอร บ้านที่ไม่มีแม้แต่ไฟฟ้า น้ำประปา ไม่มีสิ่งสาธารณูปโภคเหมือนบ้านทั่วๆ ไป มีเพียงคน 3 ชีวิตและสุนัขอีก 3 ตัว พอพวกฉันก้าวเข้าไปในเขตพื้นที่ที่เขาเรียกกันว่าบ้าน สุนัขทั้งสามตัวก็วิ่งออกมา พร้อมส่งเสียงเห่าหอนต้อนรับแขกที่ไม่ได้รับเชิญ
“ ยายดอน อร คุณหมอมาหา ” ไกด์ของฉันส่งเสียงเรียก ให้เจ้าของได้รับทราบถึงการมา คุณยายดอนและน้องอร ลุกขึ้นนั่งจากการนอนบนแคร่ไม้เก่า ๆ ที่เหมือนจะไม่ได้รับการเช็ดถูเป็นเวลานานแล้ว คุณยายดอนยิ้มทักทายด้วยความดีใจ
“ สวัสดีค่ะคุณหมอ ดีใจจังเลยที่คุณหมอมา ” พร้อมกับยกมือขึ้นไหว้ ฉันแน่ใจว่าคุณยายมองไม่เห็นหรอก แต่ที่ยกมือขึ้นไหว้ถูกเพราะคงจะได้ยินเสียงเรียกนั้นแหละ
“ ก็มาตามสัญญาไงคะ ” ฉันกล่าวทักทายคุณยาย ซึ่งขณะนั้นได้มีเพื่อนบ้านใกล้เคียง ที่ประกอบด้วย อสม.และ อบต. ประจำหมู่บ้านมาสมทบ เมื่อได้พูดคุยและซักประวัติกันเพิ่มเติมแล้วทำให้ฉันได้ทราบอีกว่า สามีของคุณยายดอนคือ คุณตาสำรอง ได้ประสบอุบัติเหตุตกจากต้นไม้ ระหว่างการไปทำงานรับจ้างตัดกิ่งไม้ตามหมู่บ้าน เมื่อประมาณ 2 ปีก่อน ทำให้ขา 2 ข้างลีบเล็กไม่เท่ากัน ทรงตัวลำบากและมีอาการกลั้นปัสสาวะไม่ได้ แต่ก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคในการดำรงชีวิตของคุณตาสำรองเลยแม้แต่น้อย คุณตาสำรองยังเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงของครอบครัว รับหน้าที่งานบ้านทุกอย่าง ทำกับข้าว กวาดบ้าน ถูบ้าน ตักน้ำ รับจ้างทำงานทุกอย่างเท่าที่ทำได้เพื่อช่วยหาเลี้ยงครอบครัวอีกแรง แม้ว่าสภาพร่างกายจะไม่เอื้ออำนวยเท่าใดนัก คุณตาบอกกับฉันว่า
“ ถ้าผมบ่เป็นจังซี่ ครอบครัวผมกะสิบ่ลำบากปานนี่ดอกคุณหมอ ผมคือสิพอเฮ็ดได้หลายกว่านี้อยู่ คือสิพอมีเงินซื่อเข่า ซื่อน้ำกินอยู่ดอก บ่ได่ขอไทบ้านเพิ่นกินคือจังทุกมื้อนี่ ” นี่คือคำบอกเล่าของคุณตาสำรองผู้ที่ขาดความสมบูรณ์พร้อมทางร่างกาย แต่ทว่าหัวใจกับเต็มเปี่ยมไปด้วยความรักและรับผิดชอบต่อครอบครัวอย่างแท้จริง
จากการสอบถามเพื่อนบ้านเล่าว่าคุณยายดอนเป็นคนอำเภอโนนคูณโดยกำเนิด มีพี่น้องหลายคนแต่คุณยายดอนไม่ได้รับการแจ้งเกิด จนกระทั่งโตมาได้พบรักกับ คุณตาสำรอง สารภาพ ซึ่งอยู่ต่างตำบลและมีบุตรด้วยกัน 3 คน ซึ่งคุณตาสำรองก็ไม่มีที่นาทำกินเพราะถูกโกงจากพี่และน้อง และปัจจุบันก็อาศัยอยู่ในพื้นที่ของคุณครูใจดี เขาแบ่งให้อยู่อาศัยด้วยความสงสารคุณยายและสามี ที่สำคัญคือคุณครูสงสารน้องอร เมื่อถามถึงเรื่องตาที่มองไม่เห็นของยายดอน เพื่อนบ้านอีกคนก็เล่าว่า ยายดอนแกเริ่มมีอาการตามัวมองไม่ค่อยชัดมา 2-3 ปี แต่ก็ไม่ได้ไปรับการตรวจรักษาที่ใดมาก่อน เพราะปัญหาหลายสาเหตุ ปัญหาหลัก ๆ ก็คือไม่มีเงินแม้กระทั่งค่ารถที่จะไปหาหมอ ยายดอนก็ปล่อยให้ตามัวมาเรื่อยๆจนกระทั่งบอดสนิทมา 1 ปี ครั้นถามถึงลูกชายคนโตของคุณยาย คำตอบที่ได้รับคือ
“ โอ๊ยอาศัยไม่ได้หรอก ขนาดตัวเองยังเอาตัวไม่รอด ” ฉันถอนหายใจเฮือกใหญ่ ไม่กล้าตั้งคำถามต่อ มีแต่ความคิดและคำถามมากมายที่ผุดขึ้นมาในสมอง เราต้องทำอะไรหลาย ๆ อย่างและต้องทำทันที แต่ในตอนนั้นฉันยังไม่รู้หรอกว่า จะต้องทำอะไรบ้าง? อะไรก่อน? อะไรหลัง? เพราะมันสับสนไปหมด เมื่อฉันมองไปตามเสียง วิทยุทรานซิสเตอร์ ขนาดเล็กที่พร้อมจะแยกออกจากกันถ้าไม่ได้เชือกฟางเก่า ๆ มัดเอาไว้ น้องอรเป็นคนเปิดเพลงนี้ “ หนูชอบร้องเพลง ” น้องอรบอกฉัน พร้อมกับส่งรอยยิ้มมาให้ ฉันได้เพียงแค่ส่งร้อยยิ้มกลับไปให้หนูน้อยคนนี้และเริ่มสำรวจบ้านต่อ สายตาของข้ฉันไปหยุดอยู่กับห้องน้ำ ใช่!!!!
ห้องน้ำ |
คุณตาสำรองบอกว่ามันเป็นห้องน้ำ ซึ่งเป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับบ้านทุกบ้าน
“ มันใช่บ่ได้แล้วคุณหมอ มันเพแล้ว ” คุณตาบอก นั่นซินะจะไม่ให้มันชำรุดยังไงได้ ดูสภาพมันแล้ว มันไม่มีแม้แต่หลังคา ใช้เพียงสังกะสีที่ค่อนข้างเก่ามากเป็นผนังกั้นแถมยังเป็นรูทั้งขนาดใหญ่และใหญ่มาก ๆ มาปิดกั้นไว้ แล้วจะปิดไว้ทำไม ? เหมือนไม่ได้ปิดซะยังไงยังงั้น นี้ถ้าไม่ชำรุดก็ไม่น่าใช้หรอก ฉันถอนหายใจอีกรอบ... พลางคิดว่า
“ เจองานหนักอีกแล้ว..สิส่อยจังได๋ดีหนอ...จังแม่นอยากมีเงินเองเด สิเนรมิตทุกอย่างให่เหมิ่ง ” และเมื่อสมควรแก่เวลาฉันได้คุยกับเพื่อนบ้านและผู้นำชุมชน สิ่งแรกที่รีบดำเนินการ คือประสานให้ผู้ใหญ่บ้านและเครือข่าย อสม. พาคุณยายดอนไปยื่นคำร้อง เพื่อให้ได้เลขบัตรประชาชนที่อำเภอโนนคูณเพราะเป็นเรื่องเร่งด่วนมาก แต่ที่ลืมไม่ได้คือเรื่องการให้คำปรึกษาด้านการดูแลสุขภาพ ของตนเองและครอบครัว
เมื่อคุณยายดอนได้เลขบัตรประจำตัว 13 หลักแล้ว แพทย์ได้ออกเอกสารรับรองคนพิการให้คุณยายดอน คุณยายดอนกลายเป็นผู้พิการทางการมองเห็น พร้อมคุณตาสำรองเป็นผู้พิการด้านการเคลื่อนไหว หลังจากนั้นได้ดำเนินการออกเป็นบัตรทองประเภทคนพิการทั้ง 2 คน และสำหรับคุณยายดอนส่งจดทะเบียนคนพิการที่จังหวัด คุณยายได้สมุดประจำตัวคนพิการ และได้ส่งเอกสารประกอบการขอรับเบี้ยยังชีพที่องค์การบริหารส่วนตำบลบกอีกครั้ง ผลการตอบรับคือคุณยายได้รับเบี้ยยังชีพเดือนละ 500 บาท และยังส่งคำร้องไปยังศูนย์พัฒนาความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดศรีสะเกษ เพื่อขอรับงบประมาณสนับสนุนเพื่อสร้างที่อยู่อาศัย และได้งบประมาณสนับสนุนจากจังหวัดเพื่อมาซ่อมแซมบ้านอีก 5,000 บาท หลังจากนั้นมาฉันและเพื่อนร่วมงานก็ได้มีโอกาสไปเยี่ยมบ้านคุณยายดอน อีกหลายครั้งและมีของเล็ก ๆ น้อย ๆ ไปฝาก คุณยายไม่ได้ออกไปหาขอทานเหมือนแต่ก่อนเนื่องจากสายตาที่มองไม่เห็น ไม่มีคนพาคุณยายไป น้องอรก็ไปโรงเรียนและสัญญาว่าจะตั้งใจเรียนและจะเรียนหนังสือให้เก่ง ๆ จะได้มีงานทำ มีเงินเลี้ยงแม่และพ่อเมื่อหนูโตขึ้น น้องอรบอกเราว่าอย่างนั้น
ปัจจุบันครอบครัวของคุณยายดอนปลูกผักรับประทานเองในพื้นที่ที่มีอยู่อย่างจำกัด และหลายต่อหลายครั้งมีคนใจดีนำข้าวสารมาไว้ให้รับประทานและบางครั้งก็ยังต้องอาศัยข้าวจากวัดในหมู่บ้านเพื่อประทังชีวิต แต่ที่น่ายินดีไปกว่านั้น คุณยายบอกกับเราว่า นอกจากเพื่อนบ้านจะแวะเอาข้าวปลาอาหารมาให้แล้วผู้นำชุมชนต่าง ๆ ยังพยายามติดต่อกับส่วนราชการอื่น ๆ ที่คิดว่าน่าจะสามารถ ให้ความช่วยเหลือครอบครัวนี้ได้ ทำให้ฉันสึกรู้ประทับใจในความมีน้ำใจ ความรักสามัคคี ความห่วงใยดูแลกัน ไม่ทอดทิ้งกันในชุมชน และรู้สึกภาคภูมิใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในการดูแล ช่วยเหลือผู้ที่ด้อยโอกาสให้สามารถพึ่งพาตนเองและสามารถดำเนินชิวิตอยู่ในสังคมได้อย่างปกติสุข ถึงแม้สิ่งที่ทีมเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลได้ทำให้กับครอบครัวนี้ ยังเป็นเพียงสิ่งที่น้อยนิด แต่สำหรับพวกเราแล้วมันเป็นก้าวแรกของความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่และเป็นพลังใจในการทำงานของพวกเราต่อไป เพราะพวกเราทุกคนเชื่อว่า ยังมีอีกหลาย ๆ ชีวิตที่ลำบาก ที่ต้องการความช่วยเหลือจากพวกเรา ผู้ที่พร้อมจะให้ (บริการ) เพื่อหวังเพียงแค่ได้เห็นรอยยิ้มแห่งความสุขของคนที่เราให้เพียงเท่านี้พวกเราก็มีความสุขแล้ว วันนี้ทำให้ฉันนึกถึงคำที่พี่พยาบาลประจำผู้ป่วยนอกบอกฉันว่า “ มาเอาบุญ ”
สายชล นิลเนตร
พยาบาลวิชาชีพ ปฏิบัติการ
กลุ่มงานเวชปฏิบัติครอบครัวและชุมชน รพ.โนนคูณ
เเวะมาเอาบุญนำเเหน่ บุญนี้ใครๆก็ปรารถนา บุญมีอย่ในทุกที่ไม่เฉพาะในโรงพยาบาล เราเอาบุญได้ทุกวันค่ะ มาชื่นชมทีมโรงพยาบาลโนนคูณค่ะ ไม่ทราบว่าจำกันได้หรือเปล่า
ขอบคุณมากค่ะพี่กุ้ง หวังว่าคงยังจำหน้าตาน้อง ๆ จากโรงพยาบาลโนนคูณกันได้ทุกคนนะค่ะ
พี่กุ้งสบายดีนะค่ะ แถวขอนแก่นน้ำท่วมไหมนี่?
อนุโมทนาด้วยค่ะ
อ่านไปซาบซึ้งไป
คุณยายได้รับความช่วยเหลือ
น้องก็ได้ไปโรงเรียน
_/|\_
ขอบคุณ คุณณัฐรดาที่มาร่วมอนุโมทนาบุยในครั้งนี้
ดีใจมากค่ะที่พี่นงนาทแวะมาเยี่ยมชมเรื่องราวดี ๆ ของโรงพยาบาลโนนคูณ