ความคิดที่จะ "ทำ" งาน...


ช่วงนี้งานที่เรากำลังรับผิดชอบทำนั้น “วุ่นวาย” มาก ที่จริงงานนั้นมันไม่ได้วุ่นวายอะไรเลย แต่ไอ้ที่วุ่นวายจริงแล้วนั่นก็คือ “ความคิด” ของเราเอง
ตอนนี้เราจึงพบความคิดสำหรับการทำงานว่าจะมีอยู่ ๒ อย่างด้วยกัน
หนึ่ง ความคิดที่จะ “ทำ”งาน และสองคือ ความคิดที่ “ทำลาย” งาน

ก่อนอื่นขอเริ่มจากความคิดที่สองก่อนคือ ความคิดที่ “ทำลาย” งาน ก็คือ ไอ้เจ้า “ความคิดมาก” ทั้งหลาย
คิดว่างานจะดีไหม คิดโกรธคนนั้น คิดเกลียดคนนี้ คนงานคนนี้เป็นอย่างนั้น คนงานคนนั้นเป็นอย่างนี้
เวลาและหัวสมองแทนที่จะมาคิดเรื่องงานว่าจะทำอย่างไรดี ก็จะต้องมาเจียด มาแบ่ง หรือบางครั้งถูกครอบครองด้วยความคิดจำพวกนี้ไปจนหมดสิ้น

ความคิดที่วุ่นวายทั้งหลายนี้เอง เป็นตัว “ทำลาย” งานให้ด้อยประสิทธิภาพลงไป
เพราะแทนที่เราจะทุ่มทรัพยากรทั้งกายและใจลงไปในเรื่องงาน ก็ต้องมาติด มาขัด มาเสียเวร่ำ เวลาให้กับ “ความคิดโง่ ๆ” แบบนี้
ทำไปหน่อยก็คิดอีกแล้ว เหม็นขี้หน้าคนนั้น เบื่อขี้หน้าคนนี้
คนนี้เขาเดินมาดูก็เบื่อ ก็เซ็งอีกแล้ว มัวแต่คิดอยู่อย่างนี้งาน “เสียหาย”หมด

ดังนั้นคำว่า “จิตว่าง” จึงมีความหมายจำเพาะเจาะจงที่ตรงนี้
จิตว่างนั้นก็คือ จิตที่ว่างจากความคิดทำลายล้างแบบนี้
การทำงานโดยจิตว่างคือ การทำงานโดยจิตที่มีแต่ความคิดแรก คือ คิดที่จะ “ทำงาน” ทำงาน แล้วก็ทำงาน
คิดแต่เรื่องงาน ไม่มีความคิด “โง่ ๆ” ซึ่งจะทำลายทั้งงานโดยเฉพาะอย่างยิ่งทำลายตัวเราเข้ามาเกี่ยวข้อง

เจ้าความคิดแรกนี้ (ความคิดที่จะทำงาน) ถ้าเกิดเรามีอยู่ “เพียว ๆ” มีอยู่อย่างเดียว ไม่ว่างานอะไรเราก็จะทำได้ “สำเร็จ”
ดังนั้นคนที่ทำงานไม่สำเร็จ ไม่ได้หมายความว่า เขาโง่ เขาไม่เก่ง ไม่มีความรู้
แต่ที่เขาทำไม่ได้นั้นก็เพราะ “จิตไม่ว่าง” ไม่ว่างจาก “ความคิดโง่ ๆ” ทั้งหลาย ที่เราสร้าง เราคิดขึ้นมาเพื่อคอยกวนจิต กวนใจของเราเอง

การปล่อยวางความคิด “โง่ ๆ” ไปให้หมดจึงเป็นหน้าที่ที่คนทำงานทั้งหลายจะพึงกระทำเป็นลำดับแรก
เมื่อไม่มีความคิดโง่ ๆ กวนใจ เวลาคิดงาน วางแผนอะไรก็ “สบาย...”

ทุกอย่างมันรื่นไปหมด
ไม่มีอะไรมาคอย “กวนประสาท”
ที่จริงไม่มีใครมากวนประสาทเราหรอก ไอ้เรามันเก็บ “ความคิดโง่ ๆ” มาคอยกวนประสาทเราเอง

เมื่อเก็บมาก ๆ ก็เซ็ง เบื่อคิดมาก ๆ ก็เบื่อ เบื่อมาก ๆ ก็กลายเป็นไม่ทำงานไปเลยก็มี

การฝึกจิตให้ว่างจากความคิดเหล่านี้จึงเป็นสิ่งที่สำคัญเป็นลำดับต้นสำหรับการทำงานทั้งหลาย
เมื่อมีอารมณ์โกรธใคร เบื่อใคร เซ็งใคร ก็ขอให้ “แผ่เมตตา” ให้เขามาก ๆ
แผ่เมตตาไปอย่างนั้นแหละ แผ่ไปเรื่อย ๆ
หายใจเข้าให้สบาย หายใจออกให้สบาย
เมื่อใจสบายแล้วก็มาคิดเรื่องงานใหม่ แล้วถ้าความคิดมากวนประสาทอีก ก็ “แผ่เมตตา” อีก ก็หายใจให้ “สบาย” อีก ทำอย่างนี้ไปเรื่อย ๆ

สมอง ความคิด และปัญญา จะเกิดขึ้นไม่ได้เรื่องหากเรายังโกรธ ยังเกลียดคนอื่นอยู่
ต้องกำลังข้าศึกตัวสำคัญที่จะทำลายล้างงานออกเราออกไปให้หมดสิ้น

ยิ้มสู้ให้ได้กับทุกสถานการณ์
ยิ้มมันไปอย่างนั้นแหละ ยิ้มกับอิฐ ยิ้มกับปูน ยิ้มกับคนที่เราคิดว่าเขาเป็น “ศัตรู”
ยิ้มไปเรื่อย ๆ

คนยิ้มทั้งวันนั้นไม่บ้าหรอก แต่คนหน้าบึ้งทั้งวันน่ะสิ “บ้า...”

หายใจให้สบายแล้วก็ “ยิ้ม” กับงานที่ทำเสมอ
หัวสมองของเราจะมีความคิดที่เฉียบคม สติและสมาธิจะดมพลมาช่วยสร้างสมซึ่ง “ปัญญา...”

 

คำสำคัญ (Tags): #r2r#เมตตาบารมี
หมายเลขบันทึก: 302626เขียนเมื่อ 2 ตุลาคม 2009 10:48 น. ()แก้ไขเมื่อ 6 กันยายน 2013 21:39 น. ()สัญญาอนุญาต: ไม่สงวนสิทธิ์ใดๆจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (5)

ยิ้มให้กับทุกสิ่งทุกอย่าง

อืม ทำงานด้วยจิตว่าง จิตที่วางจากความคิดไม่ดี

อืม มันท้าทายนะคะ

กับการที่ต้องทำงานกันคนที่เรา ไม่ชอบหน้า หรือ มีอคติ

เพราะธรรมชาติของจิต

ชอบเสพอารมณ์ไม่พอใจ

เมื่อไหร่ที่เห็นหน้าคน ๆ นั้น ทั้ง ๆ ที่เขาไม่ได้ทำอะไรเลย

 

เราก็พาลเสียงสมาธิ ปัญญาชงัก งานไม่เดินหน้า

เสียเวลามาจัดการ นานสองนาน

โอ ถ้าทำได้....จิตว่างจากความ พอใจ ไม่พอใจ

งานคงบรรลุผลสัมฤทธิ์ได้อย่างรวดเร็วและสมบูรณ์

ยิ้มไปเถอะ ลองยิ้มดู ลองยิ้มแล้วจะสู้ว่าเส้นเอ็นจากปากนั้นสัมพันธ์กับ "หัวสมอง..."

ลองดูนะเวลาทำงาน มีสองอย่างให้เลือกนะ ระหว่าง "ยิ้ม" กับ "ทำคิ้วขมวด" ลองทำดู ลองทำดู

แล้วมาเล่าสู่กันฟังบ้างนะว่า ลองทำดูแล้วเป็นอย่างไร...?

เขามีอคติเรา หรือว่าเราคิดว่าเขามีอคติกับเรา...?

อยากรู้ไหม ลอง "ยิ้ม" ให้เขาดูสิ ถ้าได้ผลอย่างไร ลองมาบอกกันบ้างนะ....

สมองเรามีร้อยส่วน ความพอใจยึดพื้นที่ไปห้าสิบส่วน ความไม่พอใจยึดพื้นที่ไปอีกห้าสิบส่วน แล้วที่นี้เราจะเอาสมองส่วนไหนมาใช้งานเล่า...?

สมองที่เรามาใช้งานอยู่ทุกวันนี้ก็คือ ส่วนที่เมื่อใดเราสามารถลดความไม่พอใจลงได้นิดหนึ่ง ก็มีช่องว่างให้คิดงานออกนิดหนึ่ง หรืออีกในเวลาใด เราสามารถลดความพอใจได้อีกหน่อย เราก็คิดเพิ่มได้อีกนิด

แต่ถ้านาทีหน้า เรากลับพอใจและไม่พอใจอีก แล้วก็คิดไม่ออกอีก

ความพอในและความไม่พอใจ เกิดและดับในจิตใจของเราในวันหนึ่งเป็น "ล้าน ๆ" ครั้ง

ถ้าเราดับมันได้นาน เราก็สามารถเจียดหัวสมองนี้มาทำงานได้นาน

แต่ถ้าเราดับมันไม่ได้ ปล่อยให้มัน "ฟุ้ง" อยู่ร่ำไป แล้วเราจะเอาสมองที่ไหนมาทำงาน...!!!

เฮอะ ๆ จ๋อยเจ้าค่ะ

พอลองยิ้มให้เขา แล้วใจมันก็ไปคาดหวังว่า

เขาจะยิ้มตอบ แต่เขาก็ยิ้มแบบขอไปที

เราเลย มีความคิด ๆๆๆ (มันมาอีกแล้ว เจ้าตัวคิดชั่ว)

เศร้าไปตามระเบียบ

เลยต้องเลี่ยงเข้าห้องน้ำ

หาที่ลี้ภัย หายใจ อะ เอาใหม่

 

นั่น เริ่ม "ฉลาด" อีกแล้ว

ยิ้มแบบขอไปทีเป็นอย่างไงเหรอ...?

ลองถ่ายรูปมาให้ดูหน่อยซิ

"โง่ ๆ" หน่อยก็ได้

ไอ้คนเรานี้นะมันยุ่งเพราะความคิด คิดดีก็ยุ่ง คิดไม่ดีก็ยิ่งยุ่งนะ

เขายิ้มให้เราแล้ว ก็โง่รู้เพียงคำว่า "ยิ้ม" ก็พอแล้ว คำว่า "ขอไปที" เนี่ยแหละคือความคิดที่ "ฉลาด" (เกิน...555)

ไปเข้าห้องน้ำแล้วก็ทิ้งความฉลาดลงคอห่านไปเลย แล้วก็หาสก็อตไบร์ทมาล้วงทำความสะอาดคอห่านให้เอี่ยมด้วย

ทีหลังก็โกรธ หรือโมโหใครอีกก็เข้าห้องน้ำแล้ว "ล้วงคอห่าน" นี่แหละ (สงสัยห้องน้ำที่ทำงานจะเอี่ยมทุกเวลา...)

ยิ้มก็คือยิ้ม ถ้าคนฉลาดก็มียิ้มหลายแบบ แต่คนโง่เขามี "ยิ้ม" แบบเดียวนะ

ยังโง่อยู่หรือเปล่า...?

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท