คุยกับตัวเองเข้าไปแล้วก็ยังทำธุรกิจไม่ได้ซะที


การโต้ตอบกันเองภายในความคิดนั้น ก็ไม่ค่อยแน่ใจนักว่าจะเป็นสิ่งที่ดีหรือเปล่า เพราะบ่อยครั้งก็เหมือนจะไม่ได้ข้อสรุปอะไรเลย และอีกบ่อยครั้งการคุยกับตัวเองก็กลายเป็นการคิดวนๆ เวียนๆ อยู่ในเรื่องเดิมๆ แถมยังหาคำตอบไม่เจอมากขึ้นไปอีก เครียดหนักกว่าการอยู่เฉยๆ เยอะเลย

                ความตั้งใจในเบื้องแรก คิดว่าจะบ่นๆ โทษว่าบรรดาวิทยากรที่ได้เคยถ่ายทอดวิชาการประกอบธุรกิจให้สักหน่อย แต่เมื่อมาอ่านหลายๆ เนื้อหา หลายๆ บทความใน gotoknow แห่งนี้แล้ว ก็ต้องเปลี่ยนใจหันมายอมรับว่า ตัวเองมีความขวนขวายน้อยเกินไป ทำให้จนป่านนี้ยังไม่ได้เริ่มทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันที่พอจะเรียกว่าธุรกิจได้ซะที

                การได้เจอผู้รู้จริง ถือว่าเป็นมงคลข้อแรกตามหลักมงคลสูตรที่ว่า ให้คบบัณฑิต ในเมื่อที่ผ่านมาก็มีวาสนาได้เจอทั้งว่าที่บัณฑิต และทั้งบัณฑิต ก็เลยได้รับความรู้เกี่ยวกับการทำธุรกิจมาหลากหลาย ซึ่งถ้ามองแบบไม่เข้าข้างตัวเองแล้ว ก็ต้องยอมรับอย่างหน้าไม่เรียบ (คือด้านๆ นั่นแหละ) เลยว่า ด้วยความที่อุปนิสัยส่วนตัวไม่ใช่คนขวนขวายอย่างที่บอกไว้ตั้งแต่ต้น จึงทำให้ความรู้ที่ได้รับมามากพอนั้น ไม่ได้รับการขยายผลจนถึงระดับที่เรียกว่า “เข้าใจ”  และป่วยการที่จะกล่าวเลยไปจนถึงขั้นของการ “นำไปใช้” (ก็ว่าตัวเองไว้แค่นี้แล้วกันนิ มากกว่านี้เดี๋ยวโกรธตัวเอง อิอิ)

                เมื่อมาว่าถึงเรื่องการทำธุรกิจ ตามที่พยายามทบทวน ในภายหลังจากที่ได้สำนึก ก็มีแอบไปค้นและคว้ามาเพิ่มเติมอีกนิด เพื่อให้เกิดความมั่นใจมากขึ้นอีกหน่อย (แต่ก็ยังไม่ถึงระดับกล้าที่จะก้าวไปสู่การเป็นเจ้าของธุรกิจสักที) ก็พบว่า ตำราหลายๆ เล่ม ให้คำจำกัดความของการประกอบธุรกิจว่า เป็นการทำกิจกรรมที่ก่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนสินค้าหรือบริการและมีผลตอบแทนกลับคืนมาในรูปของผลกำไร

                จากคำจำกัดความที่ว่า ผู้เขียนก็มานั่งเขียนนึกกระหยิ่มยิ้มย่องในใจว่า มันไม่ยากเลยที่จะทำธุรกิจ แค่ทำกิจกรรมที่ให้เกิดมีการแลกเปลี่ยนขึ้นโดยได้กำไรก็เป็นการทำธุรกิจแล้วนี่นา แล้วอีกความคิดหนึ่งก็ผุดขึ้นมาเหมือนเป็นสมองฝ่ายค้านประจำตัว

                นั่นซิไม่ยาก แต่จะทำกิจกรรมอะไรที่เป็นการแลกเปลี่ยนล่ะ ซื้อมาแล้วเอาไปขายก็ใช่ ทำเองแล้วเอาออกไปขายก็ใช่ มันง่ายซะจนนึกไม่ออกว่าจะเริ่มอย่างไร

                เออนิ! คิดไปคิดมาจากคำจำกัดความง่ายๆ มันชักจะกลายเป็นยากขึ้นไปทุกๆ ที จนไม่รู้ว่าถ้าจะทำธุรกิจต้องเริ่มตั้งต้นจากตรงไหนก่อน

                แล้วก็เกิดอีกความคิดผุดแว่บขึ้นมา.. ก็เริ่มจากการเขียนแผนธุรกิจก่อนซิ   

                ใช่เลย! เราน่าจะเริ่มจากการเขียนแผนธุรกิจก่อนแล้วจะเริ่มเขียนจากตรงไหนล่ะ

                ก็ไปพลิกๆ ดูตำราที่เคยอบรมมา สรุปได้ว่า แผนธุรกิจที่ดีต้องมีที่มาจากวิสัยทัศน์อันชัดเจนของผู้ประกอบการ ก็มานั่งนึก นอนนึก นึกแล้วนึกอีก ว่า วิสัยทัศน์ของตัวเองชัดเจนไหม  ก็นึกไม่ออก เมื่อนึกไม่ออกก็แสดงว่าไม่ชัดเจน  (ฮ่าฮ่า) อ้าว! เมื่อวิสัยทัศน์ไม่ชัดเจนแล้วจะทำธุรกิจอะไรกะเขาได้ล่ะทีนี้

                เป็นอันว่าต้องรอจนวิสัยทัศน์จะชัดเจนก่อน ถึงจะได้เริ่มทำแผนธุรกิจ และต้องทำแผนธุรกิจก่อน ถึงจะได้เริ่มทำธุรกิจ โอย! ขั้นตอนทำไมมันซับซ้อนอย่างนี้หนอ หรือเราชักจะคิดมากไป ลองหันไปมองๆ ดูแม่ค้าส้มตำข้างบ้านซิ ไม่เห็นว่าเขาต้องเขียนแผนธุรกิจเลย แค่เขาอยากขายเขาก็ไปเริ่มหาวัตถุดิบมาทำขายได้แล้ว..

                แล้วก็ถึงกับ ปิ๊ง! ขึ้นมาอีก ใช่แล้ว “อยาก” นั่นไง ต้องมีความอยากที่จะทำก่อนถึงจะมีการทำเกิดขึ้น แล้วความอยากเกิดจากอะไรล่ะ เกิดจากความจำเป็นบางอย่างของแต่ละบุคคลซึ่งไม่เหมือนกัน แม่ค้าส้มตำที่อยากจะขายส้มตำ เพราะถ้าไม่ทำก็อดตายน่ะซิ

                อย่างนี้จะเรียกว่าแม่ค้าส้มตำมีวิสัยทัศน์ได้ไหม มี! เชื่อว่ามีอย่างแน่นอน เพราะแม่ค้ามีความ “อยาก” ซึ่งความอยากนี่แหละการแสดงความต้องการที่จะเป็น ที่จะได้ อะไรสักอย่างในอนาคตที่ยังไม่เกิดขึ้นตอนนี้ (เพราะถ้าเกิดขึ้นแล้วตอนนี้ก็คงหายอยากไปแล้ว) และความอยากแม่ค้าส้มตำในระยะยาวคือ “รวย” ไง ดังนั้น วิสัยทัศน์ของแม่ค้าก็คือการเป็น “คนรวย”

                เอ! “คนรวย” เป็นวิสัยทัศน์ได้ไง มันไม่ใช่ภาพที่ชัดเจนนะ

                แน่นอนแม่ค้าส้มตำอาจจะไม่สามารถอธิบายภาพที่ชัดเจนออกมาได้ แต่ "คนรวย" เป็นสัญลักษณ์แสดงถึงภาพฝันในอนาคตของแม่ค้าส้มตำได้หลายอย่างเลยไม่ใช่หรือ

                ความรวย เป็นสัญลักษณ์ของความอยู่ดีกินดี เช่น อาจจะมีบ้านสักหลัง รถยนต์สักคัน หรือมีคนเรียกว่า คุณแม่ค้าเงินล้าน นั่นก็คือภาพที่ชัดในความคิดของแม่ค้า แต่อาจจะสื่อออกมาได้แค่คำว่า "คนรวย" เท่านั้นเอง

                ย้อนกลับมาที่ตัวเอง เออ! แล้วตัวเราล่ะมีความ "อยาก" อะไร  หรืออยากเป็น "คนรวย" บ้างล่ะ อิอิ

                ถ้ามีความอยากเป็น "คนรวย" ก็ต้องไปขายส้มตำแข่งกะแม่ค้าข้างบ้านน่ะซิ

                ใครทำแบบนั้นก็เจ๊งสิ คนเราถนัดไม่เท่ากัน  จะให้ไปขายส้มตำแข่งกะแม่ค้าข้างบ้าน ฝีมือก็สู้เขาไม่ได้

                 อ้าวไหนบอกว่ามีวิสัยทัศน์แล้วก็เป็นจุดเริ่มของการทำธุรกิจไง

                 วิสัยทัศน์เป็นจุดเริ่มต้นได้ก็จริง แต่ก็ต้องมีความรู้ประกอบด้วยซิ ไม่ใช่ทำไปตามที่อยากโดยไม่ประเมินตัวเองว่าทำได้หรือไม่ได้

                 อ๊ะ อ๊ะ ปิ๊ง! ขึ้นมาอีกแล้ว นี่แสดงว่านอกจากวิสัยทัศน์แล้วก็จะต้องมีความถนัดในสิ่งที่จะทำด้วยล่ะซิเนี่ย ถึงจะทำธุรกิจได้

                 ก็มานึกทบทวนว่าตัวเองถนัดอะไรอยู่เป็นนานสองนาน จนในที่สุดก็ยังไม่ได้คำตอบอยู่เช่นเดิม

                 ทั้งหมดนั่นก็เป็นการโต้ตอบกันเองภายในความนึกคิดในช่วงระหว่างที่ยังพยายามแสวงหาหนทางในการเริ่มทำธุรกิจ การโต้ตอบกันเองภายในความคิดนั้น ก็ไม่ค่อยแน่ใจนักว่าจะเป็นสิ่งที่ดีหรือเปล่า เพราะบ่อยครั้งก็เหมือนจะไม่ได้ข้อสรุปอะไรเลย และอีกบ่อยครั้งการคุยกับตัวเองก็กลายเป็นการคิดวนๆ เวียนๆ อยู่ในเรื่องเดิมๆ แถมยังหาคำตอบไม่เจอมากขึ้นไปอีก เครียดหนักกว่าการอยู่เฉยๆ เยอะเลย (ฮ่าฮ่า)

คำสำคัญ (Tags): #สัพเพเหระ
หมายเลขบันทึก: 297958เขียนเมื่อ 15 กันยายน 2009 20:58 น. ()แก้ไขเมื่อ 6 มิถุนายน 2012 19:43 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท