จากแรงบันดาลใจในรั้วโรงเรียนแพทย์สู่โรงพยาบาลต่างจังหวัด ด้วยความมุ่งมั่นที่เต็มเปี่ยม ที่จะดูแลและช่วยเหลือผู้ป่วยมะเร็งระยะสุดท้าย ดิฉันไม่รีรอเลยเมื่อได้ยินน้องพยาบาลส่งเวรกันว่ามีคุณยายเตียง 10 เป็น CA Gallbladder
ดิฉันได้เข้าไปพูดคุย ดูแล จึงทำให้ทราบถึงวิถีชีวิตบนถนนสายสุขภาพของคุณยาย พบว่าต้องเผชิญกับความเจ็บปวดทนทุกข์ทรมาน ทั้งกายและใจ ไม่แตกต่างกับลูกชายที่ต้องวนเวียนเฝ้าไข้และต้องเผชิญกับความเครียดสะสมเช่นกัน ลูกชายเล่าให้ฟังว่าตนจะออกไปทำสวนได้ครั้งละไม่เกิน 20 นาที มิเช่นนั้นคุณยายจะมีอาการกำเริบ คือ อาการปวดท้องและอาการทางจิตเวช คือจะมีอาการเกร็ง มือสั่น เอะอะโวยวาย เคี้ยวปากตลอดเวลา ด้วยเหตุนี้เองจึงขอย้ายการรักษาจากโรงพยาบาลชุมชนมาโรงพยาบาลสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ซึ่งการรักษาที่ได้คือยาระงับอาการต่างๆ แต่ก็ไม่ได้ทำให้อาการคุณยายสงบลง
ในเช้าวันเดียวกันนั้นเอง แพทย์ต้องการให้ผู้ป่วยกลับไปรักษาต่อที่โรงพยาบาลชุมชนด้วยยาชุดเดิม ความรู้สึกของดิฉันตอนนั้นบอกเลยว่า...ไม่นะ...คุณยายยังกลับไม่ได้ เพราะจิตใจใต้สำนึกของดิฉันบอกว่ามันน่าจะมีอะไรมากกว่านั้น ที่ทำให้คุณยายมีอาการเช่นนี้ จึงได้ปรึกษากับแพทย์เจ้าของไข้ถึงประวัติเดิมของคุณยาย ว่าเคยรับการผ่าตัดโดยทีมศัลยกรรมที่โรงพยาบาลเรา แล้วส่งตัวคุณยายไปรับยาเคมีบำบัดที่โรงพยาบาลระดับตติยภูมิในต่างจังหวัด แต่คุณยายก็ไปไม่ถึงดวงดาว คือได้รับยาไม่ครบเนื่องจากปัญหาทางเศรษฐกิจ อาการแทรกซ้อนจากยาเคมีบำบัด จึงเป็นเหตุให้ขาดการรักษาต่อเนื่องไป
จากนั้นแพทย์ไม่รีรอเลยที่จะเขียนใบขอคำปรึกษาไปยังแผนกศัลยกรรมและนั่นก็ทำให้ ดิฉันได้พบกับความประหลาดใจอีกครั้งเมื่อคุณยายลุกขึ้นมานั่งเอะอะโวยวาย ตะโกนเสียงดัง ซึ่งขณะนั้นลูกชายคุณยายไม่ได้อยู่ด้วย แต่ด้วยสัญชาตญาณ ดิฉันจึงเข้าไปพูดคุยกับคุณยายและเห็นว่าน่าจะช่วยให้ใจคลายจากความทรมานทางกายได้บ้างคือการภาวนาเจริญสติ จึงได้แนะนำคุณยายให้ลองปฏิบัติตาม ไม่น่าเชื่อเลย ปรากฏว่าอาการคุณยายสงบลงได้โดยไม่ต้องใช้ยาใด ๆ เหตุการณ์นี้ทำให้ดิฉันได้สติว่า สิ่งที่ทำได้มากกว่าการช่วยบรรเทาอาการ และสามารถทำได้เสมอ นั่นคือ การให้ความรัก การดูแลเอาใจใส่และความห่วงใย
สำหรับการวางแผนการจำหน่ายนั้นดิฉันได้พูดคุยและวางแผนร่วมกับลูก ๆของคุณยาย ถึงวิธีการจัดการอาการรบกวนต่าง ๆที่เกิดขึ้น โดยติดต่อเจ้าหน้าที่แพทย์แผนไทยมาให้ความรู้เรื่อง การนวดกดจุดบรรเทาอาการปวด เพื่อที่จะได้มีอาวุธในการจัดการกับความปวด สำหรับเรื่องของการให้ยาที่ยังไม่ตอบสนองต่อความต้องการของคุณยายนั้น ดิฉันได้จัดทำสมุดบันทึกความปวด ให้กับลูกชายคุณยายเพื่อลงบันทึกเพื่อจะได้มองเห็นในภาพรวมว่าวิธีไหนที่ทำแล้วช่วยบรรเทาได้มาก และใช้เพื่อให้แพทย์ทราบถึงระดับความเจ็บปวด ใช้เป็นแนวทางในการให้ยาแก้ปวด รวมถึงได้เห็นศักยภาพของลูกชายในการดูแลคุณยาย
หลังจากที่คุณยายกลับบ้าน ดิฉันได้มีระบบการติดตามโดย Home Call และรับปรึกษา 24 ชม. มีการส่งข้อมูลกลับโดยเขียนตอบใบ refer ส่งใบ HHC ไปยังสถานีอนามัย และที่สำคัญ ดิฉันได้ติดตามไปเยี่ยมที่บ้าน อำเภอสามเงา ทำให้ได้เรียนรู้ถึงวิถีชีวิต วิถีชุมชน สถานภาพและแรงสนับสนุนทางสังคมของผู้ป่วย ทำให้ดิฉันได้เข้าใจชีวิตของผู้ป่วยมากขึ้น ที่สำคัญได้เรียนรู้ความกตัญญูกตเวที ของลูกชายคนหนึ่งที่ดูแลบุพการีโดยไม่ย่อท้อต่ออุปสรรคทั้งปวง ภาพที่ปรากฏเป็นความน่าประทับใจอย่างที่สุด ถือได้ว่าแต่ละฝ่ายต่างก็มีส่วนช่วยเติมเต็มซึ่งกันและกัน จะเห็นได้ว่า ณ เวลาหนึ่ง สถานที่แห่งหนึ่งจะมีบุคคลหนึ่งที่เหมาะสมต่อการดูแล ซึ่งอาจจะไม่ใช่แพทย์ หรือ พยาบาลก็ได้ ถือได้ว่าเป็นความงดงามที่เราอาจนึกไม่ถึงที่เราเคยคิดว่าเป็นแค่ความรู้สึกที่จับต้องไม่ได้นี่คงเป็นคำตอบสุดท้ายที่สามารถตอบโจทย์เชิงนามธรรมที่ไม่สามารถจับต้องได้
จะเห็นได้ว่าการบำบัดอาการเจ็บป่วย ทางกายของผู้ป่วยมะเร็งระยะสุดท้าย อาจไม่สำคัญเท่าการใช้ใจรักษาใจ เพื่อสร้างสุขให้คนไข้ก่อนถึงวาระสุดท้ายของชีวิต แต่จุดสำคัญในการดูแลผู้ป่วยมะเร็งระยะสุดท้าย จึงอยู่ที่การทำความเข้าใจและเอาชนะความรู้สึกอึดอัดใจของตนเอง โดยมองให้เห็นถึงสิ่งที่เราจะสามารถช่วยเหลือผู้ป่วยมะเร็งระยะสุดท้าย และครอบครัวได้ โดยการให้ความรัก การดูแลเอาใจใส่ และความห่วงใย
..........................................................................................................
ผู้บันทึก : ฐิติพร จตุพรพิพัฒน์ หอผู้ป่วยอายุรกรรมหญิง
แวะเข้ามาเยี่ยมครับ
ดูแลตัวเองมั้งนะ อินกะเค้าแบบพอเพียง ถึงจะดี