ยุคทมิฬ ถิ่นกาขาว ชาวศิวิไลย์


พุทธทำนาย ทำนายเหตุการณ์ล่วงหน้า บทเรียนของคนจบ ป.4 จิตวิญาณของคนในสังคม

เมื่อวันที่ 3 กันยายน ก่อนวันรับตายาย (วันแรม 1 ค่ำ เดือน 10) 2 วัน มีญาติท่านหนึ่ง ถือซองกระดาษสีชมพูซองใหญ่ มาให้ ผมนั่งอยู่หน้าบ้านพอดี เมื่อท่านเดินตรงเข้ามา ผมถามไปตรงๆว่า มาบอกงานหรือ  ท่านมองผมแล้วยิ้มแหยๆ ผมนึกเดาเอาเองว่า คงจะรู้สึกเกรงใจเป็นธรรมดา เพราะกลัวว่าจะถูกมองในแง่ลบ คือไปรบกวนให้ผู้อื่นต้องเสียเงิน เมื่อผมหยิบซองมาเปิดดู ภายในซองเป็นหนังสือเล่มบางๆ นำเอากระดาษที่ถ่ายเอกสารมาเย็บเป็นรูปเล่ม หน้าปกเขียนว่า หนังสือพุทธทำนาย ข้อความจากปู่ฤษีมณีรัตน์ (สมเด็จรุ่ง)

           เรื่องของวันสิ้นโลก วันโลกแตก เรื่องพุทธทำนาย ได้เคยอ่านมาบ้าง มองได้หลายแง่หลายมุม ถ้ามองถึงคนที่ทำนายเหตุการณ์ล่วงหน้าได้ระยะยาวเช่นนอสตราดามุส ก็ถือว่าเป็นคนที่มีญาณวิเศษ ที่น้อยคนนักจะมี   ถ้ามองในแง่ของพุทธทำนาย ก็เป็นการทำนายของผู้รู้  อย่างไรก็แล้วแต่ทุกคำทำนายล้วนมีเหตุผลในตัวเอง  แต่การนำเสนอคำทำนายต่างๆ  เป็นการนำข้อมูลมาพรรณาได้อย่างสอดคล้อง  ซึ่งทำให้ผู้อ่านสามารถคล้อยตามได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะท่านที่นำหนังสือพุทธทำนายมาให้ผมได้อ่านก็ถือว่าท่านมีความรู้สึกที่ดีต่อผม เพราะไม่เพียงได้อ่านสิ่งที่ท่านได้นำมาให้เท่านั้นแต่ยังเกิดความรู้สึกว่า ในวันนี้คนที่มีสัมมาชีพ ดำรงชีวิตอยู่ในเรือกสวนไร่นา ที่เขาไม่ได้ฝักใฝ่ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด เขามีความวิตกกังวลกับเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้น ไม่น้อยกว่าใคร อย่างน้อยในหนังสือบอกให้คนคิดเรื่องความดี เข้าวัดเข้าวา สวดมนต์ไหว้พระ ทำจิตใจให้ผ่องใส สิ่งเหล่านั้นต่างหากที่มีคุณค่าอย่างแท้จริง  ส่วนเนื้อหาของพุทธทำนายเมื่ออ่านแล้วอย่างน้อยก็ทำให้เรารู้จักการคิดการวิเคราะห์  โดยเฉพาะวิธีวิเคราะห์การเกิดโรคทางระบาดวิทยา    และยังทำให้เรารู้ว่าการพรรณาสิ่งที่ผ่านมาสิ่งที่เคยรับรู้และเคยพบเห็น  สามารถเป็นบทเรียนของคนจบ ป.4  ได้เป็นอย่างดี   เพียงแต่ให้เขาเข้าใจว่าอะไรคือประเด็นสำคัญ    เมื่อคิดคำนึงถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในแต่ละห้วงเวลา  แล้วมีประเด็นอะไรบ้างที่เป็นผลให้เกิดความทุกข์    เมื่อนำมาประกอบกับเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นอยู่   อย่างน้อยก็สามารถมองไปข้างหน้า ว่าเราจะต้องใช้ชีวิตอย่างใรจึงจะอยู่อย่างมีความสุข  ทั้งตนเอง  ครอบครัว และการอยู่ในสังคมโดยรวม         

        ผมจะไม่ย้อนหลังคำทำนายตั้งแต่ตอนต้น   แต่ขอเริ่มที่คำว่า ยุคทมิฬ ซึ่งเป็นยุคแห่งความรันทดหดหู่ความอำมหิตที่มีการลอบปลงพระชนม์พระเจ้าแผ่นดิน และหลังจากนั้นก็ยังคงทมิฬมาตลอด  ไม่ว่าจะเป็น เหตุการณ์เมื่อวันที่ 14 ตุลาคม 2516 และ เมื่อปี พ.ศ. 2519     การแบ่งแยกทางสังคมในช่วงที่ผ่านมา เป็นการแบ่งแยกทางชนชั้น แต่เมื่อหลังปี 2530  กาขาวก็เริ่มโบยบินเข้ามาหาถิ่นที่อยู่ คนพื้นบ้านพื้นถิ่นเริ่มคุยกันถึงเรื่องการขายที่ดิน  เรื่องความร่ำรวย   เรื่องธุรกิจต่างชาติเข้ามาเป็นนายทุน ทำมาหากินกันสนุกสนาน   ชาวต่างชาติเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวมากมาย  และท้ายที่สุดการผนวกเชื้อชาติไทยกับต่างชาติด้วยการสมสู่อยู่กิน และแต่งงานกัน   ชนิดเรียกว่าแทบทุกตำบลในวันนี้ต้องมีลูกหลานลูกครึ่ง   การสร้างสีสรรให้เกิดค่านิยมต่างชาติ ทำให้ค่านิยมเหล่านั้นแทรกเข้าสู่จิตวิญญานของคนในสังคมอย่างไม่ทันตั้งตัว และไม่ให้โอกาสคิดว่างั้นเถอะ การนำเม็ดเงินมาให้คนในชาติไทยถลุงเล่นกันอย่างสนุกสนาน จนกระทั่งต้องพบกับบทเรียนที่หนึ่ง ฟองสบู่แตกเมื่อ ปี 2540 ทำให้หลายคนรู้เรื่องราวต่างๆดีขึ้น  และการที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มีพระราชดำริเรื่องเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้เป็นแนวทางในการพัฒนาประเทศ ก็ได้รับการตอบสนองเป็นอย่างดี

             แต่การแตกขั้วทางความคิดเริ่มเกิดขึ้นจากคนสองขั้ว ขั้วแรกเป็นแนวคิดธุรกิจนิยมที่เน้นทฤษฎีแห่งความมั่งคั่ง บนฐานของเทคโนโลยี ที่ต้องการให้เงินตราไหลมาเทมาเข้าสู่ประเทศไทยอย่างรวดเร็ว อีกขั้วหนึ่งเป็นขั้วที่เก็บความรู้สึกจากบทเรียน ที่ได้รับที่ผ่านมา  โดยเฉพาะวิถีชีวิตวัฒนธรรมของคนในชาติที่ถูกเทคโนโลยีทันสมัยทำร้าย และทำลายลงอย่างรวดเร็วและไม่รู้ตัวทั้งนี้เพราะมีความบกพร่องต่อภูมิต้านทาน  การล่วงละเมิดทางเพศต่อเด็กและสตรี ความรู้สึกอิสระเสรีของเยาวชนในเรื่องทางเพศ การแพร่ระบาดของยาเสพติดโดยไม่มีความเกรงกลัวตัวบทกฏหมาย  คนส่วนใหญ่ขาดความเข้าใจเรื่องศีลธรรมอันดีงาม จึงเกิดการทำร้ายกันด้วยวิธีโหดเหี้ยมผิดมนุษย์

             ในที่สุดความคิดของคนสองขั้วได้แตกหักลง และสุดท้ายมีความชัดเจนโดยใช้สีเป็นตัวบ่งชี้  คือสีเหลืองกับสีแดง

              เมื่อถูกถามว่ากาขาวคืออะไร  หลายท่านอาจจะบอกว่าเป็นผู้มีธรรมะ เป็นปูชณียบุคคล เป็นพระอรหันต์ เป็นญาณภัทร ก็ใช่  แต่ถ้าเรามองเพียงด้านเดียวก็คงจะไม่ใช่การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงพรรณา   ถ้าจะถามว่าในวันนี้ธุรกิจในบ้านเมืองของเราถูกต่างชาติที่เป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ผลิตภัณฑ์ ครอบงำเอาไว้แทบทุกอย่าง มากน้อยเพียงใด  เงินที่ไหลออกจากกระเป๋าคนไทยในแต่ละวัน ไหลไปสู่ต่างชาติวันละเท่าไรและอยู่ในเมืองไทยเท่าไร และสิ่งที่เห็นได้ชัดเจนคือหนี้สินของพลเมืองรายครอบครัว เป็นตัวบ่งบอกถึงสภาพความเป็นจริงของคนในชาติ  ทั้งที่ประเทศไทยถือว่าเป็นประเทศที่มั่งคั่งมากมายไปด้วยทรัพยากร ไม่น้อยหน้าประเทศใดในโลก 

              และขณะเดียวกันในวันนี้ประเทศของเรามีพระเจ้าแผ่นดินที่ทรงทศพิธราชธรรม เรามีบุคคลที่มีคุณค่ามากมายหลายท่านที่ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดมุ่งหาวิธีการสุ่งเสริมแก้ปัญหาต่างๆกันอย่างไม่หยุดนิ่ง เรามีพระที่เป็นอริยสงฆ์หลายองค์ที่เป็นที่พึ่งพิงพักใจ

               แนวคิดของกลุ่มคนทั้งสองสีดีไปคนละด้าน  หากนำคำว่าพอเพียงมาผสมคลุกเคล้าให้ความคิดเข้ากันได้  ก็จะกลายเป็นสีแสด สีแห่งความสดใส และคำว่าชาวศิวิไลย์ คือสิ่งที่ทำนายอนาคตไว้ก็จะเกิดขึ้น หลายๆคำทำนายที่เคยได้อ่านเขาเขียนเอาไว้ว่าเมื่อเข้าสู่ยุคศิวิไลย์ ประเทศไทยจะเป็นประเทศที่ยิ่งใหญ่และมั่งคั่งในโลก ก็เป็นการคิดที่มีเหตุผลและเป็นไปได้ถ้าทุกคนเข้าใจคำว่าเศรษฐกิจพอเพียงเป็นอย่างดีและร่วมกันปฏิบัตินำพาประเทศชาติไปสู่จุดหมายอันนั้น

               และกาขาวก็คือกลุ่มคนที่มีความคิดดี สร้างสรรค์ในสิ่งดีๆ  ช่วยกันนำพาชาติบ้านเมืองไปสู่ความสุขตามที่มุ่งมาดปราถนาสู่ยุคศรีอาริยเมตไตร   

              

หมายเลขบันทึก: 296910เขียนเมื่อ 12 กันยายน 2009 19:29 น. ()แก้ไขเมื่อ 17 มิถุนายน 2012 19:22 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (4)

ขอให้เป็นจริงตามคำทำนายเถอะคะ แสดงว่าสถานการณ์ต่างๆ กำลังคลี่คลายแล้ว ธรรมย่อมชนะอธรรม แล้วเหล่ากาขาวก็จะช่วยกันตัดสินใจอนาคตบ้านเมือง ชาติไทยจงเจริญ ไชโย..

ช่วงนี้ปิดภาคเรียน ดิฉันติดตามข่าวการเมืองทุกวัน ชนิดเปิดทีวีเกือบตลอดวันเลย และค้นหาคำทำนายดวงเมืองประกอบด้วย มีนักการเมือง นักวิชาการ ผู้สื่อข่าว และอื่นๆ มากมายวิเคราะห์สถานการณ์กันวันต่อวัน ฟังแล้วก็ไม่ทำให้สบายใจได้มากนัก แต่วันนี้เป็นวันที่สบายใจที่สุด เมื่ออ่านเจอคำทำนาย 10 ยุค ที่สำคัญที่สุดได้ค้นหาความหมายของยุค "กาขาว" "ชาวศิวิไลย์" อ่านแล้วดีใจสุดๆ เลยคะ ตั้งแต่นี้ไปจะไม่กังวลอีกว่าจะสลาย หรือไม่สลายการชุมนุม ไม่ใช่ประเด็นสำคัญอีกต่อไป เพราะประเทศไทยจะก้าวต่อไปได้อย่างดี "HAPPY ENDING"

เดิมๆ คือ เป็น

ถิ่นตาขาว

= ปอดแหก=ใจไม่กล้า=กลัวเจ็บกลัวตาย

แต่ มาร เขามาแปลงเป็นกาขาวเพื่อประโยชน์ของมาร คือ ผูกสรรพสัตว์ ตรึงสรรพสัตว์ไว้ ให้แน่น ให้มั่นคง

**แต่หมอดู จะดูคนผู้มีบุญมาก มีกุศลมาก ดูไม่ได้ ดูไม่ถูก ดูไม่ตรง ดูไม่แม่น

ก้อ คนไทย ทำบุญกัน สารพัด สารพัน มากมาย หลายหลาก ในการทำกุศลผลบุญ

กาขาวคือผิดธรรมชาติค่ะ เพราะกาจริงๆมีสีดำ

หมายถึง คนเห็นดีเห็นงามกับสิ่งผิดค่ะ คิดว่าดี

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท