คนโง่ คนฉลาด คนเจ้าปัญญา


คนโง่ คนฉลาด คนเจ้าปัญญา

คนโง่  คนฉลาด  คนเจ้าปัญญา

ว่าด้วยคุณค่าแห่งธุรกิจ

คนโง่ ทำงาน เอาธุรกิจเป็นสรณะ เมื่อธุรกิจรุ่งเรืองก็รุ่งเรืองกับธุรกิจ เมื่อธุรกิจร่วงก็ร่วงหล่นกับธุรกิจ เมื่อธุรกิจสลายก็ตายไปกับธุรกิจ

คนฉลาด เอาธุรกิจเป็นพาหะ เมื่อธุรกิจดีก็ขึ้นขับขี่ขับไป เมื่อธุรกิจเสียหายก็ซ่อมแซม เมื่อธุรกิจพังทลายก็เปลี่ยนธุกิจใหม่ ขับขี่ ซ่อมแซม และเปลี่ยนธุรกิจเรื่อยไป

คนเจ้าปัญญา เอาธุรกิจเป็นธารณะ จัดระบบเกื้อกูลมหาชน เมื่อเกื้อกูลแล้วก็เก็บเกี่ยวเพื่อการพัฒนาที่ยิ่งใหญ่ เมื่อโลกเปลี่ยนความต้องการก็เปลี่ยนการเกื้อกูล เมื่อโลกหยุดต้องการก็หยุดเกื้อกูล แต่เนื่องจากโลกไม่เคยสิ้นสุดในความต้องการเขาจึงมีงานธุรกิจเสมอตราบที่เขาประสงค์เกื้อกูล


ว่าด้วยการบริหารธุรกิจ

คนโง่ ทำงาน ทำธุรกิจด้วยความอยากได้ ผู้คนจึงหวาดระแวงและถอยหนี

คนฉลาด ทำธุรกิจด้วยความอยากแลกเปลี่ยนผู้คนจึงพิจารณาและคบหาตราบที่ยังได้ประโยชน์

คนเจ้าปัญญา ทำธุรกิจด้วยความอยากให้ ผู้คนจึงต้อนรับด้วยความยินดีแม้จะต้องให้อะไรตอบบ้างก็ตาม

ว่าด้วยการบริหารระเบียบ

คนโง่ ทำงานเพื่อความถูกต้องตามอักขระ จึงเป็นได้แค่เสมียน

คนฉลาด ทำงานเพื่อความถูกต้องตามเจตนารมณ์จึงได้เป็นผู้บริหาร

คนเจ้าปัญญา ทำงานเพื่อความถูกต้องต่อผลสูงสุด จึงได้เป็นเจ้าของ

ว่าด้วยการทำงาน

คนโง่ ทำงานเพื่อเงิน จึงได้เงินมาอย่างยากเย็น และมักไม่ได้คุณค่าอื่น ๆ ของงาน

คนฉลาด ทำงานเพื่องาน จึงได้ผลงานที่ยิ่งใหญ่ และได้เงินตามมาโดยง่าย

คนเจ้าปัญญา ทำงานเพื่อหยิบยื่นคุณค่าแก่สังคม เขาจึงได้ผลงานที่น่าชื่นชม เงิน ชื่อเสียงและมิตรมหาศาลย่อมตามมาเสมอ

ว่าด้วยการกล่าวหา

คนโง่ มักกล่าวหาผู้อื่น จึงมีแต่ศัตรูรอบตัว นำมาซึ่งความหายนะและความตาย

คนฉลาด ชอบกล่าวหาตัวเอง จึงได้รับความสงสารไปทั่ว และนำมาซึ่งความสมเพช

คนเจ้าปัญญา ไม่กล่าวหาใคร ด้วยแท้จริงไม่มีใครอยากผิด แต่พลาดไปเพราะไม่เห็นความผิด หรือเห็นแต่ไม่มีโอกาสเลือกสิ่งที่ถูก หรือมีโอกาสแต่ไม่มีกำลังพอที่จะตัดสินใจเลือก เขาจึงให้กำลังใจทุกคนสู่ความแกล้วกล้า ทุกคนจึงเป็นหนี้บุญคุณเขา และยอมรับเขาดั่งมิตรผู้ประเสริฐ

ว่าด้วยการวิพากษ์วิจารณ์

คนโง่ มัววิพากษ์วิจารณ์นินทาคนอื่น เพราะไม่จริงใจกับใคร จึงไม่มีใครจริงใจด้วย เขาย่อมมีแต่มิตรเทียม

คนฉลาด มัววิพากษ์วิจารณ์ตนอย่างที่เป็น โดยไม่เห็นการเปลี่ยนแปลงของตนที่ต้องเป็นไป คนอื่นจึงมักไม่เข้าใจเขาที่แปรเปลี่ยนไปเสมอ และไม่มีคนเข้าใจจริงเคียงข้างเขา

คนเจ้าปัญญา ย่อมไม่วิพากษ์วิจารณ์ใคร ด้วยแจ่มแจ้งว่าทุกคนก็เปลี่ยนไป เขาย่อมเลี่ยงคนที่ชอบวิจารณ์ตนและคนอื่น ทุกคนจึงสบายใจที่จะอยู่ใกล้เขา เขาย่อมมีมิตรแท้และมั่นคง

ว่าด้วยผู้พูด

คนโง่ ชอบให้อารมณ์พูด จึงผิดพลาดมาก ล้มเหลวบ่อย

คนฉลาด ชอบใช้เหตุผลพูด จึงถูกต้องมากแต่มักไร้ความรู้สึก และประสบแต่ความสำเร็จอันแห้งแล้ง

คนเจ้าปัญญา ชอบใช้ธรรมะพูด จึงบริสุทธิ์เหนือถูกเหนือผิด และเป็นหนึ่งเดียวกับความสำเร็จโดยธรรม

ว่าด้วยการพูดจา

คนโง่ ชอบเถียง เขาจึงได้การทะเลาะและความบาดหมางแทนความรู้

คนฉลาด ชอบถาม เขาจึงได้ความรู้และมิตรภาพมากกว่าความแตกแยก

คนเจ้าปัญญา ชอบเฉยสังเกตลึก เข้าใจสิ่งต่าง ๆ อย่างลึกซึ้ง แล้วจึงนำเสนออย่างเหมาะสม

ว่าด้วยความโง่และความฉลาด

คนโง่ ชอบคิดว่าตนฉลาดแล้ว จึงดักดานอยู่กับความโง่ของของตนตามที่เป็น

คนฉลาด ชอบคิดว่าตนโง่ จึงชอบแกล้งโง่ และมักโง่ได้สมปรารถนาในที่สุด

คนเจ้าปัญญา ย่อมเห็นความโง่และความฉลาดที่ซ้อนกันอยู่ และรู้วิธีที่จะยกจิตสู่ปัญญายิ่ง ๆ ขึ้นไป จึงค่อย ๆ หายโง่ และเลิกฉลาดโดยลำดับ

ว่าด้วยการบริหารกระบวนการคิด

คนโง่ ชอบไหลตามความคิด จึงมีภารกิจที่ไม่รู้ตัวอย่างไม่สิ้นสุด

คนฉลาด ชอบสร้างความคิด จึงมีจินตนาการอันสวยหรูแต่ไม่เป็นจริงอย่างไม่สิ้นสุด

คนเจ้าปัญญา ชอบบริหารความคิด สร้างสรรค์ ตกแต่ง ตัดต่อ และละวางเมื่อสมควร จึงได้ประโยชน์จากความคิดสูงสุด

ว่าด้วยความคิด

คนโง่ ทำก่อนแล้วถึงคิด จึงผิดพลาดอยู่เนือง ๆ ต้องเปลืองเวลาและความรู้สึกตามแก้ปัญหาไม่สิ้นสุด

คนฉลาด คิดมากก่อนแล้วถึงทำ จึงเพ้อเจ้ออยู่เป็นประจำ แม้ประสงค์จะทำดีมากแต่ทำได้น้อง เพราะเขม่าความคิดปิดกั้นความหาญกล้า

คนเจ้าปัญญา คิดไปทำไป จึงทำได้อย่างที่คิด และคิดพอดีที่ทำ ประหยัดพลังงานและบริหารเวลาได้เหมาะสม ลดความหลอนป้องกันความผิดพลาดขื่นขมและประสบความสำเร็จโดยไม่เหน็ดเหนื่อย

ว่าด้วยการรู้จักแจ้งตนเอง

คนโง่ อยู่กับตนก็ไม่รู้จักตน จึงกลัวตนไปต่าง ๆ นานา

คนฉลาด อยู่กับตนและรู้จักตนดี แต่ไม่รู้สิ่งที่ดีกว่าตน

คนเจ้าปัญญา ย่อมรู้จักตนดีที่สุดจนทะลุความไม่มีตน จึงบริหารตนได้เสมือนสร้างสรรค์ฟองสบู่ ใช้ประโยชน์จนสุดกู่แล้วก็สลายมลายวับไป

ว่าด้วยการบริหารเป้าหมาย

คนโง่ มักใช้ชีวิตอย่างไร้เป้าหมาย จึงว่ายไปแล้ววนกลับมาที่เดิม ต้องเริ่มต้นใหม่ร่ำไปสู่อนาคตที่ไร้ทิศทาง

คนฉลาด มักตั้งเป้าหมายชีวิตยิ่งใหญ่ จึงไม่พึงพอใจกับภาวะที่ตนเป็นสักที เพราะดูที่ไรก็ยังห่างไกลเป้าหมายเสมอ

คนเจ้าปัญญา ย่อมมีเป้าหมายสูงสุดแห่งชีวิต และมีเป้าหมายน้อยนิดสานสู่เป้าหมายใหญ่ จึงมีบันไดความสำเร็จให้บรรลุเป้าเป็นลำดับ ได้กำลังใจและหรรษาไปตลอดหนทาง

อย่ามัวโง่ งมงาย จงขวนขวายพัฒนา และอย่าฉลาดอย่างขาดปัญญา จงเป็นมนุษย์เลิศปัญญายิ่งๆขึ้นไป ที่สำคัญแท้จริง จงมีปัญญาจริงแท้ในจิตใจให้ได้ก่อนอื่น


ว่าด้วยทัศนคติ

คนโง่ ดูหมิ่นความดี มองโลกในแง่ร้ายด้านเดียว จึงได้รับแต่สิ่งชั่วร้ายมาพาชีวิตตกต่ำ กลายเป็นทาสสถานการณ์ ยามพบสิ่งดีจะไม่เข้าใจ จึงพลาดโอกาสใหญ่

คนฉลาด ชอบทำดีและคิดดี มักมองโลกในแง่ดีด้านเดียว จึงได้รับแต่สิ่งดีโดยมาก ครั้งพบสิ่งชั่วร้ายจะทนไม่ได้ ทำใจไม่เป็น ต้องถอยหนีสถานการณ์ ดวงใจแตกร้าว ชีวิตจึงมีแต่ความระคายเคืองและปฏิฆะเร้นลึก

คนเจ้าปัญญา ละชั่วเด็ดขาด และทำดีเป็นนิสัย โดยไม่ติดดี แล้วละแม้ความดีเข้าสู่ความบริสุทธิ์ จึงเห็น ที่สุดแห่งความเป็นจริงแท้แห่งโลกว่า ทุกสิ่งในโลกมีทั้งคุณ โทษ และ ความเป็นกลางอยู่ จึงบริหารสถานการณ์ได้ และทำใจได้ในทุกภาวการณ์


ว่าด้วยความยิ่งใหญ่

คนโง่ เห็นว่าตนยิ่งใหญ่ จึงจมอยู่ในตัวตนอันกระจ้อยร่อย ท่ามกลางเอกภพอันไร้ขอบเขต

คนฉลาด เห็นว่าธรรมชาติยิ่งใหญ่ หวาดกลัวและเทิดทูนธรรมชาติ ส่วนใดที่ตนเข้าไม่ถึงจึงโยนไว้ในอุ้งหัตถ์ของภูติผี และ พระเจ้า

คนเจ้าปัญญา เห็นว่าความบริสุทธิ์ยิ่งใหญ่ เพราะตน ธรรมชาติ และ วิญญาณทั้งหลาย ล้วนมีเป้าหมายสูงสุดที่ความบริสุทธิ์


ว่าด้วยการสร้างความมั่งคั่งร่ำรวย

คนโง่ ชอบรวยทางลัด จึงจนอย่างรวบรัดเช่นกัน

คนฉลาด ชอบรวยเชิงระบบ ต้องอิงอาศัยระบบจึงจะรวย เมื่อระบบล่มก็ต้องล้มไปด้วย

คนเจ้าปัญญา ชอบรวยด้วยความยินดี จึงรวยในทุกระดับที่มี ได้ดูดซับคุณค่าของสิ่งที่มีอย่างแท้จริง รวย และ เป็นสุขเสมอ


ว่าด้วยวิถีการดำเนินชีวิต

คนโง่ มักโกงเขากิน กรรมจึงกระหน่ำให้เสียทรัพย์ ยากจนอยู่ร่ำไป ช้ำมีศัตรูคอยกัดกร่อนตลอดเวลา

คนฉลาด แข่งขันแย่งกันกินอย่างถูกกฎหมาย จึงยุ่งยาก และพลาดไม่ได้ เพราะมีคู่แข่งพร้อมย่ำเหยียบเสมอ

คนเจ้าปัญญา แบ่งปันกันกินตามความพอดี จึงมีคนช่วยสร้าง ช่วยรักษา และช่วยเสพ และ มีมิตรร่วมทุกข์ร่วมสุขโดยมาก


ว่าด้วยการบริหารทรัพย์

คนโง่ บริโภคความมีทรัพย์ นั่งนับอย่างเป็นสุขกับการได้มี

คนฉลาด บริโภคอำนาจของทรัพย์ เป็นสุขกับการที่ได้จับจ่ายใช้สอย

คนเจ้าปัญญา บริโภคคุณค่าของทรัพย์ เป็นสุขกับการสร้าง รักษา สละ และ พัฒนาค่าของทรัพย์เป็นคุณสมบัติอื่นที่ยิ่งกว่า


ว่าด้วยคุณค่า


คนโง่ ยึดความชอบ หรือ ความไม่ชอบ เป็นสำคัญ เขาจึงได้รับความสุข และ ความทุกข์อันบีบคั้น เป็นของตอบแทน

คนฉลาด ยึดความถูก และ ความผิด เป็นสำคัญ เขาจึงได้รับศัตรูต่างความคิดเห็นเป็นรางวัล

คนเจ้าปัญญา ยึดประโยชน์สุขสำหรับทุกฝ่ายในทุกกาลเวลาเป็นสำคัญ เขาจึงได้รับศรัทธา และ มหามิตรเป็นกำนัล

ว่าด้วยพฤติกรรม

คนโง่ ชอบเรียกร้อง เขาจึงเป็นที่น่าเบื่อหน่าย และ น่าสมเพชสำหรับคนทั้งหลาย

คนฉลาด ชอบต่อรอง เขาจึงเป็นที่ระแวง ระวังสำหรับคนทั้งหลาย คบหากันอย่างไม่จริงใจ

คนเจ้าปัญญา อาสา สละ เขาจึงเอาชนะใจคนทั้งหลาย และได้รับความรัก ความนับถือเป็นผลตอบแทน

ว่าด้วยการอวดตน

คนโง่ ชอบอวดตัว เขาจึงได้รับความหมั่นไส้ การต่อต้าน และ ความเจ็บปวดเป็นรางวัล

คนฉลาด ชอบถ่อมตัว เขาจึงได้รับความเห็นใจ การดูหมิ่น และการช่วยเหลือเป็นรางวัล

คนเจ้าปัญญา ย่อมมั่นใจตนแต่ไม่นิยมแสดงตัว ไม่ยกตน และ ไม่ถ่อมตัว แต่บริหารสัมพันธภาพเพียงเพื่อผลวางตน และ สำแดงบทบาทตามหน้าที่ เขาจึงได้รับความเคารพ และ ความเชื่อถือเป็นรางวัล

ว่าด้วยความเก่งกาจ

คนโง่ มัวอวดเก่ง จึงไม่มีใครเติมความเก่งให้กับเขาอีก

คนฉลาด ชอบเรียนรู้เพื่อพัฒนาความเก่งให้ยิ่งขึ้น และเอาความเก่งมาใช้โดยไม่อวด จึงได้ผลงานดี แต่อาจไม่ทุกเรื่อง และอาจไม่ยั่งยืน

คนเจ้าปัญญา หาความเก่งไม่เจอ แต่ทำอะไรก็ยอดเยี่ยมเสมอ เพราะมองเห็นทุกอย่างในตนและนอกตนเป็นธรรมดา ทุกคุณสมบัติจึงเป็นปกติ และ ยั่งยืนสำหรับเขา


ว่าด้วยจรรยามารยาท

คนโง่ แข็งกระด้าง จึงล้มเหลว ดั่งเปลือกไม้ร่วงหล่นลงสู่ดิน

คนฉลาด ยืดหยุ่น จึงกระจายตนไปในสถานการณ์ต่างๆ ดั่งรากไม้แผ่ซ่านไปในผืนปฐพี

คนเจ้าปัญญา อ่อนโยน จึงเจริญงอกงาม ดั่งยอดไม้ที่ทะยานขึ้นสู่ที่สูง


ว่าด้วยความรักสัมพันธ์

คนโง่ ชอบขอความรักและความเห็นใจ แต่มักได้รับความสมเพชตอบแทนเป็นประจำ

คนฉลาด ชอบให้ความรักความเข้าใจ และมักได้รับความหวังพึ่งพิงตอบเนื่องๆ

คนเจ้าปัญญา ชอบให้ปัญญา ที่จะให้ทุกคนรักและเข้าใจตนเอง จึงได้รับความนับถือและความมีบุญคุณตอบแทนเสมอ

ว่าด้วยแหล่งมิตรภาพ

คนโง่ ชอบหาเพื่อนจากวงเหล้า หรือแหล่งอบายมุข จึงได้แต่มิตรเทียม ที่นำภัยมาสู่ชีวิต และ ต้องแตกแยกกลุ่มแล้วกลุ่มเล่า

คนฉลาด ชอบหาเพื่อนจากงาน จึงได้มิตรดีร่วมอุดมการณ์ แต่เมื่องานหมดหรือล้มเหลว มิตรดีเหล่านั้นก็อันตรธานไป และ บางคนก็ผันมาเป็นศัตรูหรือคู่แข่ง

คนเจ้าปัญญา ชอบหาเพื่อนจากธรรมสภาวะ จึงได้มิตรแท้ที่มีรสนิยมเหนือเงื่อนไขทางโลก ความสัมพันธ์จึงสะอาด และ มีแนวโน้มนิรันดร


ว่าด้วยความสัมพันธ์ เชิงสร้างสรรค์

คนโง่ มองแต่ความชั่วร้ายในคนอื่น จึงหยิบยื่นแต่โทษให้แก่กัน และได้รับความทุกข์ตรมเป้นของกำนัล

คนฉลาด มองแต่ความดีในคนอื่น จงหยิบยื่นคุณค่าให้แก่กัน และได้รับความสุขระคนทุกข์อันประณีต เป็นของกำนัล

คนเจ้าปัญญา มองทั้งความดีและความชั่วในทุกตัวคน จึงควบคุมโทษแม้เล็กน้อย ที่อาจเกิดระหว่างกัน แล้วหยิบยื่นคุณค่าให้เพื่อการพัฒนาร่วมกัน ปฏิสัมพันธ์ย่อมเป็นไปเพื่อประโยชน์สุขทุกฝ่ายอย่างต่อเนื่องและได้รับความเจริญรุ่งเรืองยั่งยืนเป็นกำนัล

ว่าด้วยวัฒนธรรมสัมพันธ์

คนโง่ เห็นอะไรที่ทำสืบๆกันมา ก็ทำสืบๆกันไป โดยไม่ได้ตรวจสอบประเมินคุณค่าใดๆ จึงผิดๆ ถูกๆ

คนฉลาด เห็นอะไรที่ทำสืบๆ กันมาก็ยังไม่ทำสืบๆกันไป ทำการตรวจสอบประเมินคุณค่าก่อน จึงจะทำสืบๆกันต่อไป จึงได้ประโยชน์ชัดเจน

คนเจ้าปัญญา เห็นอะไรที่ทำสืบๆกันมา และ สืบๆกันไป ก็พยายามพัฒนาต่อเพื่อสิ่งที่ดีกว่า จึงได้ความเจริญโดยลำดับ

ว่าด้วยการสนองตอบผู้มีพระคุณ

คนโง่ เนรคุณผู้มีบุญคุณ จึงไม่มีใครอยากทำดีกับเขาอีก

คนฉลาด กตัญญูผู้มีบุญคุณ จึงมีคนอยากทำดีกับเขามากมาย ซึ่งต้องตามชดใช้บุญคุณกันไม่รุ้จบ

คนเจ้าปัญญา ยกระดับผู้มีบุญคุณให้สูงส่งขึ้น จึงทดแทนบุญคุณกันได้หมด และผู้มีพระคุณกลายเป็นหนี้บุญคุณ และพร้อมที่จะให้พระคุณที่ยิ่งกว่า เกิดวงจรการให้ และการรับที่พัฒนาต่อเนื่อง ทุกฝ่ายจึงได้ประโยชน์อย่างยิ่ง

ว่าด้วยการจัดการกับปัญหา

คนโง่ : พอพบกับปัญหาอะไรก็โวยวาย ก่อให้เกิดปัญหาทางอารมณ์และความสัมพันธ์อีกหลายชั้น จึงยิ่งเสียหาย

คนฉลาด : พอพบปัญหาก็วิเคราะห์ เป็นการใช้ความคิดแก้ปัญหา จึงมักติดบ่วงความคิด วนไปวนมา

คนเจ้าปัญญา : พอพบปัญหาอะไรก็วางก่อน พอเป็นอิสระมีอำนาจเหนือกว่าปัญหาแล้ว จึงจัดการกับปัญหานั้นอย่างเหนือชั้น

ว่าด้วยการบริหารและการปกครอง

คนโง่ : พยายามบริหารคน จึงวุ่นวายสับสนตามธรรมชาติของคน

คนฉลาด : พยายามบริหารประโยชน์สัมพันธ์ จึงยุ่งยากซับซ้อนตามปรารถนาอันไม่สิ้นสุด

คนเจ้าปัญญา : พยายามบริหารระบบธรรม จึงสงบลงตัว ณ จุดพอดี

ว่าด้วยความคิด!!!

คนโง่ : เห็นแต่ความชั่วร้ายของคนอื่น และโยนความผิดให้ผู้อื่นอยู่เรื่อย เป็นการทำมิตรให้กลายเป็นศัตรู ชีวิตจึงอยู่ในท่ามกลางอันตราย

คนฉลาด. : เห็นแม้ความชั่วร้ายในตนเอง จึงกล้ายอมรับความจริงและแก้ไขตัว ทำให้ตนดีขึ้น ทำให้แม้ศัตรูก็ยอมรับได้มากขึ้น ชีวิตจึงเจริญและผาสุกโดยลำดับ

คนเจ้าปัญญา : เห็นความชั่วร้ายสากล จึงเข้าใจทุกคนในทุกสถานการณ์ เห็น***ส่วนการบริหารคนที่เหมาะสม โดยไม่ทำร้ายคน แต่จะทำลายความชั่วสากลให้สิ้นไป จึงสนุกสนานในการบริหารเรื่อยไป.

ว่าด้วยการบริหารธรรม

คนโง่ : ดูหมิ่นธรรมะ ชีวิตจึงหายนะ

คนฉลาด : ศึกษาธรรมะ จึงรู้ลึก และดำเนินชีวิตด้วยดี

คนเจ้าปัญญา : ใช้ธรรมะ จึงดำเนินชีวิตอย่างเหนือชั้น!!

ว่าด้วยความเพียร

คนโง่ : มัวขยันในเรื่องไร้สาระ จึงมักพบปะแต่เรื่องไร้ประโยชน์ แล้วมักตัดพ้อว่า ทำไมทำดีแล้วไม่ได้ดี

คนฉลาด : มักขยันในเรื่องที่มีคุณมากมีโทษน้อย จึงได้ประโยชน์มากและมีโทษแทรกบ้าง แล้วมักบ่นว่าอุตส่าห์ระวังอย่างสุดแล้วยังพบเรืองร้ายๆ อีก

คนเจ้าปัญญา : ขยันทำตนให้เหนือคุณและโทษ จึงบริหารสถานการณ์อย่างอิสระ ไม่ปรากฏเสียงตัดพ้อหรือบ่นว่าอีกต่อไป

ว่าด้วยความจริงจัง

คนโง่ : เห็นปรากฏการณ์ต่างๆ ในชีวิตเป็นเรื่องจริงจัง จึงเครียดแทบบ้า

คนฉลาด : เห็นปรากฏการณ์ต่างๆ ในชีวิตเป็นเรื่องเล่นๆ จึงสนุกสนานจนไร้สาระ

คนเจ้าปัญญา : เห็นปรากฏการณ์ต่างๆ ในชีวิตเป็นตัวเร่งวิวัฒนาการ จึงรุ่งเรืองรวดเร็ว

ว่าด้วยความประสบความสำเร็จ

คนโง่ : รอให้ความสำเร็จมาหา อาจต้องรอหลายชาติกว่าจะพบซักครั้ง

คนฉลาด : เดินไปหาความสำเร็จ จึงอาจมีโอกาสพบบ้างแม้เหนื่อยยาก

คนเจ้าปัญญา : ปักหลักสร้างความสำเร็จ หากสร้างความสำเร็จแน่ๆ และเหนื่อยน้อยกว่า

ว่าด้วยความรักและคู่รัก

คนโง่ กระหายคู่ จึงอยู่คนเดียวไม่ได้ เพราะไม่เป็นสุข ต้องพึ่งพาอาศัยผู้อื่นเสมอ

คนฉลาด ปฎิเสธคู่ จึงเป็นสุขเมื่ออยู่คนเดียว และเป็น ทุกข์เมื่ออยู่กับคนอื่น และหากยังต้องพึ่งพิงก็ยิ่งระทม และขมขื่น

คนเจ้าปัญญา ไม่แสวงหา แต่ก็ไม่ปฎิเสธคู่ที่พึงมี หาก มีคู่ก็ประคับประคองกันไปสู่ชีวิตที่สูงส่งยิ่งขึ้นทั้งคู่ จึงอยู่ คนเดียวก็ได้เป็นสุขดี อยู่กับคู่ก็ดีเป็นสุขได้

ว่าด้วยสัจจสัมพันธ์

คนโง่ ไม่รักษาสัจจะ จึงไม่มีใครเชื่อถือ ตนก็ไม่อาจเคารพในตนได้

คนฉลาด คลั่งไคล้สัจจะ แยกไม่ออกระหว่าง ประโยชน์และโทษของสัจจะแต่ละระดับ.....จึงมักพาตนและพาคนอื่นติดกับดักแห่งความจริงโดยไม่ตั้งใจ

คนเจ้าปัญญา. ทำสัจจะกับปัญญาให้เป็นหนึ่งเดียวกัน จึงมีสัจจะรักษา และมีอำนาจพิเศษยิ่งกว่าคนทั่วไป

ว่าด้วยความเป็นไปได้

คนโง่...ชอบคิดว่าทุกสิ่งที่หวังเป็นไปไม่ได้ จึงขังตนเองในความเกียจคร้าน ชีวิตต่ำต้อย

คนฉลาด...ชอบคิดว่า ทุกสิ่งที่หวังเป็นไปได้ จึงทะยานไปในตัณหาไม่รู้จบ ชีวิตกระเจิดกระเจิง

คนเจ้าปัญญา...ย่อมเห็นว่าในบรรดาสิ่งที่หวัง บางสิ่ง เป็นไปไม่ได้ บางสิ่งเป็นไปได้ ในบรรดาสิ่งที่เป็นไปไม่ ได้ทั้งหมดนั้น บางสิ่งเป็นไปไม่ได้ถาวร บางสิ่งเป็นไป ไม่ได้ชั่วคราว และในบรรดาสิ่งที่เป็นไปได้ถาวรนั้น บาง สิ่งก็ไม่มีประโยชน์ บางสิ่งมีประโยชน์ เขาจึงปรับความ หวังให้สอดคล้องกับความเป็นไปได้ที่มีประโยชน์ และ ปรับสิ่งเป็นไปไม่ได้ชั่วคราวให้เป็นไปได้มากขึ้น ชีวิตจึง อยู่กับความสมหวังและการพัฒนาโดยลำดับ

ว่าด้วยพันธสัญญา

คนโง่ ไม่กล้ารับปากใครแม้กับตนเอง จึงไม่ได้รับความเชื่อถือแม้ต่อตนเอง

คนฉลาด รับปากเรื่อยไปในทุกเรื่อง ต้องเพียรพยายามทำตามสัญญาด้วยความเหนื่อยยาก และทำได้บ้างไม่ได้บ้าง ได้รับความเชื่อถือบ้าง ไม่เชื่อถือบ้าง

คนเจ้าปัญญา ชวนทุกคนที่เกี่ยวข้องร่วมพันธสัญญาจึงได้พลังร่วมของส่วนรวมที่จะขับเคลื่อน ภารกิจไปสู่ความสำเร็จ

ว่าด้วยผู้พูด

คนโง่ ชอบให้อารมณ์พูด จึงผิดพลาดมากล้มเหลวบ่อย

คนฉลาด ชอบใช้เหตุผล จึงถูกต้องมากแต่ มักไร้ความรู้สึก และประสบแต่ความสำเร็จอันแห้งแล้ง

คนเจ้าปัญญา ชอบใช้ธรรมะพูด จึงบริสุทธิ์ เหนือถูกผิด และเป็นหนึ่งเดียวกับความสำเร็จโดยธรรม

ว่าด้วยความเป็นธรรม

คนโง่....ชอบเรียกหาความเป็นธรรม จนบ่อยครั้งใช้ กระบวนการที่ไม่เป็นธรรมในการเรียกหา....จึงพาให้ยิ่ง ห่างไกลความเป็นธรรม

คนฉลาด ชอบสร้างความเป็นธรรม ปั้นแล้วปั้นอีก ปั้นอย่างไรก็ไม่เป็นธรรมแท้ แม้พยายามถึงที่สุด เพราะ ความเป็นธรรมไม่ได้ขึ้นอยู่กับปรารถนา ของใคร จึงเป็น ความหวังดีที่ล้มเหลวเรื่อยไป

คนเจ้าปัญญา ชอบประพฤติธรรม ดำรงอยู่และดำเนินไปโดยธรรม จึงได้สิทธิพิเศษโดยธรรม

ว่าด้วยการบริหารอารมณ์

คนโง่ มักจมอยู่ในอารมณ์ ด้วยคิดว่าอารมณ์ คือเขาเขาคืออารมณ์ เขาจึงเป็นทาสของอารมณ์เสมอ

คนฉลาด ชอบปฎิเสธอารมณ์ เพราะคิดว่าอารมณ์คือสิ่งรบกวน ทำตัวเป็นคนสงบที่ไร้อารมณ์ เขาจึงเป็นเพื่อนกับผีดิบ

คนเจ้าปัญญา ย่อมบริหารอารมณ์ สร้างอารมณ์ที่ควรสร้าง เสพอารมณ์ที่ควรเสพ ควบคุมอารมณ์ที่ควรควบคุม รักษาอารมณ์ที่ควรรักษา สลายอารมณ์ที่ควรสลาย เขาจึงเป็นนายของอารมณ์โดยสมบูรณ์

ว่าด้วยการอยู่กับความทุกข์

คนโง่ มัวอดทนกับทุกข์ เมื่อทุกข์ใจก็ไม่กล้าตัดสินใจ จากสิ่งที่ทำให้ทุกข์ จึงต้องทนเจ็บใจตลอดไป สะบักสะ บอม

คนฉลาด มักหนีทุกข์ เมื่อทุกข์ใจก็กล้าตัดใจจาก สิ่งที่ทำให้ทุกข์ จึงโล่งใจไปเรื่อย ๆ ตราบที่ตัดได้และ ต้องเปลี่ยนแปลงร่ำไป

คนเจ้าปัญญา ทำลายเงื่อนไขของทุกข์ ทำใจให้ ไม่เจ็บในทุกข์ จึงไม่ต้องตัดต่อใจอีกต่อไป ใจจึงเป็น ปกติเย็นอยู่ อยู่กับทุกข์ได้โดยไม่ทุกข์

ว่าด้วยความยิ่งใหญ่

คนโง่ เห็นว่าตนยิ่งใหญ่ จึงจมอยู่ในตัวตนอันกระจ้อยร่อย ท่ามกลางเอกภพอันไร้ขอบเขต

คนฉลาด เห็นว่าธรรมชาติยิ่งใหญ่ หวาดกลัว และ เทิดทูนธรรมชาติ ส่วนใดที่ตนเข้าไม่ถึงจึงโยนไว้ในอุ้ง หัตถ์ของภูติผีและพระเจ้า

คนเจ้าปัญญา เห็นว่าความบริสุทธิ์ยิ่งใหญ่ เพราะทั้ง ตน ธรรมชาติ และวิญญาณทั้งหลาย ล้วนมีเป้าหมาย สูงสุดที่ความบริสุทธิ์

ว่าด้วยปฎิสัมพันธ์

คนโง่ ชอบเอาเปรียบคนอื่น จึงได้ประโยชน์ตนสั้น ๆ แต่เสียคนรัก และความศรัทธา

คนฉลาด ชอบยอมเสียเปรียบคนอื่น จึงได้คนรักและความศรัทธา แต่ขมขื่นในใจตน

คนเจ้าปัญญา ชอบบริหารประโยชน์สุขทุกฝ่าย จึง เป็นสุขใจ ได้คนรัก ความศรัทธา และสถาปนาระบบ ประโยชน์อันยั่งยืน

ว่าด้วยความผิด

คนโง่ เห็นแต่ความชั่วร้ายของคนอื่น และโยนความ ผิดให้ผู้อื่นอยู่เรื่อย เป็นการทำมิตรให้กลายเป็นศัตรู ชีวิตจึงอยู่ในท่ามกลางอันตราย

คนฉลาด เห็นแม้ความชั่วร้ายในตนเอง จึงกล้ายอม รับความจริง และแก้ไขตัว ทำให้ตนดีขึ้น ทำให้แม้ ศัตรูก็ยอมรับได้มากขึ้น ชีวิตจึงเจริญและผาสุกโดยลำดับ

คนเจ้าปัญญา เห็นความชั่วร้ายสากล จึงเข้าใจ ทุกคนในทุกสถานการณ์ เห็นสัดส่วนการบริหารคนที่ เหมาะสม โดยไม่ทำร้ายคน แต่จะทำลายความชั่ว สากล ให้สิ้นไป จึงสนุกสนานในการบริหารเรื่อยไป

ว่าด้วยการปกครอง

คนโง่ คิดปกครองคนอื่น ขณะที่ตนก็คือคน ๆ หนึ่ง จึงไม่อาจปกครองใครได้แท้จริง การทรยศจึงเกิดขึ้นเนือง ๆ

คนฉลาด คิดประสานกิเลสและคุณธรรมของคน จึงลงตัว ตราบที่กิเลสไม่กำเริบและคุณธรรมไม่เสื่อม เมื่อกิเลสกำเริบหรือคุณธรรมเสื่อมก็แตกร้าวเนือง ๆ

คนเจ้าปัญญา คิดยกระดับปัญญาและความบริสุทธิ์ ของคน เมื่อปัญญามากและความบริสุทธิ์ถึงที่สุด ทุกคน จะจัดตนเข้าฐานะหน้าที่อันเหมาะสมเอง จึงไม่ต้อง พยายามปกครองกันอีก

ว่าด้วยการบริหารสถานการณ์

คนโง่ ชอบเข้าสู่สถานการณ์ที่ควบคุมไม่ได้ เป็น ความเสี่ยงอย่างยิ่งของชีวิต ความสำเร็จจึงแขวนอยู่บน ความประมาท

คนฉลาด ชอบเข้าสู่เฉพาะสถานการณ์ที่ควบคุมได้ จึงมีสถานการณ์เพียงน้อยนิดที่เหมาะสม ชีวิตมีความ เสี่ยงต่ำ แต่สำเร็จเพียงเล็กน้อย

คนเจ้าปัญญา บริหารความเสี่ยง ควบคุม ปรับ จุดหมุน กระจาย สลายทุกความเสี่ยง เมื่อเข้าสู่ สถานการณ์ใด ก็เหนี่ยงนำแล้วปล่อยวาง บริโภคคุณค่า แล้วคายกากภัยทิ้งจึงสำเร็จได้ง่ายแม้ในความยากอย่าง ยิ่ง

ว่าด้วยความรักสัมพันธ์

คนโง่ ชอบขอความรักและความเห็นใจ แต่มักได้รับความสมเพชตอบแทนเป็นประจำ

คนฉลาด ชอบให้ความรักความเข้าใจ และมักได้รับความหวังพึ่งพิงตอบเนือง ๆ

คนเจ้าปัญญา ชอบให้ปัญญาที่จะให้ทุกคนรัก และเข้าใจตนเอง จึงได้รับความนับถือ และความมีบุญคุณตอบแทนเสมอ

ว่าด้วยคนดีและคนชั่ว

คนโง่ เห็นคนดีว่าชั่ว เห็นคนชั่วว่าดี ชีวิต จึงประสบภัยใหญ่หลวง

คนฉลาด เห็นคนดีว่าดี เห็นคนชั่วว่าชั่ว ชีวิตจึงต้องระมัดระวัง หลบหลีกเลือกเฟ้นเป็นพัลวัน

คนเจ้าปัญญา เห็นคนดีว่าไม่ดีจริง เห็น คนชั่วว่าไม่ชั่วจริง จึงไม่ยกย่องผู้ใดและไม่เหยียบ ย่ำใคร แต่บริหารทุกคนไปสู่สภาวะที่ประเสริฐ กว่าที่เขาเป็นได้เสมอ

ว่าด้วยความทุกข์และความสุข

คนโง่ เห็นทุกข์เป็นสุข จึงรักษาทุกข์ไว้ ด้วยสำคัญว่าเป็นสุข หรือน่าจะนำสุขมาให้ ยิ่ง รักษาก็ยิ่งทุกข์ จึงระทมร่ำไป

คนฉลาด เห็นทุกข์เป็นทุกข์ แล้วต่อสู้อยู่ ในท่ามกลางความทุกข์ ยิ่งพยายามก็ยิ่งพบความ ไม่น่าพอใจจึงท้อแท้เรื่อยไป

คนเจ้าปัญญา เห็นทุกข์โดยความเป็น ของไร้สาระ จึงโยนทิ้งไปเสีย จนเป็นอิสระ โปร่ง เบาสบายยิ่งนัก

ว่าด้วยการปรนเปรอ

คนโง่ เอาแต่ใจตนเอง จึงได้รับความ สะใจเป็นผล และความรังเกียจเป็นรางวัล

คนฉลาด เอาใจคนอื่น จึงได้รับ ความลำบากเป็นผล และความรักเป็นรางวัล

คนเจ้าปัญญา ไม่เอาทั้งสองอย่าง แต่เอา สัจจะที่ก่อให้เกิดประโยชน์สุขทุกฝ่ายเป็นที่ตั้ง จึงได้รับคุณค่าเป็นผล และได้รับศรัทธาเป็นรางวัล

ว่าด้วยความบ้า

คนโง่ เมาคำพูด จึงประคองสติไม่อยู่ พลั้งพูดพล่อยบ่อยๆ สร้างกรรมและศัตรูมากมาย

คนฉลาด บ้าความคิด เขม่าเต็มขมอง จึง เต็มไปด้วยจิตหลอน สร้างมายาหลอกตนและ คนอื่นมากมาย

คนเจ้าปัญญา บ้าความสงบ จึงพบสติ เต็มตื่น รู้อยู่เป็นหลักให้ตนและคนอื่นได้

ว่าด้วยการบริหารสิ่งเร้า

คนโง่ มักไหลตามสิ่งเร้าที่เข้ามายั่วเย้า จึงแปรปรวนไปไม่รู้จบ

คนฉลาด มักปฏิเสธสิ่งเร้าที่เข้ามายั่วเย้า จึงเป็นตัวของตัวเองอย่างมาก แต่คับแคบอย่างยิ่ง

คนเจ้าปัญญา นิยมบริหารสิ่งเร้าที่เข้ามา ยั่วเย้า จึงสามารถกลั่นหาประโยชน์สูงสุดจากทุกสิ่งในทุกสถานการณ์

ว่าด้วยความจริงจัง

คนโง่ เห็นปรากฏการณ์ต่างๆ ในชีวิต เป็นเรื่องจริงจังจึงเครียดแทบบ้า

คนฉลาด เห็นปรากฏการณ์ต่างๆ ในชีวิต เป็นเรื่องเล่นๆ จึงสนุกสนานไร้สาระ

คนเจ้าปัญญา เห็นปรากฏการณ์ต่างๆ ในชีวิตเป็นตัวเร่งวิวัฒนาการ จึงรุ่งเรืองรวดเร็ว

ว่าด้วยการขจัดความชั่วร้าย

คนโง่ ยอมทำชั่วหนึ่งเพื่อแก้ปัญหาหนึ่ง จึงได้รับแต่โทษทุกข์ฑัณท์ ทับถมทวีคูณ

คนฉลาด ย่อมทำดีแม้หลายอย่าง เพื่อ แก้ปัญหาหนึ่ง จึงได้รับความสุขสันต์ หลังเหน็ดเหนื่อยหนักหนา

คนเจ้าปัญญา ย่อมทำบริสุทธิ์เพื่อหลุด จากสารพันปัญหา จึงได้รับความเบิกบานนิรันดร์

ว่าด้วยสำนึกในส่วนรวม

คนโง่ คิดแต่เรื่องส่วนตัว ทำอะไรก็เพื่อตนเอง แม้อาจทำให้คนอื่นเสียหาย จึงเป็นที่รังเกียจ สังคมไม่ต้องการ

คนฉลาด คิดแต่เรื่องส่วนรวม ทำอะไรก็ เพื่อส่วนรวม แม้อาจทำให้ตนเสียหาย สังคมต่าง ต้องการแต่ตน ไม่อาจตั้งอยู่ได้

คนเจ้าปัญญา คิดแต่เรื่องคุณธรรม ทำอะไร ก็เพื่อประโยชน์สุขทุกฝ่ายในทุกกาลเวลา จึงเป็นที่ ต้องการของทุกฝ่าย ในขณะที่เขาอาจจะไม่ต้องการ ใครเลย

ว่าด้วยความจริงจัง

คนโง่ ประเมินค่าคนจากปริญญา จึงรู้จัก แค่ตรายี่ห้อปะติดชีวิต

คนฉลาด ประเมินค่าคนจากความสามารถ จึงรู้จักคุณภาพของชีวิต

คนเจ้าปัญญา ประเมินค่าของคนจากความ เอื้อประโยชน์ จึงรู้จักประโยชน์แท้แห่งชีวิตจริง

ว่าด้วยค่าของคน

คนโง่ ประเมินค่าคนจากปริญญา จึงรู้จัก แค่ตรายี่ห้อปะติดชีวิต

คนฉลาด ประเมินค่าคนจากความสามารถ จึงรู้จักคุณภาพของชีวิต

คนเจ้าปัญญา ประเมินค่าของคนจากความ เอื้อประโยชน์ จึงรู้จักประโยชน์แท้แห่งชีวิตจริง

ว่าด้วยการแสวงหา

คนโง่ งุ่มง่ามแสวงหาคุณค่าภายนอกตน ยิ่งพบมากก็ยิ่งเห็นว่าตนต้อยต่ำ จึงยอมตนเป็นทาส

คนฉลาด งุ่นง่านแสวงหาคุณค่าในตน ยิ่ง พบมาก ก็ยิ่งเห็นว่าตนล้ำค่า จึงหลงตัวเอง

คนเจ้าปัญญา ย่อมแสวงหาคุณค่าสากล ยิ่งพบมากก็ยิ่งเห็นความธรรมดาในทุกสิ่งจึงมี เป็น และบริโภคทุกสิ่งเหมือนไม่มี ไม่เป็น

ว่าด้วยการบริหารศรัทธา

คนโง่ รู้อะไรก็เชื่อไว้ก่อนว่าจริง หรือ ไม่จริง จึงงมงามอย่างยิ่ง

คนฉลาด รู้อะไรก็ไม่เชื่อไว้ก่อนว่าจริง หรือไม่จริง แต่เอามาทดลอง จนเห็นชัด จึงเชื่อ จึงมีเหตุผลอย่างยิ่ง

คนเจ้าปัญญา รู้อะไรก็ไม่สนใจว่าจริง หรือไม่จริง สนใจเพียงว่ามีประโยชน์และมีโทษเพียงใด แล้วสกัดโทษทิ้ง บริโภคเฉพาะประโยชน์ จึงได้คุณค่าแห่งการรู้ในทุกสิ่ง

ว่าด้วยระบบธรรม

คนโง่ ปรับธรรมะเข้าหาคน จึงได้คน จำนวนมากเดินตามธรรมะเทียม

คนฉลาด ปรับคนเข้าหาธรรมะ จึงได้คน จำนวนน้อยอยู่รักษาธรรมะแท้

คนเจ้าปัญญา ปรับธรรมะและคนเข้าหากัน ณ จุดแห่งประโยชน์สูงสุดที่เหมาะสมและเป็นไปได้ จึงได้คนจำนวนพอดีอยู่รักษาธรรมะที่ดีพอ

ว่าด้วยความเป็นธรรม

คนโง่ ชอบเรียกหาความเป็นธรรม จนบ่อย ครั้งใช้กระบวนการที่ไม่เป็นธรรมในการเรียกหา จึงพาให้ยิ่งห่างไกลความเป็นธรรม

คนฉลาด ชอบสร้างความเป็นธรรม ปั้นแล้ว ปั้นอีก ปั้นอย่างไรก็ไม่เป็นธรรมแท้ แม้พยายามถึงที่สุด เพราะความเป็นธรรมไม่ได้ขึ้นอยู่กับ ปรารถนาของใคร จึงเป็นความหวังดีที่ล้มเหลวเสมอไป

คนเจ้าปัญญา ชอบประพฤติธรรม ดำรงอยู่ และดำเนินไปโดยธรรม จึงได้สิทธิพิเศษโดยธรรม

 ลองคิดดูว่าคุณอยู่ในกลุ่ไหน  แล้วประเมินตนเอง  พัฒนาให้เป็นคนเจ้าปัญญาให้ยิ่ง ๆ ขึ้นไป

จบ

หมายเลขบันทึก: 296451เขียนเมื่อ 11 กันยายน 2009 10:04 น. ()แก้ไขเมื่อ 6 กันยายน 2013 21:31 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (1)
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท