การเข้ามหาวิทยาลัยในต่างประเทศอันที่จริงมันก็ไม่ยาก เพียงแต่คุณก็ต้องมีข้อมูลครบถ้วน แต่ละมหาวิทยาลัยเขาก็มี requirements ต่างๆ กัน .....แต่ก็มีหลักๆ สำหรับการเข้าศึกษาในระดับปริญญาโทก็คือ Transcript, ผลสอบ TOEFL ที่ไม่น่าจะต่ำกว่า 213 ในการสอบแบบคอมพิวเตอร์, Recommendations จากอาจารย์ในระดับปริญญาตรี, และจดหมายที่เขียนเกี่ยวกับตัวเองและเหตุผลในการต้องการศึกษา หรือที่เรียกว่า Statement of purpose ซึ่งอันหลังนี่ตัวดีเลย เพราะ อ.จะรับเราเข้ามหาวิทยาลัยหรือไม่นั้น เขาก็จะดูสำนวนการใช้ภาษาอังกฤษของเราว่าดีพอหรือไม่.....ต้นปี ค.ศ. 2003 ผมก็ได้เอกสารครบทุกอย่าง บอกลาร้านหมอฟันที่ทำมา 1 ปี (เขาก็ดีนะ มีเค้ก มีงานเลี้ยงอำลาเล็กๆ ให้เรา ถึงจะอยู่กับเขาไม่นาน.....แต่ดูทุกคนแฮปปี้พิกล ตกลงเขาดีใจที่เราออกไปได้ซักทีรึเปล่าฟระ).....
กลับมาที่การสมัคร ผมก็ส่งเอกสารทุกอย่างไปที่ Admission ของมหาวิทยาลัยที่ผมสนใจ ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยเล็กๆ อยู่ไม่ไกลจากบ้าน ชื่อ University of La Verne ซึ่งได้ข่าวมาว่ามีคนไทยเรียนอยู่เยอะพอสมควรในสาขา MBA ซึ่งก็ไม่ใช่สาขาที่ผมสนใจ แต่เป็นสาขา Leadership and Management ที่มีวิชาเลือกที่ผมต้องการนั่นคือ Human Resource and Management
สาขาที่ผมอยากเรียนนี้ไม่ค่อยมีประสบการณ์เกี่ยวกับนักเรียนต่างชาติซักเท่าไหร่ ไม่เหมือน MBA ที่เขารู้ว่าจะทำอย่างไร เมื่อนักเรียนอินเตอร์มาสมัคร..... ดังนั้นผมจึงต้องพยายามทำทุกอย่างให้เหมือนนักเรียนท้องถิ่นที่สุด ทั้งการเขียนและการพูด.....ซึ่งก็ไม่แปลกใจเลยที่ Statement of Perpose ของผมจะโดน reject เพราะการเขียนของผมมันไม่น่าจะเอาตัวรอดได้ในคณะนี้.....แต่ผมไม่มีทางเลือก ผมมีเวลาอีกไม่มากในการหาที่เรียนเพื่อรักษาสถานภาพในอเมริกา.....ผมเลยส่ง Statement ไปเป็นครั้งที่ 2 และไปด้วยตัวเอง.....บางทีตัวหนังสือมันก็บอกอะไรไม่ได้ทุกอย่าง เพราะพอผมได้คุยกับอาจารย์ซึ่งภายหลังก็คือ อ.ที่ปรึกษาของผม เขาก็บอกว่าผมพูดได้ดีกว่าในกระดาษที่ผมส่งมามากมาย ซึ่งเขาก็คิดว่าผมน่าจะเรียนได้.....ในที่สุด อ.ก็รับผมเข้าเรียนในเทอม Spring 2003 โดยมีเงื่อนไขว่าผมจะต้องลงวิชาการเขียนภาษาอังกฤษเพิ่มอีก 1 วิชา และต้องได้อย่างน้อย B ในเทอมแรก.....
สุดท้ายผมก็มีที่เรียนซักที ในเทอมแรกผมลงเรียนวิชาการเขียน ซึ่งก็มีเด็กนักเรียนต่างชาติเรียนอยู่กับผม 3 คน เป็นคนไทย 1 คน ไต้หวัน 1 คน และญี่ปุ่น 1 คน และก็มีแค่นี้แหละ 4 คน ผมเลยได้รับการติวเข้มข้น และสามารถมีปากเสียงกับอาจารย์ตัวต่อตัวได้อย่างเต็มที่ ในที่สุดผมก็จบด้วยเกรด B.....ได้เรียนปริญญาโทกับเขาเสียที
วันแรกผมยังจำได้.....วันนั้นเป็นวันเสาร์ แต่เสาร์ที่เท่าไหร่จำไม่ได้ รู้แต่เป็นเดือนมีนาคม ผมมีเรียน 8 โมงเช้า.....ผมตื่นสายนิดหน่อยเพราะไม่ได้ตื่นเช้ามานานแล้ว เช้านั้นจึงไม่เหมือนเช้าอื่น.....ห้องเรียนแรกของผมมีนักเรียนอยู่ประมาณ 25 คน อายุเฉลี่ยนี่ผมให้ 37-38 ปีเลย และเป็นชาวอเมริกันล้วนๆ .....ผมยิ้มๆ เดินเข้าไปนั่งเบียดๆ กับเขา ความรู้สึกเหมือนลูกภารโรงนั่งรอแม่มารับ.....ยอมรับว่าเหมือนไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของห้องนั้นเลยในวันแรก พวกเขาพูดในสิ่งที่ผมไม่รู้ อย่างเรื่องข่าวในท้องถิ่น เกี่ยวกับชื่อนักธุรกิจดังๆ เกี่ยวกับกฏหมาย ที่สำคัญพูดเร็วมากๆ.....อย่างที่บอกว่าการเรีบนการสอนของเขามีแบบแผนเฉพาะอยู่ ผมเข้าไปผมก็ต้องปรับตัวตาม เพราะพวกเขาไม่จำเป็นต้องสะกดทีละคำให้คนต่างชาติที่หลงมาเรียนอย่างผมฟัง แรกผมนั่งกินข้าวกลางวันคนเดียวด้วยความมึน นี่หรือคือบรรยากาศที่เราจะเจอไปอีก 2 ปี
Leadership and Management เป็นสาขาที่สอนให้นักเรียนรู้จักตัวเองและเตรียมความพร้อมในการเลื่อนตำแหน่งไปเป็นผู้บริหารปกครองคน การสร้างบุคคลิกภาพ และความแตกต่างในการดำเนินธุรกิจและภาวะผู้นำ วิธีการเรียนในสาขาที่ผมเรียน เน้นไปที่การทำกิจกรรมกลุ่ม ไม่ว่าจะเป็น case study, role play, presentation หรือการบ้านทั้งเดี่ยวทั้งกลุ่ม คะแนนทั้งหมดจะหนักไปทางการแสดงออกในชั้นและงานที่ส่งในแต่ละครั้ง ซึ่งวิชานึงก็ต้องเข้าเรียนประมาณ 10 ครั้ง ไม่มีการสอบ midterm หรือ final เหตุคงเป็นเพราะนักเรียนส่วนใหญ่เป็นพนักงานบริษัท เจ้าของกิจการ ที่ไม่มีเวลามานั่งอ่านหนังสือสอบ การทำกิจกรรมภายในชั้น และการบ้านจะดูง่ายต่อพวกเขามากกว่า.....โดยในวันแรกของการเรียน นักเรียนจะได้รับ course outline ที่จะบอกว่าต้องทำอะไรบ้าง ซึ่งถ้านักเรียนไม่พอใจก็โวยได้ และอาจารย์ประจำวิชาก็จะเปลี่ยนให้ตามสมควร
กลับมาที่การเรียนวิชาแรกของผม วันแรกผมเรียน 8 โมงเช้า ถึง 4 โมงเย็น ไม่รู้จักใครในชั้นเรียน ไม่รู้ว่าเขาพูดอะไร ไม่มีเพื่อนที่จะถาม และไม่รู้ด้วยซ้ำว่าคราวหน้านี่เขาจะเตรียมอะไรมาบ้าง แย่แน่ๆ.....ผมจึงขอ อ.ที่ปรึกษาหยุดตั้งสติในการเข้าเรียนครั้งที่ 2 ซึ่งหมายถึงผมขาดเรียน.....สติน่ะตั้งได้ แต่คะแนนเข้าห้องก็จะไม่มี งานก็จะไม่ได้ส่ง แล้ว อ.เขาก็จะคิดว่าผมจะเรียนไม่ได้และสุดท้ายผมก็จะไม่ได้เรียนต่อ..... มันจะต้องไม่เป็นแบบนั้น..... ในขณะที่เพื่อนผมคนอื่นกำลังจับกลุ่มทำงานกัน (คนไทยทั้งนั้น) ที่ตึก MBA ด้วยความสนุกสนาน มีการซื้อน้ำมากิน มีการไปทำงานต่ออพาร์ตเมนท์เพื่อนในกลุ่มแลดูน่าสนุก ผมที่นั่งหัวดำอยู่คนเดียวก็เริ่มเป็นที่จดจำของพี่ๆ ป้าๆ ลุงๆ ในชั้นเรียนของผม อาศัยการพูดมากๆ ตอบคำถามเยอะๆ ยกมือถามบ่อยๆ ทั้งๆ ที่ก็ไม่รู้หรอกว่าถามอะไรออกไป แต่เพราะการแสดงออกทำให้คนอื่นๆ รู้จักและเห็นว่าเราไม่ได้มานั่งใบ้ โดยไม่รู้อะไรเลย
ผมขาดเรียน 1 ครั้ง อ.ที่ปรึกษาเริ่มสงสัยในความสามารถในตัวผมว่าจะเรียนต่อได้ไหม เขาจึงให้งานชิ้นพิเศษผม 1 ชิ้น คือการพูดหน้าชั้นในหัวข้อ Multiculture in Organization ซึ่งผมจะต้องพูดเกี่ยวกับความหลากหลายทางวัฒนธรรมในองค์การ ในฐานะที่เป็นคนต่างวัฒนธรรมในห้องเรียน อ.เขาเลยคิดว่าผมคงมีอะไรแปลกๆ มาแลกเปลี่ยนกับนักเรียนคนอื่นๆ แทนวันที่ขาดเรียน.....ไม่ได้ก็ต้องได้ ตอนนั้นผมก็ไม่รู้หรอกว่าผมต้องพูดนานเท่าไหร่ แต่หลังจากหาข้อมูลในห้องสมุดได้ซักพัก อ.ก็บอกว่า ผมต้องพูดเท่ากับการรายงานแบบกลุ่มของคนอื่นๆ ซึ่งก็ประมาณ 45 นาที - 1 ชั่วโมง.....ไม่น้อยเลยนะเนี่ย 45 นาที คนอื่นได้ทำเป็นกลุ่ม 5 คน แต่ผมพูดคนเดียว กรูจะรอดไหมเนี่ย.....
การที่ผมขาดเรียน ผมจึงต้องทำการบรรยายหน้าชั้นคนเดียวเป็นเวลา 1 ชั่วโมง แต่เพราะการบรรยายครั้งนี้นี่เองที่ได้พิสูจน์ตัวเองให้กับอาจารย์และทุกคนในชั้นเรียนเห็นว่า นักเรียนต่างชาติคนเดียวในชั้นเรียนคนนี้ได้เรียนรู้หลายๆ อย่างจากอาจารย์ และเพื่อนร่วมชั้น ซึ่งพอรวมกับประสบการณ์อันน้อยนิดด้านธุรกิจจากประเทศบ้านเกิด และความที่เป็นคนพูดมาก ก็เลยเป็นการ presentation ที่สนุกสนานเอามากๆ ทุกคนสนใจและถามคำถามต่างๆ ผมมากมายเกี่ยวกับเมืองไทย และความรู้สึกเมื่อผมได้เข้ามาในที่ที่ต่างวัฒนธรรมอย่างอเมริกา.....เมื่อทุกคนโฟกัสมาที่ผม เมื่อทุกคนจำชื่อเราได้ ความกังวลใจมันก็หมดไป..... การยอมรับจากอาจารย์และพี่ๆ ป้าๆ ลุงๆ ในชั้น ทำให้ผมคิดว่าตัดสินใจไม่ผิดที่เลือกสาขานี้ ป้าคนนึงให้กำลังใจผมโดยบอกว่าผมก็เหมือนลูกหลานของเขา ไม่มีอะไรที่ผมจะต้องกลัว พวกเขาคิดว่าผมเก่งด้วยซ้ำที่อายุเท่านี้แต่มาเรียนร่วมกับพวกเขาได้ แถมยังพูดภาษาอังกฤษได้น้ำไหลไฟดับอีกต่างหาก 555
วิชาแรกในการเรียนปริญญาโทของผมก็จบลงพร้อมกับการบรรยายหน้าชั้นเรื่อง Multicultural in Organization ของผม ซึ่งบางคนในชั้นเรียนนั้นยังบอกกับผม ในวันรับปริญญาว่าเขายังจำสิ่งผมบรรยายวันนั้นได้อย่างดี และรู้สึกดีใจที่ได้ฟังเรื่องราวที่เขาไม่รู้มาก่อน.....(ฝรั่งนี่เวลาชมเขาชมกันเต็มที่จริงๆ ซึ่งบางทีผมก็รู้สึกว่ามันจะเว่อร์ไปรึเปล่า ผมเองก็ได้แต่ thank you ไม่รู้จะพูดอะไร)
และหัวข้อการบรรยายวันนั้นเองก็ได้เป็นที่มาของรายงานวิจัยที่ทำให้ผมได้ปริญญาโทในอีก 2 ปีต่อมา.... ครั้งต่อไปจะพูดถึง ประสบการณ์ต่างๆ ที่ผมเจอในห้องเรียน และการเอาตัวรอดจากสถานการณ์ต่างๆ ครับ
เขียนเมื่อ 22 สิงหาคม 2548, Covina, California
สนุกจังเลย บรรยาย บรรยากาศในห้องเรียน เหมือนได้เข้าไปเรียนด้วยเลยค่ะ
ครูเตือนเคยฟังเพื่อ spain พูด แคนตัส เป็น แคนตุส ต้องปรับกันอยู่สักพัก จึงจะเข้า
ใจกัน
แม้จะต่างชาติ ต่างภาษา เมื่อได้มีโอกาสอยู่ด้วยกัน มิตรภาพ ไม่แยกชาติภาษาเลยนะคะ ความมีน้ำใจของคนไทย จะช่วยให้เราเอาตัวรอดได้เสมอ