Journey in America: Chapter 9 Entering University


วันแรกผมยังจำได้.....วันนั้นเป็นวันเสาร์ แต่เสาร์ที่เท่าไหร่จำไม่ได้ รู้แต่เป็นเดือนมีนาคม ผมมีเรียน 8 โมงเช้า.....ผมตื่นสายนิดหน่อยเพราะไม่ได้ตื่นเช้ามานานแล้ว เช้านั้นจึงไม่เหมือนเช้าอื่น.....ห้องเรียนแรกของผมมีนักเรียนอยู่ประมาณ 25 คน อายุเฉลี่ยนี่ผมให้ 37-38 ปีเลย และเป็นชาวอเมริกันล้วนๆ .....ผมยิ้มๆ เดินเข้าไปนั่งเบียดๆ กับเขา ความรู้สึกเหมือนลูกภารโรงนั่งรอแม่มารับ

          การเข้ามหาวิทยาลัยในต่างประเทศอันที่จริงมันก็ไม่ยาก เพียงแต่คุณก็ต้องมีข้อมูลครบถ้วน แต่ละมหาวิทยาลัยเขาก็มี requirements ต่างๆ กัน .....แต่ก็มีหลักๆ สำหรับการเข้าศึกษาในระดับปริญญาโทก็คือ Transcript, ผลสอบ TOEFL ที่ไม่น่าจะต่ำกว่า 213 ในการสอบแบบคอมพิวเตอร์, Recommendations จากอาจารย์ในระดับปริญญาตรี, และจดหมายที่เขียนเกี่ยวกับตัวเองและเหตุผลในการต้องการศึกษา หรือที่เรียกว่า Statement of purpose ซึ่งอันหลังนี่ตัวดีเลย เพราะ อ.จะรับเราเข้ามหาวิทยาลัยหรือไม่นั้น เขาก็จะดูสำนวนการใช้ภาษาอังกฤษของเราว่าดีพอหรือไม่.....ต้นปี ค.ศ. 2003 ผมก็ได้เอกสารครบทุกอย่าง บอกลาร้านหมอฟันที่ทำมา 1 ปี (เขาก็ดีนะ มีเค้ก มีงานเลี้ยงอำลาเล็กๆ ให้เรา ถึงจะอยู่กับเขาไม่นาน.....แต่ดูทุกคนแฮปปี้พิกล ตกลงเขาดีใจที่เราออกไปได้ซักทีรึเปล่าฟระ).....

          กลับมาที่การสมัคร ผมก็ส่งเอกสารทุกอย่างไปที่ Admission ของมหาวิทยาลัยที่ผมสนใจ ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยเล็กๆ อยู่ไม่ไกลจากบ้าน ชื่อ University of La Verne ซึ่งได้ข่าวมาว่ามีคนไทยเรียนอยู่เยอะพอสมควรในสาขา MBA ซึ่งก็ไม่ใช่สาขาที่ผมสนใจ แต่เป็นสาขา Leadership and Management ที่มีวิชาเลือกที่ผมต้องการนั่นคือ Human Resource and Management

          สาขาที่ผมอยากเรียนนี้ไม่ค่อยมีประสบการณ์เกี่ยวกับนักเรียนต่างชาติซักเท่าไหร่ ไม่เหมือน MBA ที่เขารู้ว่าจะทำอย่างไร เมื่อนักเรียนอินเตอร์มาสมัคร..... ดังนั้นผมจึงต้องพยายามทำทุกอย่างให้เหมือนนักเรียนท้องถิ่นที่สุด ทั้งการเขียนและการพูด.....ซึ่งก็ไม่แปลกใจเลยที่ Statement of Perpose ของผมจะโดน reject เพราะการเขียนของผมมันไม่น่าจะเอาตัวรอดได้ในคณะนี้.....แต่ผมไม่มีทางเลือก ผมมีเวลาอีกไม่มากในการหาที่เรียนเพื่อรักษาสถานภาพในอเมริกา.....ผมเลยส่ง Statement ไปเป็นครั้งที่ 2 และไปด้วยตัวเอง.....บางทีตัวหนังสือมันก็บอกอะไรไม่ได้ทุกอย่าง เพราะพอผมได้คุยกับอาจารย์ซึ่งภายหลังก็คือ อ.ที่ปรึกษาของผม เขาก็บอกว่าผมพูดได้ดีกว่าในกระดาษที่ผมส่งมามากมาย ซึ่งเขาก็คิดว่าผมน่าจะเรียนได้.....ในที่สุด อ.ก็รับผมเข้าเรียนในเทอม Spring 2003 โดยมีเงื่อนไขว่าผมจะต้องลงวิชาการเขียนภาษาอังกฤษเพิ่มอีก 1 วิชา และต้องได้อย่างน้อย B ในเทอมแรก.....

          สุดท้ายผมก็มีที่เรียนซักที ในเทอมแรกผมลงเรียนวิชาการเขียน ซึ่งก็มีเด็กนักเรียนต่างชาติเรียนอยู่กับผม 3 คน เป็นคนไทย 1 คน ไต้หวัน 1 คน และญี่ปุ่น 1 คน และก็มีแค่นี้แหละ 4 คน ผมเลยได้รับการติวเข้มข้น และสามารถมีปากเสียงกับอาจารย์ตัวต่อตัวได้อย่างเต็มที่ ในที่สุดผมก็จบด้วยเกรด B.....ได้เรียนปริญญาโทกับเขาเสียที

          วันแรกผมยังจำได้.....วันนั้นเป็นวันเสาร์ แต่เสาร์ที่เท่าไหร่จำไม่ได้ รู้แต่เป็นเดือนมีนาคม ผมมีเรียน 8 โมงเช้า.....ผมตื่นสายนิดหน่อยเพราะไม่ได้ตื่นเช้ามานานแล้ว เช้านั้นจึงไม่เหมือนเช้าอื่น.....ห้องเรียนแรกของผมมีนักเรียนอยู่ประมาณ 25 คน อายุเฉลี่ยนี่ผมให้ 37-38 ปีเลย และเป็นชาวอเมริกันล้วนๆ .....ผมยิ้มๆ เดินเข้าไปนั่งเบียดๆ กับเขา ความรู้สึกเหมือนลูกภารโรงนั่งรอแม่มารับ.....ยอมรับว่าเหมือนไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของห้องนั้นเลยในวันแรก พวกเขาพูดในสิ่งที่ผมไม่รู้ อย่างเรื่องข่าวในท้องถิ่น เกี่ยวกับชื่อนักธุรกิจดังๆ เกี่ยวกับกฏหมาย ที่สำคัญพูดเร็วมากๆ.....อย่างที่บอกว่าการเรีบนการสอนของเขามีแบบแผนเฉพาะอยู่ ผมเข้าไปผมก็ต้องปรับตัวตาม เพราะพวกเขาไม่จำเป็นต้องสะกดทีละคำให้คนต่างชาติที่หลงมาเรียนอย่างผมฟัง แรกผมนั่งกินข้าวกลางวันคนเดียวด้วยความมึน นี่หรือคือบรรยากาศที่เราจะเจอไปอีก 2 ปี

          Leadership and Management เป็นสาขาที่สอนให้นักเรียนรู้จักตัวเองและเตรียมความพร้อมในการเลื่อนตำแหน่งไปเป็นผู้บริหารปกครองคน การสร้างบุคคลิกภาพ และความแตกต่างในการดำเนินธุรกิจและภาวะผู้นำ วิธีการเรียนในสาขาที่ผมเรียน เน้นไปที่การทำกิจกรรมกลุ่ม ไม่ว่าจะเป็น case study, role play, presentation หรือการบ้านทั้งเดี่ยวทั้งกลุ่ม คะแนนทั้งหมดจะหนักไปทางการแสดงออกในชั้นและงานที่ส่งในแต่ละครั้ง ซึ่งวิชานึงก็ต้องเข้าเรียนประมาณ 10 ครั้ง ไม่มีการสอบ midterm หรือ final เหตุคงเป็นเพราะนักเรียนส่วนใหญ่เป็นพนักงานบริษัท เจ้าของกิจการ ที่ไม่มีเวลามานั่งอ่านหนังสือสอบ การทำกิจกรรมภายในชั้น และการบ้านจะดูง่ายต่อพวกเขามากกว่า.....โดยในวันแรกของการเรียน นักเรียนจะได้รับ course outline ที่จะบอกว่าต้องทำอะไรบ้าง ซึ่งถ้านักเรียนไม่พอใจก็โวยได้ และอาจารย์ประจำวิชาก็จะเปลี่ยนให้ตามสมควร

          กลับมาที่การเรียนวิชาแรกของผม วันแรกผมเรียน 8 โมงเช้า ถึง 4 โมงเย็น ไม่รู้จักใครในชั้นเรียน ไม่รู้ว่าเขาพูดอะไร ไม่มีเพื่อนที่จะถาม และไม่รู้ด้วยซ้ำว่าคราวหน้านี่เขาจะเตรียมอะไรมาบ้าง แย่แน่ๆ.....ผมจึงขอ อ.ที่ปรึกษาหยุดตั้งสติในการเข้าเรียนครั้งที่ 2 ซึ่งหมายถึงผมขาดเรียน.....สติน่ะตั้งได้ แต่คะแนนเข้าห้องก็จะไม่มี งานก็จะไม่ได้ส่ง แล้ว อ.เขาก็จะคิดว่าผมจะเรียนไม่ได้และสุดท้ายผมก็จะไม่ได้เรียนต่อ..... มันจะต้องไม่เป็นแบบนั้น..... ในขณะที่เพื่อนผมคนอื่นกำลังจับกลุ่มทำงานกัน (คนไทยทั้งนั้น) ที่ตึก MBA ด้วยความสนุกสนาน มีการซื้อน้ำมากิน มีการไปทำงานต่ออพาร์ตเมนท์เพื่อนในกลุ่มแลดูน่าสนุก ผมที่นั่งหัวดำอยู่คนเดียวก็เริ่มเป็นที่จดจำของพี่ๆ ป้าๆ ลุงๆ ในชั้นเรียนของผม อาศัยการพูดมากๆ ตอบคำถามเยอะๆ ยกมือถามบ่อยๆ ทั้งๆ ที่ก็ไม่รู้หรอกว่าถามอะไรออกไป แต่เพราะการแสดงออกทำให้คนอื่นๆ รู้จักและเห็นว่าเราไม่ได้มานั่งใบ้ โดยไม่รู้อะไรเลย

 

          ผมขาดเรียน 1 ครั้ง อ.ที่ปรึกษาเริ่มสงสัยในความสามารถในตัวผมว่าจะเรียนต่อได้ไหม เขาจึงให้งานชิ้นพิเศษผม 1 ชิ้น คือการพูดหน้าชั้นในหัวข้อ Multiculture in Organization ซึ่งผมจะต้องพูดเกี่ยวกับความหลากหลายทางวัฒนธรรมในองค์การ ในฐานะที่เป็นคนต่างวัฒนธรรมในห้องเรียน อ.เขาเลยคิดว่าผมคงมีอะไรแปลกๆ มาแลกเปลี่ยนกับนักเรียนคนอื่นๆ แทนวันที่ขาดเรียน.....ไม่ได้ก็ต้องได้ ตอนนั้นผมก็ไม่รู้หรอกว่าผมต้องพูดนานเท่าไหร่ แต่หลังจากหาข้อมูลในห้องสมุดได้ซักพัก อ.ก็บอกว่า ผมต้องพูดเท่ากับการรายงานแบบกลุ่มของคนอื่นๆ ซึ่งก็ประมาณ 45 นาที - 1 ชั่วโมง.....ไม่น้อยเลยนะเนี่ย 45 นาที คนอื่นได้ทำเป็นกลุ่ม 5 คน แต่ผมพูดคนเดียว กรูจะรอดไหมเนี่ย.....

          การที่ผมขาดเรียน ผมจึงต้องทำการบรรยายหน้าชั้นคนเดียวเป็นเวลา 1 ชั่วโมง แต่เพราะการบรรยายครั้งนี้นี่เองที่ได้พิสูจน์ตัวเองให้กับอาจารย์และทุกคนในชั้นเรียนเห็นว่า นักเรียนต่างชาติคนเดียวในชั้นเรียนคนนี้ได้เรียนรู้หลายๆ อย่างจากอาจารย์ และเพื่อนร่วมชั้น ซึ่งพอรวมกับประสบการณ์อันน้อยนิดด้านธุรกิจจากประเทศบ้านเกิด และความที่เป็นคนพูดมาก ก็เลยเป็นการ presentation ที่สนุกสนานเอามากๆ ทุกคนสนใจและถามคำถามต่างๆ ผมมากมายเกี่ยวกับเมืองไทย และความรู้สึกเมื่อผมได้เข้ามาในที่ที่ต่างวัฒนธรรมอย่างอเมริกา.....เมื่อทุกคนโฟกัสมาที่ผม เมื่อทุกคนจำชื่อเราได้ ความกังวลใจมันก็หมดไป..... การยอมรับจากอาจารย์และพี่ๆ ป้าๆ ลุงๆ ในชั้น ทำให้ผมคิดว่าตัดสินใจไม่ผิดที่เลือกสาขานี้ ป้าคนนึงให้กำลังใจผมโดยบอกว่าผมก็เหมือนลูกหลานของเขา ไม่มีอะไรที่ผมจะต้องกลัว พวกเขาคิดว่าผมเก่งด้วยซ้ำที่อายุเท่านี้แต่มาเรียนร่วมกับพวกเขาได้ แถมยังพูดภาษาอังกฤษได้น้ำไหลไฟดับอีกต่างหาก 555

 

          วิชาแรกในการเรียนปริญญาโทของผมก็จบลงพร้อมกับการบรรยายหน้าชั้นเรื่อง Multicultural in Organization ของผม ซึ่งบางคนในชั้นเรียนนั้นยังบอกกับผม ในวันรับปริญญาว่าเขายังจำสิ่งผมบรรยายวันนั้นได้อย่างดี และรู้สึกดีใจที่ได้ฟังเรื่องราวที่เขาไม่รู้มาก่อน.....(ฝรั่งนี่เวลาชมเขาชมกันเต็มที่จริงๆ ซึ่งบางทีผมก็รู้สึกว่ามันจะเว่อร์ไปรึเปล่า ผมเองก็ได้แต่ thank you ไม่รู้จะพูดอะไร)

          และหัวข้อการบรรยายวันนั้นเองก็ได้เป็นที่มาของรายงานวิจัยที่ทำให้ผมได้ปริญญาโทในอีก 2 ปีต่อมา.... ครั้งต่อไปจะพูดถึง ประสบการณ์ต่างๆ ที่ผมเจอในห้องเรียน และการเอาตัวรอดจากสถานการณ์ต่างๆ ครับ

 

เขียนเมื่อ 22 สิงหาคม 2548, Covina, California

คำสำคัญ (Tags): #บันทึกส่วนตัว
หมายเลขบันทึก: 294764เขียนเมื่อ 5 กันยายน 2009 19:41 น. ()แก้ไขเมื่อ 8 มิถุนายน 2012 23:21 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (1)

สนุกจังเลย บรรยาย บรรยากาศในห้องเรียน เหมือนได้เข้าไปเรียนด้วยเลยค่ะ

ครูเตือนเคยฟังเพื่อ spain พูด แคนตัส เป็น แคนตุส ต้องปรับกันอยู่สักพัก จึงจะเข้า

ใจกัน

แม้จะต่างชาติ ต่างภาษา เมื่อได้มีโอกาสอยู่ด้วยกัน มิตรภาพ ไม่แยกชาติภาษาเลยนะคะ ความมีน้ำใจของคนไทย จะช่วยให้เราเอาตัวรอดได้เสมอ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท